“คุณหนู วันนี้วาจาของท่านช่างเด็ดขาดมากเลยเจ้าค่ะ”
หลังออกมาจากตึกเต๋อเยว่ เสี่ยวโร่วก็เอ่ยกับฉินอวี้โม่ด้วยเสียงชื่นชม
คุณหนูสี่ตระกูลฉินยิ้มรับ นางเพียงแต่กล่าวออกไปตามที่ใจคิดเท่านั้น
“หานโม่หยวนผู้นี้โง่เง่าไร้สมอง กล้านำตัวเองมาเปรียบกับคุณชาย ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง”
เสี่ยวโร่วโกรธเคืองเป็นอย่างมาก สาวน้อยถึงกับคิดว่าคุณชายรองตระกูลหานคงจะเป็นคนไร้ปัญญาถึงได้กล้าพูดว่าตนเองดีกว่าคุณชายหานโม่ฉือ อุตส่าห์เป็นถึงน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกับบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แล้วแท้ ๆ แต่กลับทำตัวโง่เขลาเหมือนคนไม่มีสมอง เรื่องนี้ทำให้สาวน้อยอดรู้สึกสมเพชเวทนาคนผู้นั้นไม่ได้
“หึ ๆ ข้าเห็นด้วย หานโม่หยวนผู้นั้นไร้สมองอย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความดูแคลน
ในระหว่างที่กำลังสนทนากันไปพลางหัวเราะไปพลางนั้น ในที่สุด หนึ่งคุณหนูหนึ่งสาวใช้ก็เดินมาจนถึงบริเวณด้านหน้าอาคารสมาคมช่างหลอมแล้ว พวกนางทั้งสองตรงเข้าไปด้านในทันที
เมื่อทราบว่าสองสหายสนิทจากตระกูลฉินมาเยือน เยว่ชิงเฉิงก็เริงร่าเป็นอย่างยิ่ง
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว พวกเจ้ามาทำอะไรกัน มาหาข้าใช่หรือไม่ ?”
ทันทีที่ได้พบหน้าสหาย คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมช่างหลอมก็ถามไถ่เสียงสดใสก่อนจะพาพวกนางขึ้นไปยังอาณาจักรส่วนตัวของตนบนชั้นสามแล้วรีบปิดประตูลงทันที
“เสียใจด้วยนะอวี้โม่ ท่านปู่ของข้าเดินทางไปเมืองอื่น ช่วงนี้เจ้าคงพบเขาไม่ได้”
เมื่อทราบจุดประสงค์การมาเยือนของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็ยิ้มแห้ง ๆ พร้อมบอกกล่าวสหายไปตามตรง ยามนี้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ได้อยู่ที่สมาคมช่างหลอม เขาเดินทางออกจากนครไป๋อวิ๋นไปได้สักพักแล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าแสนเสียดาย หากว่ารู้ก่อนว่าท่านผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ได้อยู่ในสมาคม วันนี้นางก็คงจะยังไม่มาที่นี่
“คุณหนูชิงเฉิง วันนี้คุณหนูกับข้าไปเจอเรื่องตลกมาเรื่องหนึ่ง อยากลองฟังไหม ?”
เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างก่อนจะชักชวนเยว่ชิงเฉิงสนทนา
“รีบเล่ามาเลยเร็วเข้า !”
แน่นอนว่าคุณหนูผู้กว้างขวางในข่าวสารทุกเรื่องทั่วหล้าย่อมต้องอยากรู้อยากเห็น หากว่าแม้แต่เสี่ยวโร่วคนซื่อยังคิดว่ามันตลกนักหนา นั่นแสดงว่าเรื่องนี้ก็จะต้องน่าสนใจมากเลยทีเดียว
เสี่ยวโร่วน้อยอมยิ้มตาเป็นประกาย ขณะที่ใบหน้าของคนรอฟังก็ฉายแววนึกสนุกตามไปด้วย สาวน้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตึกเต๋อเยว่ให้สหายคุณหนูของตนฟัง และหลังจากฟังเรื่องราวจากปากของสาวใบหน้าจิ้มลิ้มจบ เยว่ชิงเฉิงก็ระเบิดเสียงฮาดังลั่น นางห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะไม่ได้จริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ จริงอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ หานโม่หยวนผู้นั้นโง่เกินเยียวยาจริง ๆ หากพวกเจ้าออกไปถามใครต่อใครในเมืองนี้ เจ้าก็จะรู้ว่าเขาไม่อาจเทียบได้แม้แต่เศษเสี้ยวของหานโม่ฉือ ไม่คิดเลยว่าจะกล้ากล่าววาจาหน้าไม่อายถึงขนาดนั้น ยิ่งกว่าหน้าหนาได้เพียงนี้หากไม่เรียกว่าโง่แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก ฮ่า ๆ ๆ”
เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่เองก็ต้องยิ้มตามเมื่อได้ฟังความคิดเห็นของคุณหนูช่างหลอม
“เสี่ยวโร่ว แล้วในตอนนั้นสีหน้าของหลิวหว่านเยียนเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเดาว่านางคงจะแทบฆ่าอวี้โม่ด้วยสายตาเลยใช่ไหมล่ะ ?”
เยว่ชิงเฉิงสันนิษฐานพลางปั้นหน้ารู้ทัน ความรู้สึกนึกคิดของหลิวหว่านเยียนที่มีต่อหานโม่หยวนนั้นทุกคนในนครไป๋อวิ๋นตั้งแต่จอมยุทธ์ระดับสูงไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาดต่างก็ทราบกันเป็นอย่างดี
ตอนได้เห็นหานโม่หยวนเกี้ยวพานฉินอวี้โม่ต่อหน้าต่อตา เยว่ชิงเฉิงจึงคาดว่าในอกของสตรีหลงตนเองผู้นั้นก็คงแทบจะระเบิดออกมาเป็นแน่
“เรื่องนั้นข้าไม่ทันได้สังเกต”
เสี่ยวโร่วตอบพลางส่ายศีรษะ ยามนั้นนางไม่มีเวลาสนใจสีหน้าของหลิวหว่านเยียนจริง ๆ เพียงใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปมาเดี๋ยวเสแสร้งเดี๋ยวคั่งแค้นปนระทมทุกข์ของบุรุษตระกูลหานผู้นั้น สาวใช้น้อยก็ไม่อาจละสายตาได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นนางยังต้องกลั้นขำจนปวดแก้มอีก
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของเยว่ชิงเฉิงนั้นไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ยามนั้นสีหน้าของหลิวหว่านเยียนบิดเบี้ยวราวกับเพิ่งรู้ตัวว่ากลืนแมลงสาบเข้าไปก็มิปาน
หลังจากฉินอวี้โม่ออกไปพร้อมกับเสี่ยวโร่ว หลิวหว่านเยียนก็จ้องมองหานโม่หยวนตาเขม็ง ในดวงตาคู่งามฉายแววทั้งเจ็บแค้นทั้งปวดร้าวอย่างสุดจะพรรณนา “หานโม่หยวน ที่เจ้าขอให้ข้าออกหน้าเชิญฉินอวี้โม่มาก็เพราะจะหว่านเสน่ห์แล้วเกี้ยวพาน หมายใจจะเอาสตรีบ้านนอกผู้นั้นมาเชยชมสินะ ?”
ไม่ต้องบอกก็ทราบว่าโฉมงามตระกูลหลิวนั้นกำลังโกรธจัด นางไม่คิดว่าตนมีสิ่งใดที่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่เลยสักนิด ต่อให้บุรุษตรงหน้าจงใจเกี้ยวสตรีผู้นั้นเพราะทำตามแผนการร้ายบ้าบออะไรของเขานั่นก็เถอะ แต่การทำเช่นนี้ต่อหน้าต่อตานาง มันก็ไม่ต่างจากการลากนางไปตบกลางถนนเลยสักนิด !
ทางฝ่ายหานโม่หยวนที่เพิ่งถูกฉินอวี้โม่ใช้วาจาตีแสกหน้ามาหมาด ๆ อารมณ์ของเขาจึงตกต่ำถึงขีดสุด เมื่อต้องมาได้ยินคำถามกดดัน วาจาจิกกัดน่ารำคาญของหลิวหว่านเยียนเช่นนี้อีก เพลิงโทสะของเขาก็ปะทุออกมา
“ใช่ ข้าแค่อยากได้ฉินอวี้โม่ แล้วเจ้ามีปัญหาอะไร ?!”
หานโม่หยวนสาดวาจาเย็นชาใส่สตรีข้างกาย ดวงตาของเขาจ้องใบหน้างามแต่น่าโมโหอย่างดุร้าย “หลิวหว่านเยียน ในสายตาข้าไม่มีตรงไหนของเจ้าที่สู้ฉินอวี้โม่ได้ อย่าว่าแต่ฝีมือและพรสวรรค์เลย แค่ด้านของความงาม ความมีสง่าราศี มีตรงไหนที่เจ้าเทียบนางได้บ้าง เช่นนี้ ไหนลองบอกข้าสิว่าทำไมข้าถึงต้องเลือกเจ้า ?!”
จู่ ๆ หานโม่หยวนก็รู้สึกอิจฉาหานโม่ฉือบุรุษร่วมสายเลือดขึ้นมาโดยพลัน เกิดมาก็ได้เป็นพี่ใหญ่ สิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ถูกวางไว้ให้เป็นของเขา พรสวรรค์ก็โดดเด่นกว่า พลังอำนาจก็สูงส่งกว่า แม้แต่เรื่องผู้หญิง คนผู้นั้นก็ยังได้สตรีที่สมบูรณ์แบบอย่างฉินอวี้โม่มาครอบครองอีก เหตุใดบุรุษน่าชังนามหานโม่ฉือที่เกิดมาเป็นอุปสรรคขวากหนามในชีวิตเขา ถึงได้ดีไปกว่าเขาทุกอย่างถึงเพียงนี้ ?
“หานโม่หยวน นี่เจ้า…”
เมื่อได้ยินวาจาไร้เยื่อใยของบุคคลที่ตนรัก สีหน้าของหลิวหว่านเยียนก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง นางทำได้เพียงจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้ ความโกรธแค้นและเจ็บปวดสุมอยู่ในหัวใจที่แทบจะแหลกสลายของสตรีโฉมงาม
“หึ ! ข้ากล่าวสิ่งใดผิดอย่างนั้นหรือ ?”
ฝ่ายชายหนุ่มยังคงจ้องมองหญิงสาวดวงตาแข็งกร้าวพลางเอ่ยต่อ “หลิวหว่านเยียน อย่าลืมสถานะของตัวเอง สตรีอย่างเจ้าไม่มีวันได้ขึ้นแท่นเป็นภรรยาเอกของข้า เต็มที่เจ้าก็เป็นได้แค่ภรรยารองเท่านั้น !”
หลังจากกล่าววาจาแสนโหดร้ายจบลง บุรุษผู้เดือดดาลก็รีบรุดออกจากตึกเต๋อเยว่ไปในทันทีโดยไม่เหลียวมองสตรีผู้คอยอยู่เคียงข้างและออดอ้อนเอาใจเขาเสมอมา
วาจาเชือดเฉือนใจจากปากชายผู้เป็นที่รักทำให้หัวสมองของหลิวหว่านเยียนว่างเปล่า สาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินยืนแข็งทื่อเหม่อลอยราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างอยู่เนิ่นนานก่อนจะดึงสติกลับมาได้ ในตอนนั้นเองใบหน้านวลเนียนที่เคยขาวผ่องก็มืดมนจนถึงขีดสุด มือบางตบโต๊ะดัง *ปัง* สายตาเกลียดชังไม่ปกปิดมองต้องไปยังพื้นที่เบื้องหน้าอันว่างเปล่า นางกำลังเคียดแค้นชิงชังสตรีผู้นั้นอย่างยิ่ง
สตรีบ้านนอกผู้น่ารังเกียจ ที่ชีวิตนางต้องพังพินาศย่อยยับเช่นนี้ทั้งหมดนี้ก็เพราะสตรีที่มีนามว่าฉินอวี้โม่คนนั้นเพียงผู้เดียว !
แน่นอนว่าทั้งเสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่ไม่ได้รู้สถานการณ์ทางฝ่ายนั้น พวกเขากำลังสนทนากับสหายตระกูลเยว่อยู่ที่สมาคมช่างหลอมอย่างออกรส
“ปกติแล้วก่อนวันปีใหม่หนึ่งวัน ในทุก ๆ ปี โรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจะจัดงานประมูลครั้งใหญ่ขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปมาสองสามครั้งแต่ก็ไม่เจออะไรน่าสนใจ แต่ปีนี้ข้าได้ยินมาว่าสิ่งที่พวกเขาจะนำมาประมูลล้วนแต่เป็นของดีที่หายาก ถ้าพวกเจ้าสนใจเราลองไปดูพร้อมกันไหม เผื่อว่าจะเจอของดี ๆ ที่ต้องตา”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวถึงเรื่องน่าสนใจที่นางเพิ่งได้ยินมาจากบิดาเมื่อวานนี้ขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่างานประมูลนี้ สิ่งที่จะนำออกมาให้ประมูลไม่ใช่เพียงตำราทักษะยุทธ์ แก่นมายา แกนชีวิต อาวุธหรืออุปกรณ์อันหลากหลายเท่านั้น ทว่ายังมีสมบัติที่หายากมากมาย และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในปีนี้ก็คือ—แผนที่ขุมทรัพย์ที่ว่ากันว่าจะนำพาผู้ครอบครองให้ไปพานพบกับสมบัติล้ำค่า ด้วยเหตุนี้ทำให้หลาย ๆ คนคาดเดาว่างานประมูลในปีนี้น่าจะต้องคึกคักไม่น้อย
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหันหน้ามาสบตากัน ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองหลิงซีพวกนางก็เคยเห็นงานประมูลผ่านตามาบ้าง ทว่าเนื่องจากที่นั่นเป็นเพียงเมืองขนาดเล็ก งานประมูลจึงมีขนาดที่ไม่ใหญ่โต และสิ่งที่เรียกว่าเป็นของล้ำค่าจริง ๆ ก็ไม่ค่อยจะมีให้เห็นกันนัก หากมีโอกาสได้ไปเปิดหูเปิดตาในงานประมูลใหญ่ของนคราอันยิ่งใหญ่อย่างนครไป๋อวิ๋นแล้วก็คงจะเป็นการเปิดประสบการณ์ที่ดีไม่น้อย
“คุณหนู พวกเราลองไปดูกันเถอะ”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่ตาเป็นประกาย
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มตอบรับ นางเองก็อยากจะเห็นงานประมูลใหญ่สักครั้งในชีวิตเช่นกัน
“ตกลง งั้นวันจัดงานข้าจะไปหาพวกเจ้าที่ตระกูลฉินแล้วเราค่อยไปพร้อมกัน”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มอย่างมีความสุข
โรงประมูลของนครไป๋อวิ๋นอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลฉินเท่าใดนัก คุณหนูช่างหลอมจึงนัดพบสหายสาวทั้งสองที่บ้านของพวกนางเพื่อความสะดวก
“เหตุใดไม่เรียก ฉีอวี้ หลิงเฟิง กับซวงเอ๋อร์ไปด้วยกันเลยล่ะ ปีก่อนข้าก็เคยชวนสหายทั้งหลายไปด้วยกัน คนเยอะ ๆ สนุกดี”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวเสียงเริงร่า ยิ่งมีคนเยอะก็ยิ่งครึกครื้น
“งั้นเจ้าก็เรียกชิงเฟิงมาด้วยสิ”
ฉินอวี้โม่เสนอความคิดเห็น คุณหนูตระกูลฉินพยายามตีสีหน้าใสซื่อและเก็บซ่อนรอยยิ้มขี้เล่นเอาไว้อย่างเต็มที่
เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงนั้นเรียกได้ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมา ในหนึ่งวันหากอยู่ด้วยกันก็จะต้องมีสักครั้งที่พวกเขาจะทะเลาะกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่เคยจริงจังแต่บ้างก็มีเถียงกันคอเป็นเอ็น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเมื่อพวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันกลับกลายเป็นสีสันที่ทำให้ทั้งกลุ่มดูมีชีวิตชีวา ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ไม่เคยโกรธเคืองกันอย่างจริงจังเลยสักครั้ง ในใจลึก ๆ แล้วฉินอวี้โม่รู้สึกว่าสหายสองคนนี้เหมาะสมกันยิ่งนัก และนางก็เชื่อว่าหากไม่นับคู่กัดหนุ่มสาวที่เคยเป็นคู่หมายกันมาก่อน คนอื่น ๆ ที่เหลือในกลุ่มก็คิดเห็นเช่นเดียวกับนาง
“หึ ใครอยากชวนคนพรรค์นั้นกัน ?”
เยว่ชิงเฉิงกลอกตาก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อวี้โม่ ทำไมเจ้าไม่ลองชวนหานโม่ฉือมาด้วยเลยล่ะ ข้าได้ยินว่าเขาร่ำรวยมาก ถึงตอนนั้นเจ้าอยากได้อะไรก็แค่ชี้นิ้วสั่งแล้วเจ้าก็จะได้ดั่งใจปรารถนา*…. ‘สตรีผู้เป็นราชินีของข้า’*”
คุณหนูจอมเซี้ยวแห่งสมาคมช่างหลอมเสนอด้วยเสียงล้อเลียน ก่อนที่จะดัดเสียงทุ้มต่ำให้คล้ายเสียงบุรุษแล้วกล่าวถ้อยคำที่คล้ายคลึงกับวาจาที่หานโม่ฉือเคยกล่าวในตอนท้าย
หลังจากเห็นกิริยาของสหายจอมซ่า ฉินอวี้โม่ก็มองค้อนขวับเพื่อปรามนางครั้งหนึ่งอย่างไม่จริงจังนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ อันที่จริงนางกับเสี่ยวโร่วก็ไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก การเข้าร่วมงานประมูลใหญ่โตโดยที่ไม่มีเงินเลยคงจะดูน่าอายไม่น้อย ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถเลือกหาประมูลสมบัติที่หมายตามาได้ต่างหากคือสิ่งที่จะต้องครุ่นคิด
หลังจากบอกลาเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ออกจากสมาคมช่างหลอมในทันที
“คุณหนู ท่านว่าจะมีของที่เราสนใจในงานประมูลบ้างหรือไม่ ?”
เสี่ยวโร่วรู้สึกสนใจในงานประมูลเป็นอย่างมาก เกิดมานางยังไม่เคยร่วมงานประมูลใหญ่เลยสักครั้ง สาวใช้น้อยจึงยังคงวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องนี้
“ข้าว่าก็คงมีบ้าง”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบก่อนจะเอ่ยต่อไปอย่างเหม่อลอย “แต่ติดตรงที่เราไม่ค่อยมีเงินนี่สิ”
คุณหนูตระกูลฉินเองก็เอาแต่คิดทบทวนถึงงานประมูลที่ได้ยินมาไม่ต่างกัน และประเด็นสำคัญที่พวกนางต้องหาทางจัดการก็คือปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ …อีกแล้ว
เมื่อได้ฟังวาจาของคุณหนู เสี่ยวโร่วก็ชะงักไปเล็กน้อย พลันรอยยิ้มกว้างอย่างนึกยินดีก็จางหายไปก่อนที่ใบหน้าจิ้มลิ้มจะเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงในชั่วพริบตา นางลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท
แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกนางจะเคยรวบรวมแก่นมายาและแกนชีวิตจากการล่าอสูรมายาได้มากมายจนสามารถนำไปแลกเหรียญทองมาได้ไม่น้อย ทว่าเงินจำนวนนั้นพวกนางทั้งคู่ก็ใช้สอยไปพอสมควรแล้วและเหลืออยู่อีกไม่มากนัก หากคิดจะเอาไปใช้สำหรับงานประมูลใหญ่ระดับนั้นแล้ว เงินจำนวนเท่านี้เรียกว่าไม่มีเลยจะเข้าใจง่ายเสียกว่า
“คุณหนู เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร ? พวกเราลองไปที่สมาคมทหารรับจ้างกัน ไปดูว่าพอจะมีงานหรือภารกิจที่ได้เงินเยอะ ๆ ให้เราทำบ้างหรือไม่”
เสี่ยวโร่วนึกแนวทางหนึ่งขึ้นได้ หากจะกล่าวถึงเรื่องทำเงินก็คงต้องเป็นที่สมาคมทหารรับจ้างจึงจะเห็นผลได้เร็วที่สุด
“เป็นความคิดที่ดี ไปเถอะ รีบไปดูกันตอนนี้เลย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวันก่อนที่งานประมูลจะเริ่มขึ้น พวกนางต้องรีบพยายามหาเงินให้ได้เร็วที่สุด
……
ณ สมาคมทหารรับจ้างแห่งนครไป๋อวิ๋น
หากกล่าวถึงสมาคมแห่งนี้ ฉินอวี้โม่ก็อดนึกถึงสหายคุณชายจอมหยิ่งของนางขึ้นมาไม่ได้ หลังจากก้าวเข้ามาภายในอาคารสมาคมแล้ว สตรีทั้งสองจึงคิดที่จะเข้าไปทักทายหลินจิ้งหงนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก่อนเป็นอันดับแรก สองสาวเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ทว่ายังไม่ทันจะก้าวพ้นบันได พวกนางก็มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนคุ้นเคย
หลินจิ้งหงกำลังนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะยาวตัวหนึ่งบนชั้นที่สองพลางฟังเหล่าทหารรับจ้างในสังกัดบอกเล่าเรื่องราวอันน่าสนใจ และในตอนที่กำลังยกชาขึ้นดื่มนั้น สายตาคมกริบก็เหลือบไปเห็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา
ทันทีที่เห็นสหายสาวทั้งสอง นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด เขารีบลุกออกจากวงสนทนาแล้วเดินตรงเข้าไปหาสตรีทั้งสองอย่างไม่ลังเล
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว พวกเจ้าสู้อุตส่าห์ลำบากตรากตรำตั้งหน้าตั้งตาเดินทางมาหาข้าถึงที่นี่เลยอย่างนั้นหรือ ?”
คำทักทายแรกของสหายคุณชายก็ยังคงเป็นไปในทางหยอกล้อเหมือนอย่างเคย
แม้จะเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้ว แต่เสี่ยวโร่วก็ไม่ได้คุ้นเคยกับหลินจิ้งหงมากนัก สาวใช้น้อยจึงได้แต่ยืนยิ้มนิ่ง ๆ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักทาย ต่างจากสตรีผู้เป็นคุณหนู หลังจากฟังคำหยอกเย้าของเขา นางก็เผยรอยยิ้มบางก่อนจะกล่าวตอบ “ที่มาวันนี้ก็เพราะอยากรับภารกิจ พอดีคนโลภอย่างพวกเรากำลังร้อนเงินมาก”
“อะไรกัน นี่ร้อนเงินหรอกหรือ ข้าให้เจ้ายืมก่อนเอาไหมล่ะ ? จ่ายให้อย่างงาม ผ่อนชำระได้ งดเว้นดอกเบี้ยทุกวันพระใหญ่ ปีใหม่ และวันที่ข้าป่วย”
หยอกมาก็หยอกกลับ แน่นอนว่าเรื่องลับฝีปากกับหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็ไม่เป็นรอง
“ก็ไม่ค่อยอยากจะเกรงใจเท่าไหร่นัก แต่พวกข้าโลภมากนี่ซี้ ท่านจะให้ยืมไหวหรือ อีกอย่างยืมเงินสหายผู้มั่งคั่งคงต้องขอทยอยผ่อนชำระแบบไม่มีกำหนด ที่สำคัญหลังจากให้พวกข้ายืมเงินแล้วเกรงว่าวันที่ท่านป่วยหนึ่งปีจะมีอยู่สองวันคือ วันข้างขึ้นกับวันข้างแรม”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ พูดคุยกับเจ้านี่สนุกจริง ๆ”
หลินจิ้งหงหัวเราะสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำว่า*‘ร้อนเงิน’*ที่เอ่ยจากปากของคนตรงหน้า มันก็ชวนให้เขานึกถึงตอนไปทำภารกิจที่บึงสายหมอกในเมืองหลิงซีกับสหายคนงามผู้นี้
“อวี้โม่ เจ้ายังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้หรือไม่ ข้าว่าเหตุการณ์มันก็คล้าย ๆ กับตอนนี้เลยนะ”
สิ่งที่หลินจิ้งหงกล่าวชวนให้ฉินอวี้โม่หวนนึกถึงตอนที่นางไปยังสมาคมทหารรับจ้างในเมืองหลิงซีเพื่อรับภารกิจ ครั้งนั้นนางก็ร้อนเงินเหมือนตอนนี้ ซึ่งเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่อดีตนักฆ่าสาวได้รู้จักกับหลินจิ้งหงและหานโม่ฉืออย่างเป็นทางการ พอนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้ว นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“เหตุใดข้าจะจำไม่ได้ ในตอนนั้นคุณชายหลินแห่งสมาคมทหารรับจ้างทำให้ข้าประหลาดใจมาก แม้จะรู้ว่าข้าไม่มีประโยชน์ใด ๆ ก็ยังชวนข้าร่วมทำภารกิจและยังเสนอรางวัลก้อนโตให้ข้าอีก”
สิ้นคำกล่าวของสาวงาม หลินจิ้งหงก็หัวเราะร่า
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่อย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ นั่นแหละ แต่ใครว่าเจ้าไร้ประโยชน์กัน เจ้าจำคำพูดของข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ทำสีหน้างุนงง คุณชายหลินก็กระแอมไปครั้งหนึ่งก่อนจะเชิดหน้าสูง มองกดต่ำ แล้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าบอกเจ้าว่า หากมีสาวงามอยู่ในกลุ่มด้วยย่อมต้องช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเราได้ เช่นนั้นเราก็ย่อมต้องต่อสู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ”
“พรวดดดดด ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ทั้งฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วขำพรวดออกมาทันที วาจาของคุณชายจอมวางท่าผู้นี้ยังคงเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน และในตอนนี้เองที่สาวใช้น้อยคิดว่าคุณชายหลินจิ้งหงผู้นี้เป็นบุคคลน่าสนใจและน่าคบหาผู้หนึ่ง
“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า มีงานพิเศษอะไรที่ได้เงินเยอะ ๆ ให้เราทำบ้างหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยเข้าประเด็นสำคัญ
“บอกข้าก่อนว่า ที่ว่าเงินเยอะ ๆ ของพวกเจ้านี่มันสักเท่าไหร่ ?”
หลินจิ้งหงถามอย่างใคร่รู้ก่อนจะเดินนำสหายสาวทั้งสองไปที่โต๊ะรับภารกิจ
“อีกไม่กี่วันจะมีงานประมูลใหญ่จัดขึ้นในนครไป๋อวิ๋น ข้าอยากได้เงินมาจับจ่ายในงานนั้นสักหน่อย ตอนนี้พวกเรามีเงินอยู่ไม่มากก็เลยอยากได้งานที่ทำให้เรามีเงินมากพอจะประมูลของดี ๆ มาได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงเหตุผลที่มาที่นี่ให้หลินจิ้งหงฟังตรง ๆ อย่างไม่ปิดบัง
คุณชายหลินเอามือลูบคางพลางพยักหน้าหงึกหงัก นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างจับจ้องสหายอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“อวี้โม่ หากว่าเจ้ากับสาวน้อยของเจ้าอยากได้เงินเพื่อใช้งานประมูลจริง ๆ มันมีวิธีที่ง่ายดายกว่าการรับภารกิจอยู่ไม่ใช่หรือ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย เหตุใดหลินจิ้งหงถึงได้กล่าวเช่นนั้นกัน ?
“เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าสามารถสยบอสูรมายาได้ ขอเพียงเจ้าสยบอสูรมายาระดับสูง ๆ ให้ได้สักตัวหรือสองตัว แล้วส่งมันไปที่โรงประมูล เช่นนั้นเจ้าก็จะได้เงินมากมายมาได้ไม่ยากแล้ว”
หลินจิ้งหงทราบว่าฉินอวี้โม่สามารถสยบอสูรได้ เรื่องนี้คุณหนูตระกูลฉินไม่ประหลาดใจเพราะอีกฝ่ายเป็นสหายรักของหานโม่ฉือและในตอนที่นางสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรได้ ในตอนนั้นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสมาคมทหารรับจ้างก็อยู่ด้วย
และด้วยประโยคเสนอแนะดังกล่าวของหลินจิ้งหงก็ทำให้ฉินอวี้โม่ตาเป็นประกาย สหายคุณชายผู้นี้นับว่าสมองเป็นเลิศโดยแท้
นางลืมไปได้อย่างไรว่าหนึ่งในอาชีพที่ทำเงินได้ดีที่สุดก็คือผู้ฝึกสัตว์อสูร