ขณะที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเป็นห่วงความปลอดภัยของเหล่าใต้เท้าที่อยู่ในตำหนักในวันฝนตกเช่นนี้ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดใส่ใจ

จนกระทั่งผ่านไปสองชั่วยาม เมื่อการประชุมในท้องพระโรงจบลง นายใหญ่เฉินก็เพิ่งจะได้รับจดหมายจากบ่าวหนุ่มที่บัดนี้เหงื่อโชกไปทั้งตัว

บ่าวหนุ่มหายใจหอบกระชั้นจนพูดจาไม่ได้ศัพท์ เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนมากจริงๆ พอเปิดจดหมายอ่านก็พบกับลายมือยุ่งเหยิง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขียนด้วยความร้อนรนเพียงใด

“…ทหารก็ดี อาวุธก็ดี มิใช่สักแต่ว่าเป็น พลทหารย่อมต้องหมั่นฝึกฝน แม่ทัพจักต้องรู้จักเลือกใช้คน หาใช่เรื่องที่สำเร็จได้ในวันพรุ่ง จักต้องวางแผ่นอย่างแยบยล หากแพ้ศึกสงคราม จักสูญสิ้นทั้งทหารและกองทัพ หากโง่เขลาเบาปัญญา จักบ่อนทำลายตน…”

นายใหญ่เฉินอ่านลายมือหงิกงอที่แทบมองไม่ออกว่าคืออักษรใด ทว่าเขากลับไม่ได้คิดตำหนิแต่อย่างใด แม้จะไม่มีเรื่องใดในวังหลวงเป็นความลับ แต่การที่ได้ทราบข่าวจากท้องพระโถงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

นายใหญ่เฉินจ้องมองเนื้อหาที่เขียนบนกระดาษ

จางเจียงโจวเป็นคนพูดอย่างนั้นหรือ

เขาเป็นคนออกปากอย่างนั้นหรือ

แถมยังฟ้องคนถึงสองคนอีกต่างหาก!

เดิมทีผลลัพธ์มีเพียงแค่สองทางคือเดินหน้ากับถอยหลัง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสามทาง

จะถอยหลังก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็คงไม่ถึง!

เหตุการณ์ที่สองฝ่ายโต้เถียงกันอย่างยืดเยื้อเปลี่ยนไปในพริบตา แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ คาดว่าทั้งสองฝ่ายคงตั้งรับไม่ทัน และไม่พอใจเช่นกัน

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!

เหตุใดเขาถึงเอ่ยคำเช่นนั้นออกมา

เจียงโจว…

สำนักบัณฑิต…

เฉิงเจียวเหนียง…

นายใหญ่เฉินมือไม้สั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ เขาหวาดกลัวความคิดในหัวของตนเอง

แปลกนัก เหตุใดเขาถึงนึกถึงแม่นางน้อยผู้นั้นกัน

หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองคนมาจากเจียงโจว

แต่ทั้งสองคนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

คนหนึ่งเป็นบัณฑิตลัทธิขงจื้อผู้เลื่องชื่อแห่งเจียงโจว ผู้คนจึงเรียกขานว่าอาจารย์แห่งเจียงโจว

อีกคนหนึ่งแม้จะเลื่องชื่อในเจียงโจวเช่นกัน แต่สองคำห้อยท้ายนั้นกลับต่างออกไป เด็กบ้าแห่งเจียงโจว

เหตุใดพอนึกถึงคนแรกแล้ว เขาถึงต้องคิดถึงคนหลังด้วย

คงไม่ใช่เพราะเด็กบ้าแห่งเจียงโจวไปหาท่านอาจารย์เจียงโจวที่สำนักบัณฑิตเพียงแค่หนเดียว

ก็ทำให้อาจารย์เจียงโจวพูดจาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเช่นนั้นในท้องพระโรงหรอกกระมัง

พูดเป็นเล่นไปได้…

ณ โรงน้ำชาริมถนนแห่งหนึ่ง นายใหญ่โจวนั่งอยู่บนเบาะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มีขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ เขากำลังกดเสียงให้เบาพลางเล่าเรื่องด้วยสีหน้าเช่นเดียวกัน

“ฉู่อ๋องร่างกายซูบผอม ราชสำนักขัดสนเหมือนคนอดอยาก ทำศึกคราหนึ่ง บางคราฝ่าบาทก็ยินดี บางทีก็ทรงกริ้ว ว่าราชการกลับไปกลับมาไม่เว้นแต่ละวัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าขุนนางจักหวาดหวั่น ชายแดนก็คงหาความสงบสุขมิได้…”

นายใหญ่โจวใบหน้ายิ้มแย้มไปตามคำบอกเล่านั้น จนกระทั่งเผยยิ้มออกมา

“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม!”

เขาหัวเราะออกมาในที่สุด

ขุนนางผู้น้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เอื้อมมือมาจับเขาพลางส่งสัญญาณมือให้เขาเบาเสียงลง

นายใหญ่โจวพยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดกำลัง

“ราชเลขาหลิวเป็นลมล้มชักไปมิใช่เรื่องแปลก แต่หากเป็นกันสักสองสามคนคงสนุกดีไม่น้อย!” เขาเอ่ยเสียงฮึดฮัด “เจ้าเด็กบ้านี่ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยสักครั้ง สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนทุกคราไป…”

พูดจบเขาก็ส่ายหน้าไปมา

“แต่ว่า เรื่องน่าประหลาดใจเช่นนั้นอย่าได้เกินขึ้นกับตัวข้าเลย”

ต่อมาในยามย่ำคำ ณ โรงน้ำชาอีกแห่งหนึ่ง นายใหญ่ต่งกำลังประจันหน้ากับขุนนางผู้น้อยผู้หนึ่ง ทว่าต่างจากคนหลายคนที่มาก่อนหน้า เพราะเขานั้นยื่นม้วนเงินแล้วยัดใส่มือให้แก่อีกฝ่าย

ขุนนางน้อยมองดูม้วนเงินในมือก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง

“กิจการทหาร เหตุการณ์บนสนามรบแปรผันได้ทุกวินาที เหล่าขุนนางที่อยู่นอกสนามรบย่อมไม่รู้เห็นแต่อย่างใด นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงส่งชี้นิ้วสั่งการศึกสงครามชายแดน ไม่รู้ยุทธวิธี ไม่รู้ความเหน็ดเหนื่อยของเหล่าทหาร แต่กลับถามว่าเหตุใดไม่กินเนื้อบด…”

“พวกเจ้าปากว่าตาขยิบ อ้างฟ้าอ้างดิน อ้างความยุติธรรม อ้างว่าต้องลงโทษเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง เรื่องคดโกงในกิจการทหารพวกเจ้ารู้ชัดแจ้งเพียงใดกันเชียว เถียงเพื่อให้ได้เถียง โต้เพื่อให้ได้โต้ ลงโทษเพียงเพื่อจะให้ได้ลงโทษ อ้างเรื่องหนึ่งเพื่อจะแสวงหาผลประโยชน์จากอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าทำเพื่อการใดกันแน่ ทำเพื่อกิจการทหารอันใหญ่หลวง หรือว่าทำเพื่อยึดอำนาจทัพทหารตะวันตกเฉียงเหนือ หรือเพื่อเอาความดีความชอบกันแน่…”

ตลอดชีวิตของขุนนางผู้น้อยคนนี้ไม่เคยพบเห็นการโต้เถียงของเหล่าขุนนางอันดุเดือดในท้องพระโรงเช่นนี้มาก่อน เพียงแค่ได้ยินเขาก็พอนึกภาพเหตุการณ์ออกว่าเป็นอย่างไร พอพูดถึงจึงเล่าได้อย่างลื่นไหล ถึงกับท่องจำคำพูดเหล่านั้นได้อย่างคล่องแคล่ว

ทว่าพ่อค้าเจ้าของกิจการเก็บขยะผู้นี้กลับไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟังได้เพียงสองสามประโยคก็ยกมือขึ้นขัดเขา

“เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องเล่าให้ข้าฟัง ข้าฟังไม่รู้ความ เจ้าบอกข้ามาว่าทหารหนีทัพพวกนั้นถูกประหารหรือไม่” เขาถาม

“พวกใต้เท้าโต้เถียงเรื่องเล็กเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน!” ขุนนางผู้น้อยถลึงตาอย่างเหยียดหยามพลางเอ่ยต่อ “ยามนี้กำลังโต้เถียงกันเรื่องจะคัดเลือกผู้ใดไปประจำชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วก็เรื่องว่าจะถอนทัพทหารตะวันตกเฉียงเหนือหรือไม่ คนที่จะมาแทนคงจะเป็น…”

“เรื่องพรรค์นั้นข้าไม่สนใจ” นายใหญ่ต่งเอ่ยขัดเขาอีกครั้งก่อนจะถามอย่างร้อนรน “ข้าแค่อยากรู้ว่าทหารหนีทัพพวกนั้นถูกลงโทษอย่างไร”

ขุนนางผู้น้องเบิกตาโพลง

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ จ่ายเงินมากเพียงนี้เพื่อฟังเรื่องนี้น่ะหรือ” เขาถาม

“เงินข้า ข้าจะใช้อย่างไรก็เรื่องของข้า!” นายใหญ่ต่งถลึงตาเอ่ย

คงได้กลิ่นขยะจนฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง…

ขุนนางผู้น้อยได้แต่จนใจ

“คงไม่ตายหรอก” เขาเอ่ย

นายใหญ่ต่งตาเป็นประกายในทันใด

“ไม่ตายจริงๆ หรือ” เขาเอ่ยถามเสียงหลง

“ไม่รู้ว่าสุดท้ายฝ่าบาทพิพากษาอย่างไร แต่หวังปู้ถังผู้นั้นคงได้รับโทษจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน แถมยังถอดยศเหล่าขุนนางที่ใกล้ชิดกับเขา แล้วก็แต่งตั้งเจียงโจวเฟิ่งเสียงที่อำมาตย์เฉินแนะนำ ให้เป็นผู้ตรวจการแทนพระองค์ ส่งตัวไปยังตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อสืบสวนกิจการทหาร หาความจริงเรื่องฉ้อโกง…” ขุนนางผู้น้อยสาธยายต่อ

“แล้วทหารหนีทัพพวกนั้นเป็นอย่างไร เจ้าจะพูดจาเฉไฉเรื่องอื่นให้ได้อันใดขึ้นมา!” นายใหญ่ต่งตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง

“นี่เจ้าเมากลิ่นขยะจนเสียสติไปแล้วหรือ! ก็เห็นอยู่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างถอยคนละก้าว เรื่องใหญ่ก็โต้เถียงกันจบไปแล้ว ทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับการคัดเลือกคนเข้ามารับตำแหน่ง ผู้ใดจะไปสนใจทหารหนีทัพพวกนั้นกัน! พวกเขาไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่าง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด! ก็แค่ข้ออ้างที่ยกมาโต้เถียงกันเท่านั้นเอง!” ขุนนางผู้น้อยก็ตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

บ่าวเดินไปมาขวักไขว่ในลานบ้าน ยกหีบเล็กหีบใหญ่ขึ้นรถจนวุ่นวายกันไปหมด

“ท่านพ่อ เหตุใดถึงรีบไปนัก” แม่นางต่งกะโตนถาม

“ยังเรียกว่ารีบอีกหรือ เรียกว่าพอดีต่อหาก ไม่ช้าไม่เร็ว” นายใหญ่ต่งเอ่ย พลางชี้นิ้วสั่งบ่าวให้ขนของขึ้นรถ

“แต่พวกพี่ใหญ่สวียังไม่ถูกปล่อยตัวออกมาเลยนะเจ้าคะ!” แม่นางต่งเอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านไม่คิดว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันบ้างหรือ หากถูกสั่งประหาร หรือว่าได้อภัยโทษขึ้นมาแต่ก็หนีไม่ได้อยู่ดี พวกเขาคงไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่ คงไม่ยอมให้พวกเราหนีออกนอกเมืองได้ง่ายๆ หรอก!”

“ไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ ทั้งนั้น” นายใหญ่ต่งเอ่ยอย่างมั่นใจ “ในเมื่อพวกใต้เท้าไม่สนใจ แสดงว่ายังพอมีช่องให้เจรจาได้ สำหรับแม่นางผู้นั้นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องรีบหนี รีบหนี นางคงไม่สนใจพวกเราหรอก”

“ท่านพ่อ” แม่นางต่งยืนนิ่งไม่ยอมไป ท่าทางอาลัยอาวรณ์ “เช่นนั้น เช่นนั้นรอพวกพี่ใหญ่สวีออกมา แล้วพบกันสักครั้งก่อน…”

“พบกันอะไรอีกเล่า!” นายใหญ่ต่งหน้าบึ้งตึงในทันที “เพราะพวกเจ้าพบกันนั่นแล ถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้! เจ้ายังจะพบกันอีกหรือ! ยังจะพบอีกหรือ! เจอคนพวกนั้นที บ้านเราก็เกิดเรื่องที จะรอให้พวกเขามาตามเอาเรื่องหรืออย่างไร”

“เรื่องนี้เป็นฝีมือของเซี่ยงชีทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับพวกเราเสียหน่อย พี่ใหญ่สวีไม่มีทางกล่าวโทษพวกเราหรอก!” แม่นางต่งตะโกน

นายใหญ่ต่งส่งเสียงถุยออกมา

“ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกหนา หากบอกว่าเพียงแค่คิดร้ายก็ถือว่าเป็นความผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าคือบ่อเกิดแห่งความคิดชั่วร้ายนั้น เซี่ยงชีเป็นหัวโจก ส่วนเจ้าเป็นผู้สมคบคิด ไม่ว่าจะหัวโจกหรือผู้สมคบคิดก็ล้วนแต่มีความผิดทั้งสิ้น ผู้ใดก็หนีไม่พ้น!” เขาตะโกน “ถึงคราวนี้สวีเม่าซิวจะรอด แต่ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล ผู้ใดจะยืนยันได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องเดือดร้อนอันใดอีก หากไม่เกิดขึ้นก็ดี แต่หากเกิดขึ้นมา คนเราก็ย่อมหวนนึกถึงเรื่องในวันนี้ เคืองแค้นเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้”

“ท่านพ่อ ท่านพูดจาเหลวไหล เรื่องในวันหน้าจะมาถือโทษกับพวกเราได้เช่นไร!” นางเอ่ยคิ้วขมวด

เหตุการณ์คราวที่ทำให้ท่านพ่อของนางตกใจจนเสียขวัญไปแล้วหรือ

“จะไม่ถือโทษอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่ต่งส่งเสียงฮึดฮัด เหล่ตามองลูกสาว “เจ้าจำตุ๊กตาดินเผาของเจ้าได้หรือไม่”

แม่นางต่งชะงักไป

“ท่านพ่อ… เป็นเพราะท่านพ่อทำตุ๊กตาดินเผาของข้าแตกในตอนนั้น…” นายใหญ่ต่งเลียนเสียงลูกสาวของตน “ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ต้องออกไปซื้อ หากไม่ออกไปซื้อก็คงไม่ต้องตากฝน หากไม่ตากฝน ท่านแม่ก็คงไม่ป่วย หากไม่ได้ป่วยหนัก ท่านแม่ก็คง…”

“พอเถิดท่านพ่อ” แม่นางต่งตะโกนขัดนายใหญ่ต่ง

นายใหญ่ต่งมองนาง แม่นางต่งก้มหน้าไม่เอ่ยคำใด

“หญิงสี่ คนเรามักจะหาข้ออ้างที่ตนเองพอใจ หลอกตัวเองว่าไม่ใช่ความผิดของตน” เขาเอ่ย “ลืมเสียเถิด ชะตาชีวิตนี้”

“ท่านพ่อ…” แม่นางต่งเอ่ยเสียงตัดพ้อ

“พอเถิด หญิงสี่” นายใหญ่ต่งทอดถอนใจก่อนจะหันไปมองลูกสาว “ตัดใจเสียเถิด คนเราหากไม่รู้จักตัดใจ สุดท้ายแล้วก็มีแต่จะทำให้ตนเองเจ็บปวด ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด ของที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นของเจ้า ชะตาชีวิตนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว”

แม่นางต่งน้ำตาไหลริน ยกมือขึ้นปิดหน้า

“ไปเถิด หญิงสี่ ลืมเสียเถิด” นายใหญ่ต่งเอ่ย พลางหันหลังเดินจากไป

ชะตาชีวิตอย่างนั้นหรือ

แม่นางต่งก้มหน้าลงมองห่วงคล้องกระโปรงที่บั้นเอวของตัวเอง ห่วงนั้นไม่ใช่ทองคำ ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่หยก เป็นเพียงห่วงที่ทำมาจากหิน

นางเอื้อมมือลงไปหยิบห่วงนั้นขึ้นมาก่อนจะกำไว้ในฝ่ามือ

ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา นี่คือของเพียงสิ่งเดียวที่พี่ใหญ่สวีมอบให้แก่นาง ไม่สิ ไม่ได้มอบให้ แต่เป็นนางที่รบเร้าแย่งมาเองต่างหาก…

ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาชนอย่างแรง จนนางล้มลงไปกับพื้น

แม่นางต่งร้องตกใจ ห่วงหินในมือร่วงลงพื้น แตกละเอียด

“พวกเจ้า!” แม่นางต่งตะโกนคิ้วขมวดก่อนจะหันไปมองด้านข้าง

เด็กน้อยสองคนถดถอยหลังอย่างหวาดกลัว

“ท่านแม่…” พวกเขาเอ่ยเสียงแผ่ว “พวกข้าไม่ได้ตั้งใจ…”

แม่นางต่งจ้องมองพวกเขา ทว่าท้ายที่สุดก็ถอนหายใจแล้วฝืนยิ้มออกมา

“ไม่เป็นไร” นายเอ่ย พลางยื่นมือออกไปจูงลูกชายทั้งสอง “พวกเราไปขึ้นรถกันเถิด ท่านตาจะพาพวกเราไปเที่ยว”

เมื่อเห็นว่าท่านแม่ไม่ได้โมโห แถมยังบอกว่าจะออกไปเที่ยวอีก เด็กน้อยทั้งสองจึงร้องออกมาอย่างดีใจ จูงมือแม่นางต่งพลางกระโดดโลดเต้นเดินไป

ภายในลานบ้านคราคร่ำไปด้วยผู้คนและรถม้า ไม่นานห่วงหินที่แตกละเอียดอยู่บนพื้นก็ถูกเหยียบย่ำไปมาจนรวมไปกับฝุ่นดินบนพื้น

“ตระกูลคนเก็บขยะนั่นหนีออกไปทั้งบ้านแล้ว”

ท่านชายโจวหกเอ่ย พลางมองเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ริมระเบียง

“จะไปตามกลับมาหรือไม่ หรือว่าจะตามไปจัดการถึงที่”

“แล้วแต่เจ้า” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว

“เรื่องของเจ้า จะมาแล้วแต่ข้าได้อย่างไร” เขาถาม

เฉิงเจียวเหนียงวางพู่กันในมือลง

สาวใช้นำกระดาษที่เพิ่งเขียนเสร็จมาผึ่งแดดให้แห้ง

“ในเมื่อเป็นเรื่องของข้า เหตุใดเจ้าต้องถามให้มากความ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“เจ้าจะพูดจาดีๆ ไม่ได้เลยหรืออย่างไร” ท่านชายโจวหกถลึงตาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นยืน

“เจ้าต่างหากที่พูดไม่ดีกับข้า” นางเอ่ย

พูดจาเหลวไหลกลับกลอก!

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัดพลางยกมือไม้อย่างงุ่นง่าน

“แล้วท่านชายฉินสิบสามล่ะ พูดจาดีกับเจ้าหรือ” เขาเอ่ยถามกลับ

เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจ เดินออกจากห้องหนังสือไป สาวใช้ที่ตามหลังมาแขวนกระดาษที่เขียนในวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

แม้จะอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ แต่กิจวัตรประจำวันของเฉิงเจียวเหนียงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ยังคงเขียนอักษร ซ้อมยิงธนู และนอนกลางวันอยู่เช่นเคย

คนที่ทำเช่นนี้ได้ คงมีแต่คนเฒ่าคนแก่ที่มองโลกออกอย่างทะลุปุโปร่งกระมัง

หรือว่าอาจจะเป็นอย่างที่นายหญิงว่าไว้จริงๆ นางไร้หัวใจ ทำการใดนั้นจึงไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่น

ไร้ความเมตตา ไร้ความรู้สึก

“ท่านชายฉินสิบสาม… พวกเจ้าแอบทำการใดลับหลังกันอีก” ท่านชายโจวหกถาม

“พวกข้าก็แค่พูดคุยกันก็เท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“พูดคุยอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าพูดคุยอะไรกัน เรื่องในราชสำนักถึงได้กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“น่าขันนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางหันไปมองเขา

สายตาเช่นนี้! ท่าทางเช่นนี้!

เด็กบ้าที่นั่งอยู่กลางโถงของเรือนตระกูลเฉิงในตอนนั้นก็มองมาที่เขาด้วยสายตาเช่นนี้!

ท่านชายโจวหกกัดฟันกรอด เบิกตาโพรง

“เตรียมรถ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

จินเกอร์ขานรับก่อนจะออกไปเช่ารถ

“เจ้าจะไปที่ใด” ท่านชายโจวหกถาม

“ร้านตีเหล็ก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ร้านตีเหล็กอย่างนั้นรึ จะไปที่เช่นนั้นเพื่ออะไร

“เจ้าไม่เป็นห่วงทหารหนีทัพพวกนั้นเลยหรือ พวกเขายังไม่ถูกปล่อยตัวออกมาเลยนะ” ท่านชายโจวหกเอ่ย “เหตุใดถึงได้เย็นใจเช่นนี้…”

เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขาอีกครั้ง

“ไม่ใช่ว่าท่านพ่อของเจ้าจะเป็นคนจัดการหรือ” นางเอ่ย

แสดงว่านางเชื่อใจพวกเขาอย่างนั้นหรือ เชื่อว่าท่านลุงของนางจะทำสำเร็จอย่างนั้นหรือ

ท่านชายหกปั้นหน้านิ่ง

“เช่นนั้นถึงได้บอกว่า เจ้าไม่พูดกับข้าดีๆ ก่อนอย่างไรเล่า” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อก่อนจะหันหลังเดินจากไป

เช่นนั้นถึงได้พูดจาเพ้อเจ้อ พูดจาน่าขัน พูดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง

เจ้าเด็กบ้าแห่งเจียงโจว!

ท่านชายโจวหกกัดฟันมองแผ่นหลังของหญิงสาว

“นี่ คราวนี้เจ้ากับท่านชายฉินสิบสามทำอะไรกันแน่”

เขาก้าวเดินตามไป

ในขณะเดียวกัน ท่านชายฉินสิบสามที่กำลังเดินออกจากประตูก็ถูกท่านพ่อเอ่ยรั้งไว้

“ชายสิบสาม คราวนี้เจ้าทำเรื่องอันใดอีก” อาลักษณ์หลวงฉินถาม

“ทำอันใดหรือขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามถามอย่างสงสัย

“เจ้าไปที่ศาลาว่าการ…” อาลักษณ์หลวงฉินไม่สนใจท่าทางเฉไฉของลูกชาย ก่อนจะถามต่อ ใบหน้างดงามนั้นบึ้งตึงไม่น้อย “เรื่องของตระกูลโจวอีกแล้วหรือ…”

ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางพยักหน้า

“ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ ตระกูลโจวเกี่ยวข้องกับเรือนไท่ผิง เหล่าทหารหนีทัพพวกนั้นเป็นหนึ่งในเจ้าของร้านเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้าที่ขึ้นทะเบียนกับทางการ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ตระกูลโจวก็คงหนีไม่พ้น” เขาเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ไปถามไถ่ข่าวคราวจากเหล่าใต้เท้าในราชสำนักก็เท่านั้น…”

พูดเพียงเท่านั้นสีหน้าของเขาก็ดูร้อนรนขึ้นมา

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ก่อเรื่องให้ท่านใช่หรือไม่”

อาลักษณ์หลวงฉินส่ายหน้าพลางจ้องมองลูกชาย

“เจ้าไม่ได้ก่อเรื่องให้ข้าหรอก” เขาเอ่ย “เพียงแต่…”

“เพียงแต่อะไรหรือขอรับ ท่านพ่อบอกมาเถิด” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง

อาลักษณ์หลวงฉินมองดูลูกชาย ไม่รู้ว่าไม่เข้าใจจริงๆ หรือแสร้งทำกันแน่

“เจ้าทำได้เช่นไร” เขาโพล่งถามออกมา

คำพูดที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ทำเอาท่านชายฉินสิบสามชะงักไป

“ทำเรื่องอันใดได้หรือขอรับ” เขาเอ่ยด้วยความสงสัย

ท่าทางมึนงงสงสัยของลูกชายไม่อยู่ในสายตาของอาลักษณ์หลวงฉินเลยแม้แต่น้อย

“จะรู้แพ้รู้ชนะกันอยู่แล้วแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ อาจารย์เจียงโจวถึงเข้ามาผสมโรงด้วยได้ จนกลายเป็นว่าไม่มีแพ้ไม่มีชนะไปเสียได้” เขาถาม

ท่านชายฉินสิบสามจ้องมองท่านพ่อ

“ท่านพ่อถามข้าหรือ” เขาเอ่ยถามตาปริบๆ สีหน้านิ่งเรียบ ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ข้าคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามความมุ่งหมายของสวรรค์”

อาลักษณ์หลวงฉินจ้องมองลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง

“น่าแปลกนัก คราวก่อนเจ้าไปที่ศาลาว่าการเพื่อเรื่องของตระกูล กลายเป็นว่าราชเลขาหลิวเป็นลมล้มชักไปเสีย คราวนี้เจ้าก็ไปที่ศาลาว่าการอีก เรื่องที่เฉินเซ่าและพวกเกาหลิงปอวางแผนกันมายาวนาน ผลที่ออกมากลับเหนือความคาดหมายเสียอย่างนั้น…” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

………………………..