ขบวนทหารม้าวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วจนสนามฝึกฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่ว
สาวใช้ยกมือขึ้นปิดหน้า ส่วนเฉิงเจียวเหนียงที่สวมผ้าคลุมหน้าอยู่นั้นกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ดูพอหรือยัง” ท่านชายโจวหกถาม
“ยัง” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ท่านชายโจวหกไอโขลกสำลักออกมา
“เช่นนั้นก็ดูต่อไป” เขาเอ่ยพลางถลึงตาใส่
เป็นเพราะอีกฝั่งหนึ่งมีหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ แม้แสงแดดของสารทฤดูจะแผดเผาเพียงใด ฝุ่นดินจะลอยฟุ้งหรือกลิ่นฉี่ของฝูงม้าจะส่งกลิ่นฉุนมากแค่ไหน นางก็ยังยืนอยู่ที่เดิมมาครึ่งค่อนวันไม่กระดิกไปไหน จนกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าทหารม้ามากมาย
“ทำอะไรของนาง”
“มาหาคู่กระมัง”
พวกเขาพูดจาขบขันกันด้วยถ้อยคำจาบจ้วง ทว่าพอหันไปเห็นชายหนุ่มที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างหญิงผู้นั้น ทุกคนจึงไม่กล้าโหวกเหวกเสียงดังนัก
พอหญิงสาวเบี่ยงตัวหันไปคุยกับชายหนุ่ม ชายหนุ่มผู้นั้นก็มองมาทางพวกเขา
“นี่ พวกเจ้า มานี่ซิ!” ท่านชายโจวหกตะโกน
ทหารหนุ่มบนหลังตกใจไปตามกัน
“คงไม่ใช่ว่าถูกใจเจ้าหรอกกระมัง”
พวกเขาหยอกล้อกันไปมา ส่วนหัวหน้ากองทหารที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็สั่งให้คนต้อนม้าเข้ามาอีกฝูง คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจมาดูคน แต่กลับมาดูม้าเสียอย่างนั้น
แม่นางผู้นี้ชอบม้าอย่างนั้นรึ
“นี่เป็นม้าชั้นดี ราคากว่าพันชั่งเชียวนะ…” เหล่าทหารหนุ่มหัวเราะคิกคักกันอย่างอดไม่ได้
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเย้ยหยัน พลางยื่นคางชี้ไปที่ม้าของตนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เหล่าทหารหนุ่มมองตามไป จึงได้เห็นว่าม้าชั้นดีของจริงเป็นเช่นไร
ม้าของเรือนขุนนางฝ่ายบู๊ย่อมดีกว่าม้าของขุนนางเฝ้าประตูเมืองอยู่แล้ว
“แล้วอย่างไรเล่า แม่นางน้อยชอบม้าของพวกข้ามากกว่า” ทหารหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยพึมพำขึ้นมา
ท่านชายโจวหกได้ยินเข้าจึงถลึงตาใส่ทหารหนุ่มนายนั้นอย่างแค้นเคือง
“ม้าพวกนี้เป็นเช่นนี้หมดเลยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สายตาของทุกคนพากันมองไปที่ม้าตามนาง สีหน้าตกตะลึงไม่น้อย
“หากไม่เป็นเช่นนี้ แล้วจะให้เป็นเช่นไร” มีคนถามอย่างสงสัย
เฉิงเจียวเหนียงโน้มตัวลงชี้ที่เท้าม้า
“บาดแผลที่เท้าสาหัสเลยทีเดียว” นางเอ่ย
“เช่นนี้ไม่เรียกว่าสาหัสหรอก ทหารหนุ่มเบ้ปากเอ่ย “อยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้ไม่ได้วิ่งเยอะสักเท่าไหร่ แม่นางลองไปดูม้าที่พวกทหารขี่ โดยเฉพาะม้าของหน่วยลาดตระเวน วิ่งมาเป็นร้อยเป็นพันลี้ เท้าเละไม่มีชิ้นดี”
เฉิงเจียวเหนียงร้องอ้อก่อนจะยืดตัวขึ้น
“ม้าที่นี่เป็นเช่นนั้นทั้งหมดเลยหรือ” นางถาม
“ที่ไหนไม่เป็นเหมือนที่นี่บ้าง” มีคนอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ข้าจำได้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แล้วเป็นเช่นไร” มีคนสงสัยยิ่งกว่าจึงเอ่ยถามขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบ ก่อนจะก้มคำนับให้กับเหล่าทหารแล้วหันหลังเดินจากไป
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่”
ท่านชายโจวหกบอกลาหัวหน้ากองทหาร ก่อนรีบตามไปถามต่อ
เหล่าหัวหน้ากองทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังยังคงถกเถียงกันไปมาอย่างประหลาดใจ
“มาดูที่นี่ก็ตั้งสองวันแล้ว มาดูอะไรกันแน่”
“ดูม้าอย่างไรเล่า” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “เจ้าดูไม่ออกหรือ”
ท่านชายโจวหกเบิกตาโพรง
“ข้าดูไม่ออก!” เขาเอ่ย “หากข้าดูออกตั้งแต่แรก ก็คงไม่เสียเวลามากับเจ้า! คราวหน้าหากจะทำเรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้อีก ไม่ต้องมาหาข้า”
เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้าลงก่อนจะเหลียวไปมองเขา
ท่านชายโจวหกถูกนางจ้องจนขนลุกเกลียวไปทั้งตัว
“มองอะไร!” เขาถลึงตาพูด
“ข้าเห็นว่าเจ้าออกมากับข้า ก็ท่าทางมีความสุขดีนี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายโจวหกตาเบิกโพรงในทันใด
นะ…นะ…นี่ จะ…จะ…เจ้า วะ…วะ…ว่าอย่างไรนะ! ขะ…ข้ามีความสุขที่ไหนกัน!
เขาอึกอักเสียจนพูดไม่ออก ใบหน้าแดงระเรื่อ เหงือผุดซึมทั้งหน้าผาก
เฉิงเจียวเหนียงก้าวเท้าเดินต่อไป
สาวใช้ป้องปากยิ้ม ก่อนจะเหลือบมองท่านชายโจวหกแล้วเดินตามไป
รอยยิ้มในทำให้ท่านชายโจวหกลุกลี้ลุกลนอีกกว่าเดิม
“คะ… คิด…เองเออเอง!” เขากัดฟันจนปากสั่นกว่าจะพูดออกมาได้
ไม่รู้ว่าเต็มใจหรือไม่ ทว่าท่านชายโจวยังคงตามมารถม้าของเฉิงเจียวเหนียงไม่ห่าง พอเข้าประตูเมืองมา ก็เห็นบ่าวในเรือนของตนขี่มาทางนี้เช่นกัน ท่าทางดูดีใจยกใหญ่
ท่านชายโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่มันบ่าวข้างกายท่านพ่อนี่…
“เจ้า…” เขาเอ่ยปากถาม แต่บ่าวหนุ่มกลับหยุดม้าลงที่ข้างรถม้าของเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง นายหญิง” บ่าวหนุ่มร้องตะโกนอย่างดีอกดีใจ
ท่านชายโจวหกได้แต่บนพึมพำอยู่ในใจ ก่อนจะเร่งม้าเข้าไปใกล้
“นายใหญ่ให้ข้ามาบอกนายหญิง วันนี้พวกท่านชายฟ่านจะออกมาจากคุกแล้วขอรับ” บ่าวหนุ่มเอ่ยอย่างตื่นเต้น
สาวใช้เองก็ดีใจจนแหวกม่านรถออกมา
“เอานี่ เอาไปซื้อลูกกวาดกิน” นางเอ่ยก่อนจะโยนถุงเงินให้
บ่าวหนุ่มรับมาด้วยความปลื้มปริ่ม น้ำหนักของถุงทำให้เกือบล้มเซ
พระเจ้า นายหญิงช่างน้ำใจงามนัก!
หากเป็นคนอื่นคงให้เขาไม่กี่ตำลึง แต่นางกลับให้เขาทั้งถุง! ตั้งถุงหนึ่งเชียวนะ!
“ขอบคุณนายหญิงที่ให้รางวัลขอรับ!” เขาร้องตะโกนออกมา ก่อนจะวกมากลับแล้วจากไป ทว่าออกไปได้ไม่ไกลก็รีบย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ท่านชาย มีอะไรจะรับสั่งหรือไม่ขอรับ…”
เขาหัวเราะเจื่อนพลางมองท่านชายโจวหกยืนเท้าเอวอยู่อีกฝากหนึ่ง เขาสีหน้าปั้นปึ่ง เพราะบ่าวผู้นั้นเพิ่งจะสังเกตเห็นเขา
“ไสหัวไป” ท่านชายโจวหกเอ่ย
บ่าวหนุ่มขานรับให้ทันที่ก่อนกระโดดขึ้นหลังแล้วจากไป
ท่านชายโจวหกบังคับให้เดินหน้า เมื่อพอเห็นว่าเส้นทางที่รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงกำลังมุ่งหน้าไม่ใช่ทางกลับบ้าน แต่กลับเคลื่อนไปตามถนนที่ทอดยาว ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้านของนางแต่อย่างใด
“นี่ เจ้าไปทำอะไรที่ไหนอีก” เขาเร่งม้าตามประกบก่อนจะเอ่ยถาม
“ไปร้านตีเหล็ก” เฉิงเจียวเหนียงตอบผ่านรถ
ไปร้านตีเหล็กอย่างนั้นหรือ
“หลายวันก่อนเจ้าไปมาแล้วไม่ใช่หรือ ธนูน่ะเขาไม่ได้ทำกันที่ร้านตีเหล็กหรอก หากอยากได้ธนูดีๆ สักคันต้องเป็นธนูที่ทางการทำขึ้น หากเจ้าอยากได้ก็ไปที่ร้านยุทโธปกรณ์” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วเอ่ย
“ข้าไม่ได้ไปทำธนู มีธุระอื่นน่ะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเพียงเท่านั้นโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า ทว่าท่านชายโจวหกยังคงยืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม
มีธุระอื่นอย่างนั้นหรือ ยังมีธุระอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องที่ชายพวกนั้นออกจากคุกกัน
ที่ได้แต่วุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันในช่วงนี้ ก็ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ
ยามนี้เป็นไปตามที่ต้องการแล้ว กลับทำทีเป็นลอยชายไม่สนใจ
ถึงได้บอกว่าหญิงผู้นี้เสแสร้งเก่งนัก!
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะเร่งมาตามไป
สวีเม่าซิวและพรรคพวกยืนสูดหายใจลึกอยู่ริมถนน มองดูผู้คนในตรอกซอกซอย ดวงอาทิตย์บนหัวที่สาดแสงแยงตา เสียงตะโกนโห่ร้องที่ได้ยินข้างหู ทุกอย่างคือความจริงอย่างแน่นอน
“ไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม ได้ออกมาแล้วจริงๆ หรือ” สวีปั้งฉุยบ่นพึมพำอยู่ข้างหลัง
พอพูดจบก็ร้องโอดโอยขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าห้า เจ้าหยิกข้าทำไม!”
“เจ้าจะได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันอย่างไรเล่า”
ได้ยินฟังเขาเถียงกันเช่นนั้น ฟ่านเจียงหลินก็ยิ้มออกมา พลางหันไปมองสวีเม่าซิว
“เจ้าก็คงคิดว่ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่” สวีเม่าซิวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องที่น้องสาวคิดจะทำ ย่อมทำสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นฝันไปได้”
พอพูดถึงน้องสาว ฟ่านเจียงหลินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ถนนหน้าคุกคร่ำคราไปด้วยผู้คน แต่กลับไม่มีใครมารับพวกเขา
“พวกเรา ตอนนี้จะไปที่ใดกันดี” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ไปที่ค่ายทหารเลยหรือ”
พอเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฮึดฮัดไม่พอใจมาจากด้านหลัง
พวกเขาทั้งหลายเหลียวกลับไป ก็เห็นหลิวขุยที่มองมาอย่างเคืองแค้น
ไม่รอให้พวกสวีเมาซิวพูดอะไร ขุนนางผู้น้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ท่านแม่ทัพ ใต้เท้ารองเสนาบดีกำชับไว้ ว่าให้พวกเขาเดินทางไปที่ค่ายทหารในวันพรุ่งนี้” เขาเอ่ย
“เพราะเหตุใดกัน ทหารหนีทัพต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นนี้เลยหรือ!” หลิวขุยตะโกน “เคยหนีครั้งหนึ่งแล้ว ย่อมมีครั้งต่อไป วันพรุ่งนี้อย่างนั้นรึ วันพรุ่งนี้ก็หนีไม่เห็นเงาแล้วกระมัง!”
“ไอ้โจรชั่ว” สวีปั้งฉุยทนฟังต่อไปไม่ได้จึงถลึงตาแล้วด่าออกไป “พวกเขาหนีเสียที่ไหน หากไม่ใช่เพราะถูกใส่ความ พวกเขาจะหนีไปทำไม!”
หลิวขุยส่งเสียงเย้ยหยัน
“ถูกใส่ความอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ใช่คนตัดสิน พวกเจ้าเก่งกาจนักนี่ มีเส้นสาย จะพูดอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นฝ่ายถูก!” เขาเอ่ยประชด
สวีปั้งฉุยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ถลกแขนเสื้อแล้วพุ่งตัวเข้าไป
“เพราะคนไร้น้ำยาอย่างพวกเจ้านั่นแหละที่ใส่ร้ายพวกข้า จนป่านนี้แล้วยังกัดไม่ปล่อยอีกหรือ” เขาตะโกนด่า
สวีเมาซิวกระแอมเสียงดัง พี่น้องสองคนจึงรุดเข้าไปรั้งสวีปั้งฉุยในทันที
“ไม่มีผู้ใดใส่ร้ายพวกเขาหรอก เพราะพวกข้ามีความผิดถึงได้เป็นเช่นนี้ หากไม่ได้ทำความผิด ผู้ใดจะมาใส่ความพวกเราได้” เขาเอ่ยพลางมองไปที่หลิวขุยก่อนจะยกมือขึ้นคำนับ “ใต้เท้า วันพรุ่งนี้พวกข้าจะกลับไปที่ค่ายทหารอย่างแน่นอน”
หลิวขุยทำเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะยกนิ้วชี้ไปที่พวกเขาแต่ละคน
“ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! อย่าได้คิดหนีเชียว!” เขาเอ่ย
พวกเขาเดินจากไปก่อนจะหยุดฝีเท้าลง ณ ทางแยก ระยะเวลาแสนสั้นเพียงไม่กี่วัน เมืองหลวงที่เขาไม่คุ้นเคยอยู่แล้วยิ่งดูแปลกตามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ราวกับไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางใด
“พี่ พวกเราจะไปที่ไหนดี” พี่น้องคนหนึ่งถามขึ้น
“กลับบ้าน” สวีเม่าซิวตอบ
กลับบ้านอย่างนั้นหรือ
เหล่าพี่น้องสบตากัน
“พวกเรา…ยังกลับบ้าน…ได้อยู่หรือ…” มีคนเอ่ยพึมพำออกมา
ยังมีหน้ากลับไปอีกหรือ
สวีเม่าซิวหัวเราะ
“กลับบ้านตัวเอง จะให้ผู้ใดมารับอีก!” เขาเอ่ยพลางก้าวเดินออกไป “ไปกัน”
กลับบ้านตัวเอง ไม่ต้องมีใครมารับ…
เหล่าพี่หันมามองหน้ากัน
“ใช่ กลับบ้าน บ้านตัวเอง จะมาเรื่องมากให้ได้อะไรขึ้นมา!” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
คนที่เหลือมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าตามไป
………………