ฉินหร่านไม่พูดอะไรมาก ทั้งไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมาที่เธอ ก่อนถือบัตรเดินขึ้นชั้นสอง 

 

 

คราแรกเถียนเซียวเซียวก็มองฉินหร่านด้วยสายตาราบเรียบ 

 

 

เธอเป็นคนอับโชคมาโดยตลอด มิเช่นนั้นการที่เธอเดบิวต์เป็นดารามาตั้งแต่เด็ก เข้าวงการมาไม่รู้กี่ปี ก็เป็นแค่ดาราปลายแถว อยู่อีกหรือ 

 

 

ทว่าตอนนี้… 

 

 

เถียนเซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ก่อนส่งข้อความหาผู้จัดการประโยคหนึ่งอย่างเงียบๆ  

 

 

[เหมือนว่าฉันจะได้โชคก้อนใหญ่โดยบังเอิญนะ] 

 

 

ผู้จัดการตอบกลับอย่างรวดเร็ว 

 

 

[เธอช่วยตื่นจากฝันหน่อย เธอน่ะเป็นตัวอับโชคมานานแล้วนะ (อิโมจิยิ้ม)] 

 

 

เถียนเซียวเซียว […] 

 

 

เธอตามหลังฉินหร่านไปติดๆ ก่อนชะงักอยู่ครู่หนึ่งเมื่อพบว่าผู้ชายที่อยู่ข้างตัวเองคือวังจือเฟิง 

 

 

ทั้งสองมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร จากนั้นตามฉินหร่านไปอย่างรู้ใจกันอัตโนมัติ 

 

 

ใครจะไปรู้ ฉินหร่านอายุแค่นี้แต่อยู่ระดับห้า คงมีอาจารย์ในสมาคมไม่น้อยอยากแย่งเธอมาเป็นศิษย์ ถึงเวลานั้นอาจารย์คงยกฉินหร่านเป็นศิษย์คนโปรดไปแล้ว… 

 

 

อีกทั้งยังงทำให้สองคนได้ทำความรู้จักกับบุคคลชั้นนำได้ 

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนรูดบัตรของตัวเอง จากนั้นกดชั้นสอง 

 

 

รูปแบบชั้นหนึ่งและชั้นสองไม่มีความแตกต่างกัน 

 

 

ปกติแล้วห้อง201เป็นห้องเรียนทั่วไปที่อาจารย์ประจำชั้นสองสอน ส่วนห้องอื่นเป็นห้องฝึกซ้อม 

 

 

ด้านซ้ายมือเป็นห้องฝึกซ้อมของนักเรียนระดับสี่ ขวามือเป็นห้องฝึกซ้อมของนักเรียนระดับห้า ฉินหร่านเดินไปทางขวามือ 

 

 

ห้องฝึกซ้อมก็ใช้ระบบรูดการ์ด หากบัตรประตูมีไฟขึ้นแสดงว่ามีคนใช้ห้องอยู่ด้านใน ถ้าไม่มีไฟขึ้นแสดงว่าไม่มีคนอยู่ 

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปในห้องไฟประตูที่ไม่มีคน 

 

 

พื้นที่ในห้องฝึกซ้อมกว้างขวางมาก ทั้งยังมีคอมพิวเตอร์สี่ตัว ด้านในล้วนเป็นเนื้อหาการสอนของรัฐ M วางบนชั้นวางหนังสือแถวสอง ชั้นวางหนังสือแถวแรกคือบันทึกของผู้อาวุโส ทั้งยังมีบทความสำคัญของไวโอลินระดับนานาชาติที่แปลโดยทางสมาคม 

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดของสมาคม ไม่สามารถถ่ายสำเนาหรือนำออกไปได้ 

 

 

อีกทั้งระดับข้อมูลที่เปิดเผยในแต่ละชั้นก็ไม่เหมือนกัน  

 

 

อาจารย์สวีเคยแนะนำตอนอยู่ห้องฝึกซ้อมชั้นหนึ่งแล้ว ที่นั่นไม่มีชั้นหนังสือ และไม่มีบันทึกสำคัญของเหล่าผู้อาวุโสของสมาคม 

 

 

แน่นอนว่าจำนวนหนังสือที่จัดวางไว้ในห้องระดับสี่มีไม่มากเท่าระดับห้า 

 

 

วังจือเฟิงเดินไปที่ชั้นหนังสือด้วยความตื่นเต้น ก่อนหยิบบทความแปลสำคัญของไวโอลินระดับนานาชาติแล้วเริ่มนั่งอ่านบนพื้น 

 

 

ฉินหร่านหยิบแผ่นรายการหนังสือในกระเป๋า 

 

 

ล้วนเป็นรายการแจกแจงที่อาจารย์เว่ยมอบให้เธอ เธอสามารถหาได้ตั้งแต่ชั้นวางหนังสือด้านบน 

 

 

จากชั้นวางหนังสือชั้นบนก็เจอหนังสือที่ตัวเองต้องการ ฉินหร่านเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่ว่างอยู่ ก่อนดึงเก้าอี้ลงนั่ง 

 

 

เมื่อเถียนเซียวเซียวและวังจือเฟิงมองมาที่เธอ เธอก็ใส่หูฟังสีดำไปพลาง พลิกหน้าหนังสือพลาง ทั้งสองคนต่างอยู่เงียบๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ 

 

 

วังจือเฟิงนั่งอ่านหนังสือบนพื้นต่อด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ส่วนเถียนเซียวเซียวเดินไปซ้อมไวโอลินที่ข้างหน้าต่าง 

 

 

** 

 

 

พวกของฉินหร่านทั้งสามคนนอกจากออกมากินข้าวกลางวัน ก็ไม่ได้ออกมาจากห้องฝึกซ้อมอีก วังจือเฟิงมองหาหนังสือไวโอลินคลาสสิคอยู่นานก็หาไม่เจอ 

 

 

หลังจากฉินหร่านอ่านหนังสือเล่มหนึ่งได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็จดบางอย่างลงสมุดบันทึก จากนั้นก็ลองซ้อมไวโอลิน 

 

 

เถียนเซียวเซียวยังคงซ้อมไวโอลินอยู่ หลังจากได้ยินฉินหร่านเล่นไวโอลินครั้งแรก เธอก็วางไวโอลินของตัวเองลงเงียบๆ  

 

 

วันแรกทั้งสามคนไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก โดยเฉพาะฉินหร่านไม่ค่อยเข้าใกล้ใคร เพราะปกติก็เป็นคนไม่พูดอยู่แล้ว 

 

 

วันที่สอง เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงเริ่มสนิทกันเล็กน้อย ทว่าทั้งสองยังคงไม่สามารถเข้าถึงหัวหน้ากลุ่มอย่างฉินหร่านได้ แต่ก็แอดวีแชทของฉินหร่านได้สำเร็จ 

 

 

วันที่สาม ทั้งสองคนถามฉินหร่านอยู่หลายคำถาม ถึงรู้ว่าฉินหร่านเป็นคนที่สนิทได้ง่ายมากและกลายเป็นคนพูดเยอะ 

 

 

ห้าโมงครึ่งตอนเย็น 

 

 

ทั้งสามคนกำลังเตรียมตัวออกมา 

 

 

“พวกเธอสองคนก็เพิ่งสอบเข้ามหาลัยปีนี้เหรอ?” การเป็นนักเรียนของสมาคมมีการจำกัดอายุเช่นเดียวกัน คือ15-22ปี ได้ยินมาว่าฉินหร่านกับเถียนเซียวเซียวก็เพิ่งเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้วังจือเฟิงรู้สึกดีใจ “งั้นพวกเธอทั้งสองคนก็สอบพร้อมกับทั่วประเทศสิ?” 

 

 

ตอนนี้การสอบของทุกเมืองล้วนใช้ระบบเดียวกัน 

 

 

เมื่อพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เดิมคนที่พูดน้อยอย่างวังจือเฟิงก็เริ่มร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง “พวกเธอเรียนสายศิลป์หรือสายวิทย์คณิตล่ะ? ปีนี้ข้อสอบสายวิทย์คณิตไม่เหมือนปีที่ผ่านมาเลย รายชื่อสองอันดับแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้เปลี่ยนไปยิ่งกว่าครั้งไหนๆ” 

 

 

เถียนเซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ตัวเองติดต่อกับผู้จัดการ ก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันสอบศิลปศาสตร์” 

 

 

ฉินหร่านมองไปข้างหน้า ก่อนสอดมือเข้ากระเป๋าตอบอย่างสั้นๆ ว่า “วิทย์คณิต” 

 

 

วังจือเฟิงเดินไปหาฉินหร่านพูดกับเธอเรื่องข้อสอบสายวิทย์คณิต  

 

 

เฉิงเจวี้ยนมารับฉินหร่านตรงเวลาพอดี 

 

 

ปกติแล้วเขาจะจอดรถบนถนนอีกฝั่งหนึ่ง และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบด้านลบต่อฉินหร่าน จึงน้อยมากที่จะลงจากรถ เพียงนั่งรอที่ตำแหน่งคนขับ 

 

 

และเนื่องจากป้ายทะเบียนรถของเขาค่อนข้างหรูหรามีระดับ 

 

 

วันนี้เขาก็นั่งที่ตำแหน่งคนขับดังเดิม มือข้างหนึ่งห้อยขอบรถ อีกข้างถือโทรศัพท์คุยกับเฉิงเวินหรู “รู้แล้ว เดี๋ยวผมกลับไป” 

 

 

ไม่รู้อีกฝ่ายพูดอะไร เขาพลันเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ได้ ไม่พาไปด้วยหรอก ที่บ้านสกุลเฉิงมีคนเยอะเกินไป” 

 

 

ขณะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่าง มองเพียงปราดเดียวก็เห็นกลุ่มของฉินหร่านทั้งสามคน 

 

 

วังจือเฟิงยืนใกล้ฉินหร่าน ทั้งพูดคุยกับเธออย่างออกรสออกชาติ ทั้งสองคนน่าจะมีอายุเท่ากัน ดูเหมือนพูดคุยกันถูกคอยิ่ง 

 

 

ฉินหร่านวางมือข้างหนึ่งไว้หลังหัว ยังคงมีท่าทีของเด็กสาวที่เข้าสังคม แต่ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างคนนั้นพูดเสียงดังขนาดนั้น ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด 

 

 

“วางนะ” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา เขาตัดสายโทรศัพท์ 

 

 

พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสยิ่ง 

 

 

เฉิงเวินหรูที่อยู่ปลายสายเมื่อเห็นสายของตัวเองถูกตัดก็พลันเลิกคิ้วด้วยความสงสัย 

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูรถลงไป เดินตรงไปสองก้าว 

 

 

ขณะนี้เวลาห้าโมงกว่า ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องมาที่ร่างอันสูงโปร่งของเขาขณะที่หลังตกกระทบกับลำแสง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นหน้าตาของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น 

 

 

แม้ว่าสองสามวันมานี้เถียนเซียวเซียวกับวังจือเฟิงจะเห็นใบหน้าที่งดงามของฉินหร่านจนชินตาแล้ว ทว่าก็ยังทึ่งกับหน้าตาและเสน่ห์อันน่าดึงดูดของคนที่เดินเข้ามา 

 

 

“วันนี้ช้าไปกี่นาที” เฉิงเจวี้ยนดึงมือฉินหร่านอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง พลางประครองฝ่ามือไว้ แต่ไม่ได้มองเธอ พลางใช้สายตามองเถียนเซียวเซียวและวังจือเฟิง ถามด้วยความสุภาพ “ทั้งสองคนจะไปไหน ต้องให้ไปส่งหรือเปล่า?” 

 

 

ตั้งแต่เด็กที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง เถียนเซียวเซียวจึงรู้ท่าทีดี เธอหยิบแว่นตาดำ พลางยิ้ม “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวมีคนมารับฉันกับวังจือเฟิงค่ะ” 

 

 

ทั้งสองฝ่ายบอกลากันอย่างสุภาพ 

 

 

เมื่อรอรถคันนั้นจากไป เถียนเซียวเซียวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก 

 

 

วังจือเฟิงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ปีนี้รายชื่อคนที่สอบได้ที่หนึ่งระดับประเทศสาขาวิทย์คณิตคือฉินหร่านนี่! ทั้งสองมีชื่อเหมือนกัน! บังเอิญจริงๆ!” 

 

 

ชื่อของคนที่สอบได้อันดับหนึ่งระดับประเทศกระจายไปทั่ว แต่ไม่มีสื่อไหนกล้าลงรูปสักช่อง ทั้งไม่มีสื่อช่องไหนได้สัมภาษณ์เธอ 

 

 

เพียงให้สัมภาษณ์กับครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเธอไม่กี่ประโยค ทว่าก็เป็นบทความบรรยาย ไม่มีสื่อช่องไหนกล้าปล่อยรูป 

 

 

ในโลกออนไลน์ก็เสิร์ชไม่เจอข่าวคราวใดๆ ของเธอ เพียงรู้ว่าเธอเป็นคนเมืองหลวง และเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง 

 

 

ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งของประเทศปีนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างมาก ดังนั้นทุกคนล้วนอยากขุดคุ้ยเธอ หลังจากนั้นถึงมีข่าวลือออกมาว่า ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของประเทศเป็นถึงผู้ทรงอิทธิพล ไม่อาจปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลได้ 

 

 

ชาวเน็ตถึงเข้าใจว่า น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ จึงไม่คิดวุ่นวายอีก 

 

 

แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเมื่อถึงสอบปลายภาคก็ต่างกราบไหวปรมาจารย์ฉิน 

 

 

“ชื่อเดียวกันเฉยๆ มั้ง” เถียนเซียวเซียวไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก นักเรียนส่วนใหญ่ที่เรียนไวโอลินก็มาจากสายศิลปศาสตร์ 

 

 

ผู้จัดการของเธอเพิ่งขับรถมาถึง เถียนเซียวเซียวหันมาโบกมือให้วังจือเฟิงก่อนเดินขึ้นรถ 

 

 

วังจือเฟิงยืนอยู่ที่เดิมอยู่ครู่ใหญ่พลางพึมพำกับตัวเอง “บังเอิญจริงๆ” 

 

 

ทั้งแซ่กับชื่อก็ไม่ต่างกันเลย 

 

 

** 

 

 

ในรถเฉิงเจวี้ยน 

 

 

“ตอนเย็นฉันจะกลับไปกินข้าวที่บ้านเดิม” เขานั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ รอฉินหร่านคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ก่อนออกรถ “ส่งเธอกลับบ้านก่อนนะ” 

 

 

“อืม” ฉินหร่านเท้าคาง คุยแชทกับหลินซือหรานอย่างเอื่อยเฉื่อย 

 

 

หลินซือหรานก็เลือกมหาวิทยาลัยเมืองหลวง คะแนนของเธอไม่มีปัญหาอะไรมากกับสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง พรุ่งนี้เธอกับทางบ้านเตรียมตัวเดินทางมายังเมืองหลวง หนึ่งเพื่อมาหาฉินหร่าน สองเพื่อเข้าร่วมพิธีไหว้ครูของฉินหร่าน 

 

 

เฉิงเจวี้ยนขับรถกลับมาที่ถิงหลานก่อนตรงไปยังบ้านสกุลเฉิงในเมืองหลวง 

 

 

ถนนเส้นนี้รถติดเล็กน้อย 

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่าเวลาประมาณเกือบทุ่มเขาถึงเดินทางมาถึงบ้านสกุลเฉิง 

 

 

ณ บ้านสกุลเฉิง 

 

 

เฉิงเวินหรูกำลังสนทนาอยู่กับเลขาหลี่ สองมือของเธอกอดอก ยืนอยู่บนระเบียงด้านบนมองไปยังภูเขาปลอมอีกฝั่ง พลางมุ่นหัวคิ้ว “มั่นใจรึ?” 

 

 

“ที่งานประมูลมีเพียงดอกไม้จีนขวดเดียวเท่านั้นครับ” เลขาหลี่ขมวดคิ้ว “ส่วนเรื่องคนขาย ผมไม่เจอข้อมูลอะไรเลย แต่ว่า…ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่กำลังตามหาโอวหยางเวยครับ” 

 

 

“ให้เขาหาไปเถอะ” เฉิงเวินหรูโบกมืออย่างไม่สนใจ “ขอแค่หาดอกไม้จีนได้ ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพ่อฉัน” 

 

 

เลขาหลี่พยักหน้า 

 

 

ขณะทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ตรงบริเวณทางเดินภูเขาปลอมฝั่งนั้นก็มีร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่ด้านข้างมีเสียงคนสองคนพูดขึ้นว่า “นายน้อยสาม” 

 

 

เป็นเฉิงเจวี้ยน 

 

 

เฉิงเวินหรูหยุดพูด ก่อนก้มหน้าลง “ถ้านายไม่กลับมาอีก พี่ชายใหญ่คงพูดกรอกหูพ่อเรื่องปีที่แล้วอีกแน่” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้สนใจ ตอบด้วยท่าทีเกียจคร้านเล็กน้อยว่า “ให้เขาพูดไป” 

 

 

“แล้ว แม่สาวน้อยของเธอคนนั้นไม่คิดจะมาหาฉันบ้างเลยเหรอ?” เฉิงเวินหรูตามเขาไปที่บ้านใหญ่ พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก “ฉันเตรียมของขวัญให้แล้วนะ” 

 

 

แม้เธอจะมีอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ก็ดูแลตัวเองอย่างดี หางตาของเธอไม่มีแม้แต่ริ้วรอย 

 

 

“ช่วงนี้เธอสบายดี” เฉิงเจวี้ยนวางมือบนท้ายทอย ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างขอไปที “พอดีมะรืนนี้เพื่อนของเธอจะมาหา”