ตอนที่ 276 พับผ่าสิ! ได้โชคก้อนใหญ่โดยบังเอิญ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เมื่อพวกเขาได้ฟังคำแนะนำจากอาจารย์ประจำชั้นหนึ่ง ก็เริ่มก้มหน้าก้มตาปรึกษากันอย่างมีความสุข

อาจารย์แซ่สวีท่านนี้เดินนำหน้านักเรียนทั้งหมด

ก่อนหยุดลงที่ลานสาธารณะชั้นหนึ่ง

ทั้งตึกมีทั้งหมดห้าชั้น แต่ไม่มีบันได

บริเวณด้านซ้ายขวาของลานสาธารณะมีลิฟต์ขนาบข้างทั้งหมดสามตัว

อาจารย์สวีหยุดอยู่หน้าลิฟต์ก่อนอธิบายว่า “นักเรียนทุกคนจะมีบัตรเป็นของตัวเอง โดยบัตรจะใช้ควบคุมลิฟต์ ระดับสูงสามารถเข้าชั้นระดับล่างได้ แต่ระดับล่างเข้าชั้นระดับล่างได้อย่างเดียว”

ความหมายก็คือนักเรียนระดับสามสามารถอยู่ได้แค่ชั้นหนึ่งเท่านั้น นักเรียนระดับสี่ห้าสามารถเข้าออกชั้นหนึ่งและสองได้ตามใจ

อาจารย์สวียังคงเดินนำหน้าพวกเขา

เถียนเซียวเซียวที่เดินอยู่ข้างฉินหร่าน บนสันจมูกของเธอสวมแว่นตากันแดดสีดำสนิท ไม่มีใครพูดอะไร คนที่เข้ามาสนทนากับฉินหร่านก็ไม่มาก

ขณะเดินตามฉินหร่านอยู่ด้านหลัง ก็มีคนจากด้านหลังเรียกเธอ เป็นเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง

เถียนเซียวเซียวหยุดเดิน ก่อนเดินถอยหลังโดยอัตโนมัติก้าวหนึ่ง พลางยกมือเก็บแว่นตา หยุดอยู่ข้างผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้น “มีอะไร?”

ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นคือผู้จัดการของเธอ

“ฉันให้เธอตีสนิทกับพวกของเถียนอี้อวิ๋นไม่ใช่เหรอ เธอ…” ผู้จัดการกดเสียงต่ำด้วยน้ำเสียงเข้มงวดและตั้งความหวัง

“เข้ากันไม่ได้น่ะสิ” เถียนเซียวเซียวเล่นแว่นตากันแดดในมือ ก่อนเชิดหน้าเล็กน้อย “อีกอย่างคุณดูออกไหมว่าผู้หญิงคนนั้นชอบฉันบ้างไหม?”

แม้เถียนเซียวเซียวจะไม่รู้จักกับคนในสมาคม ที่บ้านก็ไม่มีใครเชี่ยวชาญการเล่นไวโอลิน ส่วนตัวเองก็เล่นได้ไม่เก่งมากนัก ตามที่อาจารย์พวกนั้นคาดไว้ว่าเป็นภาพลักษณ์ที่คลุมเครือ

ผู้จัดการมองเถียนเซียวเซียวแวบหนึ่ง “เธอช่วยดูหน่อยได้ไหมว่าพวกหลี่ซวงหนิงกลับมาได้ยังไง?”

เถียนเซียวเซียว “…มีคำเตือนอะไรจะบอกอีกไหม? ถ้าไม่มีฉันจะเข้าไปละ”

ผู้จัดการโบกมือให้เธอไปด้วยความรังเกียจเต็มทน

ทว่าก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เอ๊ย เธอรอก่อน” เธอกวักมือให้เถียนเซียวเซียวกลับมาอีกรอบ “เมื่อกี้เธอบอกว่าผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงรึยังนะ?”

เถียนเซียวเซียวนึกขึ้นมาได้

คนที่ผู้จัดการของเธอพูดถึงคือฉินหร่าน

ฉินหร่านมักถูกแมวมองต้องตาได้ง่าย ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่เสน่ห์ดึงดูดก็โดดเด่นไม่แพ้กัน

“ไม่รู้สิ ฉันจะช่วยถามให้ แต่ไม่น่ามาจากตระกูลใหญ่อะไร เธอหน้าตาดีขนาดนี้หากอยากเข้าวงการคงไม่ต้องรอเธอหรอกมั้ง?” เถียนเซียวเซียวจัดแว่นตาให้เข้าที่พลางหนีบไว้ที่ปกเสื้อ ก่อนยิ้มอย่างเกียจคร้าน “ฉันไปก่อนนะคะ”

ผู้จัดการเกือบถีบเธอเข้าให้แล้ว

101เป็นห้องเรียนห้องหนึ่ง ด้านหลังมีอุปกรณ์วางอยู่

ตำแหน่งที่นั่งกระจัดกระจายแยกให้เห็นอย่างชัดเจน

เถียนเซียวเซียวกวาดตามองทีหนึ่ง กลุ่มของเถียนอี้อวิ๋นนั่งอยู่ตรงกลาง คนอื่นแยกกันนั่งด้านข้างสองฝั่ง

ฉินหร่านนั่งอยู่ตำแหน่งซ้ายมือติดกับกำแพง

มือข้างหนึ่งของเธอยันหน้าไว้ ก่อนวางคู่มือบนโต๊ะ นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์

เถียนเซียวเซียวไม่คิดอะไรมาก เดินตรงไปยังนั่งที่แถวของฉินหร่าน ตำแหน่งเป็นแถวเรียงยาวอยู่ห่างจากบันไดห้องเรียนไม่มาก

ตอนนี้อาจารย์สวีไม่อยู่ คนอื่นๆ พูดคุยกันเสียงเบาอย่างปลาบปลื้มใจไม่หยุด เถียนเซียวเซียวจับจองมาที่ฉินหร่าน เธอมองหน้าด้านข้างของฉินหร่านอย่างระมัดระวัง จากนั้นถามว่า “เธอเคยคิดอยากเข้าวงการไหม?”

ฉินหร่านหันหน้ามาเล็กน้อย พลันหรี่ตาด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยเช่นเดิม ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ไม่สนใจนะ”

ไม่รู้ว่าผู้จัดการของเหยียนซีเคยถามเธอไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

เถียนเซียวเซียวพยักหน้า เดาได้แต่แรกแล้ว

ทั้งสองคนเพิ่งพูดคุยกันไม่กี่ประโยค อาจารย์สวีก็เดินเข้ามา

มือข้างหนึ่งถือกระดาษใบหนึ่ง อีกข้างมีบัตรกองหนึ่งในมือ

ฉินหร่านมองปราดเดียวก็รู้ว่าคือบัตรตัวแทนของสมาชิกสมาคม

“เนื่องจากห้องฝึกซ้อมทุกห้องสามารถฝึกซ้อมสี่คนในเวลาเดียวกัน พวกเธอที่เป็นนักเรียนใหม่จะสุ่มจับกลุ่มกัน โดยมีสี่คนต่อหนึ่งกลุ่ม” อาจารย์สวีอ่านรายชื่อในกระดาษ “มี26คน ในนี้มีสองกลุ่มที่ไม่ครบสี่คน ต้องอยู่กันสามคนเท่านั้น ทุกคนดูกันเองนะ”

เขาเปิดโปรเจ็กเตอร์ นำรายชื่อเจ็ดกลุ่มที่แบ่งรายชื่อเรียบร้อยแล้วให้ทุกคนดู

กลุ่มแรก มีฉินหร่านเป็นหัวหน้ากลุ่ม วังจือเฟิง และหลี่เสวี่ยเป็นคนสุดท้าย ทั้งหมดสามคน

กลุ่มสองก็เป็นกลุ่มสามคน มีเถียนอี้อวิ๋นเป็นหัวหน้ากลุ่ม เถียนเซียวเซียว และมีผู้ชายอีกคน

ห้ากลุ่มหลังล้วนเป็นกลุ่มสี่คน

เมื่อเห็นรายชื่อกลุ่มที่ไม่เหมือนกับเพื่อน ทุกคนต่างมองหน้ากัน

ทุกคนในที่นี้ล้วนรู้จักกัน เมื่อเห็นรายชื่อกลุ่ม มีบางคนยินดี บางคนมีอาการเศร้าหมอง

อย่างเช่นผู้ชายอีกคนที่ได้รับเลือกให้อยู่กลุ่มเดียวกับเถียนอี้อวิ๋นที่ดีใจอย่างบ้าคลั่ง หากได้อยู่กลุ่มเดียวกับเธอก็สามารถขึ้นเรียนชั้นสองได้

ทั้งยังมีบางคนจิตใจห่อเหี่ยวยิ่ง อย่างเช่น หลี่เสวี่ย เธอนั่งอยู่ข้างเถียนอี้อวิ๋น แต่ไม่คิดว่าจะได้จับกลุ่มกับฉินหร่าน โดยเฉพาะฉินหร่านคือบุคคลที่ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อมาก่อน

“อี้อวิ๋น ทำไมฉันถึงได้ซวยขนาดนี้? ถึงขนาดไม่ได้อยู่กับเธอ” หลี่เสวี่ยบ่นเบาๆ กับเถียนอี้อวิ๋น

เถียนอี้อวิ๋นตอบอย่างมีมารยาทอย่างยิ่งว่า “นักเรียนใหม่สามารถขอเปลี่ยนคนได้ ยังไงซะกลุ่มของฉันก็ยังไม่เต็ม เธอสามารถไปหาอาจารย์สวีให้เขียนชื่อลงในกลุ่มฉันได้นะ”

แววตาของหลี่เสวี่ยเป็นประกายวูบหนึ่ง

อาจารย์สวีเห็นว่าทุกคนดูเสร็จเรียบร้อย จึงพูดขึ้น “ทุกคนมีปัญหาอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้วก็…”

“อาจารย์คะ” หลี่เสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างเถียนอี้อวิ๋นยกมือขึ้น “หนูอยากอยู่กลุ่มเดียวกับเถียนอี้อวิ๋นค่ะ”

อาจารย์สวีมองหลีเสวี่ยปราดหนึ่ง “เธอชื่ออะไร?”

“หลี่เสวี่ยค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เถียนเซียวเซียวที่ใบหน้าอึมครึมก็พลันสดใสขึ้น เธอยกมือยืนขึ้น “อาจารย์สวีคะ หนูชื่อเถียนเซียวเซียว หนูอยากแลกกับเพื่อนร่วมชั้นหลี่เสวี่ยค่ะ”

เมื่ออาจารย์สวีฟังทั้งสองพูดจบ ก็เปิดใบรายชื่อ ก่อนหรี่ตามองทั้งสองคน “พวกเธอแน่ใจแล้วนะ?”

สายตาของหลี่เสวี่ยที่มองเถียนเซียวเซียวราวกับคนโง่คนหนึ่ง

ทุกคนในห้องแทบกุมขมับเพราะอยากอยู่กลุ่มเดียวกับเถียนอี้อวิ๋น แล้วยังมีคนอยากเปลี่ยนกลุ่มอีกหรือ?

เมื่อเห็นชอบทั้งสองฝ่าย หลี่เสวี่ยและเถียนเซียวเซียวได้สลับกลุ่มกัน อาจารย์สวีสลับรายชื่อของทั้งสอง

“วังจือเฟิง เธออยากเปลี่ยนกลุ่มไหม?” เถียนอี้อวิ๋นมองวางจื่อเฟิ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างเป็นมิตร

วางจื่อเฟิ่งส่ายหัวอย่างไม่สนใจ “ไม่อะ”

เถียนอี้อวิ๋นพยักหน้า เพียง“อ้อ”ออกมาคำหนึ่งโดยไม่พูดอะไรต่อ

เมื่อเปลี่ยนกันเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดก็ได้รายชื่อที่แน่นอน อาจารย์สวีถึงเริ่มแจกบัตรนักเรียน

“ทุกคนเงียบก่อน ต่อไปจะแจกบัตรนักเรียนให้ทุกคน เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเธอมีสิทธิ์ในการเรียนในสมาคมภายในสองเดือนนี้ แน่นอนว่ายิ่งมีระดับสูงยิ่งมีสิทธิ์มาก และแน่นอน หากทุกคนคิดว่าครั้งที่แล้วยังแสดงไม่เต็มที่ สามารถยกมือ เพื่อทดสอบระดับใหม่ที่ชั้นหนึ่งได้”

เมื่ออาจารย์สวีกล่าวจบก็ไม่มีใครยกมือ

ยังไงซะการทดสอบครั้งที่แล้วพวกเขาล้วนให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ ราวกับว่าทุกคนต่างทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มี จะสอบใหม่หรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

ตอนนี้เองอาจารย์สวีจึงเริ่มแจกบัตร “อ่านชื่อนักเรียนคนไหนก็ลุกมารับบัตรนะ”

“หลิวนั่วอี นักเรียนระดับสาม”

“โต้วจิ้ง นักเรียนระดับสาม”

“…”

ไม่มีใครคาดคิดว่านักเรียนใหม่ส่วนมากเป็นนักเรียนระดับสาม

หลังจากอ่านรายชื่อหลายคนจบ

“เถียนอี้อวิ๋น นักเรียนระดับสี่”

นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องล้วนจับจ้องมายังเถียนอี้อวิ๋น อาจารย์สวีส่งบัตรให้ถึงมือเธอ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเล็กน้อยว่า “เก็บให้ดีนะ ถ้าไปชั้นสองแล้วมีปัญหาอะไรให้มาปรึกษาผม”

“หลี่เสวี่ย นักเรียนระดับสาม”

“เถียนเซียวเซียว นักเรียนระดับสาม”

“…”

“วังจือเฟิง นักเรียนระดับสี่”

เกิดเสียงวุ่นวายในห้องอีกครั้ง นักเรียนในห้องส่วนใหญ่มองมาที่วังจือเฟิงและเถียนอี้อวิ๋น

วังจือเฟิงคือผู้เข้าแข่งขันหมายเลขเก้าในครั้งนั้น เขาเป็นนักเรียนระดับสี่ ทั้งเป็นคนที่อาจารย์ทั้งหกท่านปรึกษากันอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจว่า เขามีพรสวรรค์อยู่พอตัวแต่อ่อนทักษะ

คุณภาพของนักเรียนปีนี้นับว่าสูงเป็นพิเศษ อาจารย์สวีมองวังจือเฟิง ในใจรู้สึกมีความสุขยิ่ง คิดว่าการทดสอบภาคฤดูร้อนปีหน้าต้องพิเศษกว่าปีไหนอย่างแน่นอน หรือไม่แน่ว่าปีหน้าอาจมีโควต้าเรียนต่อรัฐ M ก็เป็นได้

สำหรับปีนี้นักเรียนกลุ่มใหม่ไม่น่าจะมี…

อาจารย์สวีแจกบัตรนักเรียนแถวหน้าหมดแล้ว แต่ยังไม่มีของฉินหร่าน

เถียนเซียวเซียวหยิบแว่นดำขึ้นมาเล่น ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ถึงบัตรนักเรียนของฉินหร่าน ก่อนพูดอย่างร้อนใจ “ทำไมยังไม่ถึงเธออีก?”

ฉินหร่านกำลังแชทกับหลินซือหราน เมื่อได้ยินดังนั้น เธอจึงโยนโทรศัพท์ลงโต๊ะอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนเอนตัวพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ไม่รู้เหมือนกัน”

ขณะที่เธอกำลังพูด อาจารย์ก็หยิบบัตรใบสุดท้ายก่อนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ครั้งนี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม “ฉินหร่าน นักเรียนระดับห้า”

ทันใดนั้นเสียงกระซิบกระซาบในห้องเรียนเงียบลง

ระดับนี้อยู่ในการคาดเดาของอาจารย์เว่ยแล้ว ฉินหร่านจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใด เธอเงยหน้ารับบัตรด้วยตัวเองอย่างสงบนิ่ง “ขอบคุณค่ะอาจารย์”

“มีนักเรียนใหม่อยู่ในระดับห้าด้วย?” หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สมาชิกใหม่ที่รู้จักการจัดระบบแบ่งระดับของสมาคมก็ต่างแตกตื่น “ฉันจำได้ว่าฉินอวี่ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไต้ก็พึ่งได้ระดับห้านี่?”

“ระดับห้าเหรอเป็นลูกศิษย์ของใคร…”

เมื่อตอนที่หลี่เสวี่ยพึ่งแลกกลุ่มกับเถียนอี้อวิ๋น คนอื่นต่างรู้สึกอิจฉา ทว่าในตอนนี้…ทุกคนต่างหันมามองหลี่เสวี่ยในทันที…