ท่านชายฉินสิบสามก็ยิ้มเช่นกัน

“ท่านพ่อ ก็แค่เรื่องบังเอิญขอรับ อีกอย่างวันหนึ่งคนเข้าออกศาลาว่าการตั้งมากมาย หากเป็นตามที่ท่านว่า แสดงว่าคงมีคนเก่งกาจจนดาดดื่นเต็มไปหมดสิขอรับ…” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า ใช่สินะ จะเป็นไปได้เช่นไร คงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญกระมัง

“เช่นนี้ตระกูลโจวจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้าไปมา

โชคดีแต่กลับเกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน พอโชคไม่ดีก็พลิกร้ายกลายเป็นดีจนน่าประหลาดใจ

คิดเพียงเท่านั้นอาลักษณ์หลวงฉินก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“ดูท่าทางแล้วเจ้าคงเป็นดาวนำโชคของตระกูลโจว แต่เป็นดาวเคราะห์ร้ายของเหล่าใต้เท้าในราชสำนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนในศาลาว่าการคงไม่กล้าให้เจ้าย่างเท้าเข้าไปเป็นแน่…”

เขายังไม่ทันได้พูดจบ สีหน้าของท่านชายฉินสิบสามก็เปลี่ยนไปในทันที

“ท่านพ่อ!” เขาร้องตะโกนออกมา

อาลักษณ์หลวงฉินตกใจกับทำพูดที่ตนเผลอหลุดปากอออกไป เหตุใดเขาถึงพูดว่าลูกชายของตนเป็นดาวเคราะห์ร้ายของใต้เท้าในราชสำนักเช่นนั้น หากแพร่งพรายออก เส้นทางราชการในวันหน้าของลูกชายคงดับสูญเป็นแน่!

ความเชื่อผีสางเทวดาเป็นเรื่องต้องห้ามในราชสำนัก

แต่ว่าเส้นทางราชการ….

เส้นทางราชการของลูกชาย…

เขาหันไปมองท่านชายฉินสิบสาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขาหายดีแล้วหรืออย่างไร ลูกชายคนนี้เหมือนจะตัวสูงขึ้นไม่น้อย ทั้งยังยืนด้วยท่าทางแสนสง่างามอยู่ตรงหน้าเขา

“ชายสิบสาม ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมา

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ

“ท่านพ่อ พ้นเดือนแปดไปลูกก็จะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว” เขาเอ่ย

“อายุสิบเจ็ดแล้ว ก็ควรลงสนามสอบได้แล้ว” อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้าพลางเอ่ย “ควรเริ่มอ่านหนังสือได้แล้ว”

แต่ก่อนท่านชายสิบสามขาพิการจึงไม่สามารถเข้าสอบได้ ตำราที่ศึกษาเล่าเรียนจึงไม่ได้มุ่งไปที่การสอบรับราชการ แต่ยามนี้นั้นต่างออกไป

ลูกชายของเขาฉลาดปราดเปรื่อง ไหวพริบปฏิภาณก็ดี แถมยังมีตระกูลคอยเกื้อหนุน วันหน้าจะต้องเติบโตในหน้าที่การงานเป็นแน่

ท่านชายฉินสิบสามโค้งคำนับ

“ขอรับท่านพ่อ” เขาเอ่ย

อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า พลางมองลูกชายหันหลังกลับไป

“ชายสิบสาม” เขาเอ่ยเรียกอีกครั้ง

ท่านชายฉินสิบสามเหลียวกลับมา

“ไม่ใช่ฝีมือเจ้าจริงๆ หรือ” อาลักษณ์หลวงฉินถาม

ท่านชายฉินยิ้มอย่างจนใจ

“ท่านพ่อ! เห็นลูกเก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ” เขาตอบ

ไม่ใช่ฝีมือของเขา

อย่าว่าแต่ลูกชายของเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นได้ อาลักษณ์หลวงฉินได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ก่อนโบกมือให้ลูกชายออกไปได้

สามวันต่อมา นายใหญ่โจวมาพร้อมกับความคืบหน้าคดีทหารหนีทัพ

“เรื่องนี้สืบสวนได้ความชัดแจ้งแล้ว พวกฟ่านเจียงหลินไม่ได้ฆ่าคน เจ้าคนผู้นั้นล้มหัวฟาดตายเองขณะเกิดเหตุทะเลาะวิวาท อย่างมากก็คงลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยประมาท” นายใหญ่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะฉะนั้นอาจจะพ้นข้อหาฆ่าคนแล้วหลบหนีได้”

“แล้วโทษหนีทหารเล่า” เฉิงเจียวเหนียงถาม

“เรื่องหนีทหารอย่าได้พูดถึง หากถูกกำหนดว่าฆ่าคนตายแล้ว พอออกจากคุกมาก็ไม่ถือว่าเป็นทหารอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วก็ไม่เรียกว่าหนีทหาร” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางหัวเราะ พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา “ข้าละเกลียดเจ้าหลิวขุยนัก อยู่ดีไม่ว่าดี แถมยัง…”

เขาพูดเพียงเท่านั้นก็หยุดลง

“หลิวขุยหรือ เขาทำอันใดอีกหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม

“ไม่มีอะไร เจียวเหนียง เรื่องนี้เจ้าอย่างได้เป็นกังวล เบื้องบนเองก็ไม่สนใจแล้ว เจ้านั่นก็แค่แม่ทัพต่ำต้อยไม่เอาการเอางาน ข้าแค่จะสั่งสอนเขาเสียหน่อยก็เท่านั้น!” เขาเอ่ยเสียงฮึดฮัด

แม้เขาจะฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอยอย่างหลานสาวของตัวเองไม่ได้ แต่จะเล่นงานแม่ทัพหน่วยลาดตระเวนนั้นช่างง่ายดายนัก

“เขาเป็นคนตั้งขอหาหนีทัพ และต้องการส่งพวกเขากลับไปที่ค่ายตะวันตกเฉียงเหนือใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม

นายใหญ่โจวพยักหน้า เขากำลังจะพูดต่อ แต่เฉียงเจียวเหนียงที่พยักหน้าอยู่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

“ที่เขาพูดก็ไม่ผิด หนีทัพจริงสินะ” นายเอ่ย “เช่นนั้นก็ส่งกลับไปที่ค่ายตะวันตกเฉียงเหนือเถิด”

นายใหญ่โจวชะงักไปครู่หนึ่ง

“ไม่ต้องหรอก เจียวเจียวร์ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ พอจะมีหนทางรอดพ้นอยู่” เขาเอ่ยอย่างรีบร้อน

หลานสาวกำลังดูถูกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ

“ไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ให้พวกเขากลับไปที่ค่ายตะวันตกเฉียงเหนือ”

นายใหญ่โจวชะงักไปอีกครั้ง

หากกลับไปที่ค่ายตะวันตกเฉียงเหนือ ก็เท่ากับว่าต้องออกไปจากเมืองหลวง…

ที่แท้ต้องการจะไล่พวกเขาออกไปนี่เอง

นายใหญ่โจวเข้าใจในทันใด

ก็จริงอยู่ ก่อเรื่องวุ่นวายเสียขนาดนั้น จะเก็บพวกมันไว้ทำไมกัน! ช่วยชีวิตพวกมันเพื่อรักษาหน้าตาของตระกูลก็ถือว่าเมตตามากพอแล้ว ไปอยู่ไกลหูไกลตา ก็จะได้ไม่ต้องมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจ

ไล่ออกไปให้พ้นเสีย

“ได้ เจียวเจียวร์ เขารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร” นายใหญ่โจวพยักหน้า เอ่ยอย่างเข้าใจความนัยที่อีกฝ่ายสื่อ

เฉิงเจียวเหนียงก้มคำนับขอบคุณ

ขณะเดียวกัน นายใหญ่เฉินก็ถามถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

“ทหารหนีทัพหรือ” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด

เรื่องราวที่ยืดเยื้อมาแสนนานในที่สุดก็จบลงเสียที แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ใจหมาย พวกเขาไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ก่อนหรือ

แต่ในเมื่อท่านพ่อถามก็คงต้องตอบออกไป

“ข้าให้กรมทหารคอยดูแลอยู่ตลอด ไม่ให้พวกเขาต้องลำบากยามอยู่ในคุก” เขาเอ่ย “พอเรื่องเป็นเช่นนี้ พวกคนของเกาหลิงจวิ้นทราบเรื่องแล้ว ก็คงไม่ยกเรื่องที่ข้าคอยปกป้องพวกเขามาหาเรื่องอีก แล้วก็คงไม่มาตามล้างแค้นเป็นแน่ คงจะวุ่นทำลายหลักฐานที่ตะวันตกเฉียงเหนือกันอยู่ หากเบื้องบนไม่สนใจ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่กี่วันตระกูลโจวก็คงพาพวกเขาออกมาจากคุกได้”

นายใหญ่เฉินพยักหน้าท่าทางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงสนใจทหารหนีทัพเหล่านี้นัก” เฉินเซ่าถาม

“ข้าเพียงแค่คิดว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อนัก ก็เลยอยากถามให้แน่ใจเท่านั้น” นายใหญ่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เหลือเชื่อหรือขอรับ เหตุใดถึงเหลือเชื่อขอรับ” เฉินเซ่าขมวดคิ้วถาม

นายใหญ่เฉินยิ้มบาง

“เหลือเชื่อเหมือนกับเรื่องที่จู่ๆ จางเจียงโจวก็ฟ้องร้องพวกเจ้าสองคนเสียอย่างนั้น” เขาเอ่ย

“ท่านพ่อ เรื่องเช่นนี้มีอะไรเหลือเชื่อกัน” เฉินเซ่าสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนไฟโกรธกำลังสุมอยู่ในอก

จะรู้ผลแพ้ชนะอยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับมีคนเข้ามาขัดเสียได้ แม้เขาจะเป็นคนมีความอดทนมาแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็ไม่ขอพบเจอจางเจียงโจวผู้นี้อีก

“เจ้าไม่อยากเจอเรื่องเช่นนี้ ใต้เท้าเกาเองก็ไม่อยากเจอเช่นกัน แต่ดูท่าทางฝ่าบาทคงอยากให้เกิดเหตุเช่นนี้นัก” นายใหญ่โจวเอ่ย

เฉินเซ่านิ่งเงียบ

ความคิดของฮ่องเต้ คนเก่าคนแก่ในงานราชการอย่างเขาย่อมรู้ดี

หลักนิติธรรมที่โอรสแห่งสวรรค์ใช้ถ่วงดุลอำนาจเหล่าขุนนาง พันปีร้อยปีก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน

“เอาความดีความชอบ แก่งแย่งผลประโยชน์ พวกบัณฑิตก็ไม่น้อยหน้าผู้ใดเช่นกัน!” เฉินเซ่าเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ต้นกล้าที่เขาบ่มเพาะมาอย่างยากลำบาก แต่พอออกดอกออกผลกลับถูกคนอื่นขโมยไปเสียอย่างนั้น แถมยังแย่งกันซึ่งหน้าอีกต่างหาก เป็นผู้ใดก็คงทนไม่ได้

แต่ก็จนปัญญาจริงๆ

ราชสำนักก็เป็นเช่นนี้แล แต่ไหนแต่ไรเรื่อยมาก็เหยียบย่ำเพื่อไต่เต้ากันทั้งนั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

“อันที่จริงเป็นเช่นนี้ก็ดี” นายใหญ่เฉินเอ่ย

คำพูดนั้นทำให้เฉินเซ่าขยับนั่งหลังตรงในทันใด

“ท่านพ่อ เรื่องเช่นนี้จะเดินทางสายกลางไม่ได้นะขอรับ!” เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่ข้าตัดสินใจเช่นนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อบ้านเมือง”

“เรื่องมากมายแม้จะเป็นเรื่องดี แต่เรื่องที่ดีก็ใช่ว่าก่อให้เกิดผลดีเสมอไป” นายใหญ่เฉินเอ่ย “เจ้าคิดดู หากคราวนี้สมดั่งใจหมายของเจ้า ถอนรากถอนโคนอำนาจของตระกูลเกาออกจากตะวันตกเฉียงเหนือ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากต้องกำจัดอิทธิพลที่สั่งสมมายาวนานนั้นจะยากลำบากเพียงใด แต่เหตุสั่นคลอนเช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีต่อชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ…”

“หากจะเจ็บก็คงต้องเจ็บ เจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว” เฉินเซ่าเอ่ย

“พอชายแดนตะวันตกสั่นคลอน ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้พวกโจรแถบนั้นก่อความวุ่นวายได้

เจ้าเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน ไม่เคยฝึกทหาร แต่กลับไม่ฟังคำของเหล่าแม่ทัพ แถมยังไปยั่วโมโหเบื้องบนอีกต่างหาก คนเราหากโมโหแล้วเรื่องอันใดก็ทำได้ทั้งนั้น หากคราวนี้เกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ พวกเขาคงพากันรุมโจมตีเจ้าเป็นแน่ แถมยังมีเรื่องแพ้สงครามอีก คนพวกนั้นคงดาหน้าเขามาเล่นงานเจ้าจนถึงตาย”

“ลูกไม่กลัวตาย” เฉินเซ่าเอ่ย

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวตาย แล้วก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะตายด้วย” นายใหญ่เฉินเอ่ย “แต่หากเจ้าตายก็เท่ากับเป็นไปตามที่พวกเขาหวังมิใช่หรือ พอเจ้าตายไป ตระกูลเกาก็จะกลับมากุมอำนาจแถบตะวันตกเฉียงเหนืออีกครั้ง แล้วสิ่งที่เจ้าทำไปจะไม่สูญเปล่าหรือ”

เฉินเซ่านิ่งเงียบไม่ตอบ

“ยามนี้ถอยกันมาคนละก้าว ตระกูลเกาก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะรู้ว่ารากฐานอำนาจยังคงอยู่ จึงไม่คิดเคืองแค้นกลับมาเล่นงานเจ้า เจ้าเองก็โล่งใจเช่นกัน เพราะคนหมายมั่นปั้นมือไว้ก็ได้เข้ารับตำแหน่ง ยังพอจะเหลือเวลาให้ไตร่ตรองวางแผน” นายใหญ่เฉินเอ่ย “เช่นนี้ชายแดนตะวันตกก็ยังคงสงบสุข แผนการกำจัดอิทธิพลก็เดินหน้าต่อไปด้วยในขณะเดียวกัน แม้จะเรียกว่าถอยคนละก้าว แต่ข้ากลับคิดว่าเช่นนี้ดีกว่าการก้าวไปข้างเป็นไหนๆ ข้าคิดว่าท่านอาจารย์เจียงโจว ก็คงคิดเช่นเดียวกัน”

เขาเอ่ยพลางมองหน้าเฉินเซ่า

“ฮ่องเต้ก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน พวกเจ้าเองก็พอจะคาดเดาออก แต่เป็นเพราะเรื่องนั้นพัวพันกับตน จึงไม่ยอมจะคิดเช่นนั้น”

เฉินเซ่าถอนหายใจ ก่อนจะคำนับท่านพ่อ

นายใหญ่เฉินพยักหน้า แล้วรินชาให้แก่อีกฝ่ายด้วยตนเอง

“เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยเถิด” เขาเอ่ย

สองพ่อลูกนั่งดื่มชาด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้าคิดว่า จู่ๆ อาจารย์เจียงโจวออกหน้ามาพูดเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องของเหล่าทหารหนีทัพพวกนั้นหรือไม่” นายใหญ่เฉินโพล่งถามขึ้นมา

คำพูดของเขาทำให้เฉินเซ่างุนงงไม่น้อย

“ท่านพ่อ ท่านจะบอกว่าเฉิงเจียวเหนียงเป็นคนร้องขอให้จางเจียงโจวมาออกหน้าอย่างนั้นหรือ” เขาร้องเสียงหลงอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก “จะเป็นไปได้อย่างไร!”

จางเจียงโจวผู้นั้นน่ะหรือ! เรื่องใหญ่ของราชสำนักเช่นนี้ เขาจะเชื่อฟังคำพูดของเด็กสาวคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ!

“เจียวเหนียงรู้จักกับจางเจียงโจวหรือ”

นายใหญ่เฉินพยักหน้า ก่อนจะทวนคำพูดของบ่าวชราที่บอกกับตนเองเมื่อหลายวันก่อน

“เดิมทีข้านึกว่านางคงไปเยี่ยมพี่ชายนางเสียอีก แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว…” เขาส่ายหัวไปมา

เฉินเซ่าชะงักไปครู่หนึ่ง

“เป็นไปไม่ได้!” เขาส่ายหน้าอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงหนังแน่น “จางเจียงโจวมิใช่คนเช่นนั้น หากเขายึดมั่นในสิ่งใดแล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยน ไม่มีทางจะทำการใดเพียงเพราะมีคนร้องขอหรอกขอรับ”

“หากแต่สิ่งที่นางพูดคือสิ่งเดียวกับที่เขายืดมั่นเล่า” นายใหญ่เฉินเอ่ย

เฉินเซ่าสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

“เรื่องที่แม้แต่เด็กสาวยังดูออก ชาวบ้านชาวเมืองก็ดูออก แต่พวกเจ้ากลับดูไม่ออก กลายเป็นขี้ปากให้คนหัวเราะเยาะ” นายใหญ่เฉินเอ่ยก่อนจะตะโกนเสียงดังออก “หากต้องตกเป็นขี้ปากให้ชาวเมืองนินทา คนอย่างอาจารย์เจียงโจวจะทนได้หรือ”

เป็นเช่นนั้นหรือ

เฉินเซ่ายังคงตื่นตระหนักและไม่เข้าใจ

ตนเองกับตระกูลเกาฟาดฟันเรื่องทัพทหารตะวันตกเฉียงเหนือมากว่าครึ่งปี สุดท้ายกลับกลายเป็นไร้จุดจบ เพียงเพราะหญิงสาวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างนั้นหรือ

พูดเป็นเล่น! จะเป็นไปได้อย่างไร!

เป็นไปไม่ได้แน่นอน!

“เป็นไปไม่ได้แน่นอนขอรับ!” เฉินเซ่าเอ่ยเสียงหนักแน่น น้ำเสียงฟังดูร้อนรนนัก

ไม่รู้ว่าร้อนรนเพราะต้องการโน้มน้าวนายใหญ่เฉินหรือว่าตนเองกันแน่

“คงจะโชคดีก็เท่านั้น”

โชคอย่างนั้นหรือ

นายใหญ่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา

“ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ เป็นเพราะโชคชะตาสินะ” เขาเอ่ยพลางลูบเครา สีหน้าเคร่งขรึม “ที่แท้นางก็รู้จักกับอาจารย์เจียงโจว… คิดไม่เลยจริงๆ…”

เดิมทีนึกว่าแม่นางผู้นี้จะไม่รู้จักใครอื่นในเมืองหลวงเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะรู้จักกับอาจารย์เจียงโจ

อยู่เมืองหลวงมาก็นาน แต่กลับไม่เคยได้ยินนางเอ่ยถึง ทั้งยังไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ

แม่นางผู้นี้มันจะมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่ร่ำไป

ไม่รู้ว่านางจะรู้จักใครที่ทำให้เขาประหลาดใจอีกหรือเปล่า…

…………………….