แม้คำพูดจะฟังดูแสนมั่นใจ แต่ยิ่งเดินเข้ามาใกล้สะพานอวี้ไต่มากเท่าไหร่ จังหวะฝีเท้าของพวกเขาก็ยิ่งดูช้าลงอย่างชัดเจน
ผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนน ที่หัวสะพานก็มีคนต่อรองราคาเช่ารถเช่าม้า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
แต่ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมจริงหรือ
“ท่านชายกลับมาแล้ว!”
เสียงตะโกนแสนคุ้นหูดังขึ้น แทรกผ่านฝูงชนจอแจเข้าสู่ใบหูของสวีเม่าซิวและพรรคพวก
สวีเม่าซิวได้ยินเสียงถอนหายใจของพี่น้องที่อยู่ด้านหลังอย่างชัดเจน จนเขาเผลอยิ้มออกมา
จินเกอร์และปั้นฉินเดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ
“เหตุใดถึงได้นานนัก พวกเขารอตั้งนาน…”
“ข้าก็อยากจะไปรับ แต่ก็ไม่มีใครเฝ้าประตู…”
“รีบไปเถิดจินเกอร์ ไปเอาเตาไฟมา แล้วก็เอาธูปที่บูชาจากวัดผู่ซิวมาจุดด้วย…”
พวกเขาถูกสองคนรุมล้อมถามไถ่ไม่หยุด ทั้งเจ็ดคนฟังไม่ทันทั้งยังตอบไม่ทัน จึงได้แต่ส่งยิ้มเจื่อน ปล่อยให้ปั้นฉินและจินเกอร์จัดแจง ใช้ก้านไม้ตีบนร่างของพวกเขา รมควันธูปจนเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเข้าประตูบ้าน
สายน้ำไหลผ่านภูเขาหิน ต้นไผ่ยามฤดูใบไม้ร่วงแตกหน่อเขียวขจี ประตูห้องโถงเปิดกว้าง มองเห็นโต๊ะเตี้ยและฉากกั้นลมที่อยู่ภายใน บนโต๊ะนั้นยังมีม้วนกระดาษวางอยู่ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่… ไร้ซึ่งเงาของใครคนหนึ่ง
สวีเม่าซิวโล่งใจ แต่ก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย
อันที่จริงเขาเองก็กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับนาง…
“นายหญิงออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวก็คงกลับมา” ปั้นฉินเอ่ย
สวีเม่าซิวละสายตากลับมาแล้วพยักหน้า
“ต้มน้ำเรียบร้อยแล้ว ท่านชายไปอาบน้ำกันเถิด เสื้อผ้าก็เตรียมไว้ให้แล้ว” จินเกอร์ตะโกน
พออาบน้ำสระผมโกนหนวดเคราและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมา ก็พบว่าภายในลานบ้านมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน
“เฒ่าแก่”
หลี่ต้าเสายืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ผู้ดูแลร้านอู๋คลี่ยิ้มบาง ท่าทางยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย
“เหตุใดถึงดูเหมือนอ้วนขึ้นเยอะเลย” เขาเอ่ยขึ้น
“มีของดีๆ ให้กินทุกวัน หากไม่นั่งก็นอนอยู่อย่างนั้น ไม่อ้วนก็แปลกแล้ว สวีปั้งฉุยลูบหน้าท้องไปมาพลางเอ่ย “ไม่ได้การแล้ว หลายวันที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ขยับร่างกาย เส้นตึงไปหมดแล้ว”
เขาเอ่ยพลางชักชวนพี่น้องที่อยู่ข้างกาย
“ไปกัน ไปกัน ไปซ้อมเสียหน่อย ไปซ้อมเสียหน่อย”
เหล่าพี่น้องหัวเราะเฮฮาก่อนจะพากันเดินไปยังลานหลังบ้าน ไม่นานเสียงร้องครื้นเครงก็ดังขึ้น
“คนเยอะก็คึกคักดี” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แล้วก็วุ่นวายด้วย” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงแผ่ว
“วุ่นวายหรือ หากมีชีวิตอยู่ก็ย่อมวุ่นวายอยู่แล้ว มีตอนไหนบ้างที่ไม่วุ่นวาย” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยพลางหัวเราะ “เอาล่ะ พวกเฒ่าแก่พักผ่อนกันก่อนสักวัน แล้วรีบไปที่ร้านเถิด ช่วงนี้ที่ร้านยุ่งนัก”
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวชะงักไปครู่หนึ่ง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” หลี่ต้าเสาพูดต่อ “ยามนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว กิจการที่เรือนนางฟ้าคึกคักยิ่งนัก วุ่นกันจนสายตัวแทบขาด หากเฒ่าแก่ยังไม่มา ผู้ดูแลร้านอยู่จะจำกัดคนเข้าร้านแล้วนะขอรับ”
ผู้ดูแลร้านอู๋หัวเราะ
“ที่จำกัดคนเข้าร้าน ไม่ใช่เพราะว่างานยุ่งหรอก” เขาเอ่ยที่สีหน้าพึงพอใจยิ่งนัก “นี่เป็นเพียงวิธีการหนึ่ง ของหายากย่อมมีราคา…”
“หาเงินได้แท้ๆ เหตุใดถึงไม่ทำเล่า วันหนึ่งจำกัดแค่ห้าสิบโต๊ะ น่าเสียดายจะตายไป” หลี่ต้าเสาเอ่ย “หากถึงฤดูหนาว ข้าเกรงว่าจะไม่พอ”
“ไม่พอก็ให้จองล่วงหน้าสิ” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวก็ยิ้มไปฟังไป พลางมองสองคนถกเถียงกันเรื่องกิจการที่ร้าน
“เฒ่าแก่ ท่านเห็นว่าอย่างไร”
ผู้ดูแลร้านอู๋หันไปถามพวกเขา
“ผู้ดูแลร้านว่าดี ข้าก็ว่าดี” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
“เฒ่าแก่เหตุใดถึงได้เย็นใจนัก นี่ร้านอาหารของท่านนะ” ผู้ดูแลร้านอู๋หัวเราะชอบใจ
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวหันมาสบตากัน
“ผู้ดูแลอู๋… พวกข้า…” สวีเม่าซิวเอ่ยปาก
ทว่าพูดยังไม่ทันจบ จินเกอร์ที่อยู่หน้าประตูก็ตะโกนบอกว่านายหญิงกลับมาแล้ว พวกเขาจึงพากันมองไปที่หน้าประตู
ประตูถูกเปิดออก เฉิงเจียวเหนียงก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า นางลงจากรถโดยมีสาวใช้คอยเปิดแหวกม่านให้
ชุดกระโปรงสีเรียบ เสื้อผ้าแพรสีเขียว ดวงหน้าขาวนวลดุจหยก
“ท่านพี่กลับมาแล้ว” นางเอ่ยพลางก้มหัวคำนับ
แม้จะอยากหลบซ่อนตัวสักเพียงไหน แต่สุดท้ายเหล่าพี่น้องที่อยู่ลานหลังบ้านก็ถูกเรียกกลับ ก่อนจะเดินเข้าเรือนกันมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เฉิงเจียวเหนียง สวีเม่าซิว รวมถึงผู้ดูแลร้านอู๋และคนอื่นๆ พากันมานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“จะกินที่เรือนหรือไปกินที่ร้านดี…” ผู้ดูแลร้านอู่ถามพวกเขา “กินที่เรือนนี่แหละ แล้วก็ไม่ต้องลงมือทำด้วย ให้ที่ร้านเอามาส่ง”
“ข้าจะทำเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “พวกพี่ๆ ลำบากลำบนกว่าจะได้กลับมา นี่เป็นหน้าที่ของน้องสาวอย่างข้าอยู่แล้ว”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง น้องสาวต่างหากเพิ่งกลับมาจากข้างนอก คงจะเหนื่อย อย่าลำบากไปเลย”
ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
“ไม่ลำบาก วันนี้อยู่กันพร้อมหน้าพอดีเสียด้วย” เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองหลี่ต้าเสาและผู้ดูแลอู๋ ก่อนจะยิ้มบาง “ถือว่าเป็นงานเลี้ยงอำลาก็แล้วกัน”
งานเลี้ยงอำลาอย่างนั้นรึ
ผู้ดูแลร้านอู๋และหลี่ต้าเสาสีหน้าตกใจ
ที่พวกเขาออกจากคุกได้ในวันนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะความช่วยเหลือจากนาง เพราะฉะนั้นเรื่องคำสั่งให้กลับไปประจำที่ค่าย นางย่อมรู้แล้วอย่างแน่นอน แถมยังรู้ก่อนพวกเขาอีกต่างหาก
สวีเม่าซิวและพรรคพวกนิ่งเงียบ อยากจะพูดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ว่าอะไรดี
ภายในห้องเงียบสงัด
“เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดถึงต้องไปด้วยเล่า” หลี่ต้าเสาถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“พวกข้าเป็นทหารหนีทัพ” สวีเม่าซิวเอ่ย “โทษของทหารหนีทัพคือตายสถานเดียว มีชีวิตรอดได้ในตอนนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว มลทินก็ถูกลบล้าง พ้นโทษที่หลบหนี แต่ยังคงเป็นทหารอยู่ ในเมื่อเป็นทหาร พวกข้าจึงต้องกลับไป”
หลี่ต้าเสาและผู้ดูแลร้านอู๋พยักหน้ารัว สีหน้าดูสับสนไม่น้อย
“ไม่หรอก เดิมทีจะไม่กลับไปก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อสิ้นประโยค สีหน้าของคนทั้งห้องถึงกับผงะไป
“ข้าเตรียมของขวัญใหญ่สามชิ้นให้แก่ท่านพี่ทั้งหลาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “นั่นคือหนึ่งในนั้น”
กลับไปที่ค่ายแล้วก็เริ่มไต่เต้าจากทหารผู้น้อย นี่หรือคือของขวัญชิ้นใหญ่
“ขอบคุณน้องสาวยิ่งนัก” สวีเม่าซิวดึงสติกลับมาก่อนจะเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
พอเขาเอ่ยปาก ฟ่านเจียงหลินและเหล่าพี่น้องก็เอ่ยขอบคุณตามในทันที
ขอบคุณจากใจจริง ไม่มีแม้แต่ความเคลือบแคลงสงสัย
“พวกท่านจะไม่ถามหรือว่าเพราะเหตุใด” เฉิงเจียวเหนียงถามกลับ
“สิ่งที่น้องสาวทำเพื่อพวกข้า ย่อมดีเสมอ พวกข้าเพียงแค่ทำตามที่น้องสาวบอกก็เพียงพอแล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ย
“ข้าไม่ได้ถามพวกท่านก่อน ตัดสินใจแทนพวกท่าน ไม่รู้ว่าที่ทำไปจะถูกใจพวกท่านหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ถูกใจอย่างนั้นหรือ
ผู้ดูแลร้านอู๋และหลี่ต้าเสาหันมาสบตากันอย่างอดไม่ได้
อยู่เมืองหลวงร่ำรวยแสนสุขสบาย แต่หากกลับไปแล้วต้องกลายเป็นทหารต่ำต้อยแถมยังที่ไปอยู่ชายแดนแสนอันตราย เช่นนี้เรียกว่าถูกใจได้หรือ
“นายหญิงขอรับ หน้าประตูมีคนบอกว่าเอาของมาส่ง”
เสียงของจินเกอร์ดังลอยมาจากลานบ้าน
“ของขวัญชิ้นที่สองมาแล้ว” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางลุกยืนขึ้น “รีบพาเข้ามาเร็ว”
“ของที่นายใหญ่มอบให้ล้วนแต่เป็นของดี ข้าขอไปดูเสียหน่อย” ผู้ดูแลเอ่ยยิ้มแล้วลุกขึ้นเช่นกัน
หลี่ต้าเสาก็ยืนขึ้นตามในทันใด
“เช่นนั้นก็ไปดูด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” สวีเม่าซิวพลางยิ้ม
พวกเขาเสียงดังจอแจก่อนจะพากันมายืนใต้ชายคา ชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางดูเหมือนผู้ดูแลร้านกำลังชี้นิ้วสั่งคนงานให้เดินเข้ามาในเรือน
“ธนู!”
พอเห็นของที่พวกเขาถืออยู่ในมือ เหล่าพี่น้องก็ร้องตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ธนูจากชิ่งโจว!”
ใครคนหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมา น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
พอได้ยินดังนั้น ชายผู้ดูแลร้านก็หันมายิ้มให้
“ท่านชายสายตาเฉียบแหลมนัก” เขาพยักหน้าเท้าสะเอวเอ่ย ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วชี้นิ้วให้บ่าวคนหนึ่งนำธนูคันยาวเข้ามา ด้วยท่าทางพึงพอใจยิ่ง “ธนูของร้านข้ามาจากทางการเมืองชิ่งโจว มีทั้งธนูสองสือและสามสือ…”
พูดยังไม่ทันจบก็มีคนพุ่งตัวเข้ามา
“สามสือเป็นของข้า!”
สวีปั้งฉุยตะโกนลั่น พุ่งตัวเข้าไปคว้าธนู
ท่าทางราวกับจะกินคนของเขา ทำเอาคนงานที่ถือธนูอยู่ตกใจจนถอนเซ
“ข้าจะใช้ธนูสามสือ อันอื่นก็ให้พวกเด็กเอาไปเล่นเถิด”
คำพูดของเรียกเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าพี่น้องให้ดังขึ้น ก่อนพากันกรูเข้ามาใกล้
“ปั้งฉุย เจ้าง้างธนูสามสือไหวหรือ เอวจะเคล็ดเอาน่ะสิไม่ว่า…”
ภายในลานบ้านครื้นเครงขึ้นมาในทันใด หลังจากผ่านศึกการแย่งชิงธนู สวีปั้งฉุยก็ได้ธนูที่ตนเองต้องการมาครอบครอง
“ฮ่า” เขาสวมปลอกนิ้วทองแดงที่พกติดตัวไม่เคยห่าง ก่อนจะออกแรงง้างธนูแล้วปล่อยจนเกิดเสียงดัง ‘ผึ่ง’ “ฮ่า ธนูชั้นดี ธนูชั้นดี แรงดีไม่เบา…”
พอเห็นธนูถูกง้างได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น ผู้ดูแลร้านที่อยู่อีกฝากหนึ่งก็ตกตะลึงไม่น้อย
“โอ้โห ชายชาตรี แรงดียิ่งนัก!” เขาเอ่ยชมไม่หยุดปาก “แม้แต่เหล่าทหารก็ใช่ว่าผู้ใดง้างธนูสามสือได้”
สวีปั้งฉุยลำพองใจยิ่งกว่าเดิม แล้วตะโกนบอกว่าจะไปยิ่งธนูที่ลานหลังบ้าน
“ดีใจให้มันน้อยๆ หน่อย คนเมืองหลวงก็แค่ไม่เคยเห็น พี่น้องพวกเรามีใครบ้างที่ง้างธนูอย่างง่ายดายเช่นนั้นไม่ได้” พี่น้องคนอื่นพากันเอ่ยเหน็บแนม
ลานบ้านคึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่สามไม่เลือกสักอันหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สวีเมาซิวที่ยืนมองเหล่าพี่น้องอยู่ข้างๆ มาตลอดเผยยิ้มออกมา
“ไม่ต้องเลือกหรอก ขอแค่เป็นธนู ก็ใช้ได้ทั้งนั้น” เขาเอ่ย
“หรือพูดได้ว่า ขอแค่คนมีฝีมือ จะธนูชั้นดีหรือธนูธรรมดาก็ใช้ได้ทั้งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีเม่าซิวหัวเราะ
“เช่นนั้นข้าก็ขอรับคำชมนี้ไว้” เขาเอ่ย
เมื่อแบ่งธนูและตรวจสอบว่าไม่มีตำหนิใดแล้ว เจ้าของร้านก็รับเงินมาด้วยท่าทางดีใจก่อนจะคำนับแล้วขอตัวลา
“ของพวกนี้แพงขนาดนี้เชียวหรือ!” ผู้ดูแลอู๋ที่อยู่ด้านข้างตกตะลึง
ธนูหนึ่งคันราคาถึงยี่สิบก้วนเชียวหรือ! แถมยังมีที่ปลอกนิ้วที่ทำจากเขาวัว แค่ธนูเจ็ดคันก็สามารถเลี้ยงปากท้องครอบครัวเล็กๆ ได้ทั้งปี
“ท่านผู้เฒ่า” เจ้าของร้านรีบตอบในทันใด “ธนูจากชิ่งโจวหายากนัก ใช่ว่าใครที่ไหนจะหามาได้”
ผู้ดูแลร้านอู๋ไม่ค่อยสัดทันด้านนี้สักเท่าไหร่ เงินนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ นายหญิงเองก็ไม่เคยสนใจเรื่องเงินทอง สำหรับนางแล้วเงินเป็นเพียงของเล่นเสียมากกว่า
เจ้าของร้านขอตัวลา ภายในลานบ้านถึงเหลือเพียงเหล่าพี่น้องที่ยังคงโหวกเหวกกันไม่หยุด
“น้องสาวต้องมาเปลืองเงินอีกแล้ว อันที่จริงกองทัพย่อมจัดหาธนูให้อยู่แล้ว” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอันใด สวีปั้งฉุยได้ยินจึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“ธนูที่กองทัพจัดหาให้นับวันยิ่งแย่ ปีก่อนว่าแย่ ปีต่อมายิ่งแย่กว่า จะเอาไปรบรากับผู้ใดได้!” เขาตะโกน
สวีเม่าซิวถลึงตาใส่
“ถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้น้องสาวต้องเปลืองเงิน” เขาเอ่ย
สวีปั้งฉุยลูบหัวพลางหัวเราะเจื่อน
“ข้าก็ไม่ได้อยากให้น้องสาวซื้อให้หรอก ข้าก็พูดไปเท่านั้น ใครใช้ให้พี่สามพูดถึงธนูที่กองทัพกันเล่า”
“ไม่เปลืองหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วยิ้มบางออกมา “ตอนนี้พวกท่านพี่มีเงินมากมาย อย่าว่าแต่ธนูคันละยี่สิบก้วนเลย แม้แต่สามสิบก้วน สี่สิบก้วนก็ซื้อได้ทั้งนั้น”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” สวีปั้งฉุยพยักหน้ารัวพลางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฟ่านเจียงหลิงถลึงตาใส่เขา
“คุณค่าของธนูไม่ได้อยู่ที่ราคา…” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ “เช่นนั้นพวกท่านพี่ก็คงไปซื้อธนูจากทางการ จะเก็บฝืนหากิ่งไม้มามัดเชือกเอาเองไปทำไมใช่หรือไม่”
ลานบ้านที่กำลังครื้นเครงค่อยๆ เงียบสงัดลง
“พวกข้าไม่ได้ตระหนี่หรืออย่างไร เพียงแต่…” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ แต่พอเอ่ยปากพูดแล้วกลับไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“พวกท่านพี่เองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสินะ” เฉิงเจียวเหนียงหันไปพูดกับเขา “แต่ข้ารู้ ข้าจะบอกพวกท่านพี่เอง”
นางก้าวลงบันไดมาอย่างเชื่องช้า มองดูเหล่าพี่น้องที่ยังคงยิ้มแย้มกับธนูในมือ
“พวกท่านพี่ พกปลอกนิ้วติดตัวตลอดเวลา…” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย มองดูพี่น้องคนหนึ่งที่สวมปลอกนิ้วทองแดงที่ถูกเสียดสีจนสีเหลืองทองแวววับบนนิ้วหัวแม่มือ
“ข้า ข้าแค่เคยชินน่ะ…” พี่น้องผู้เอ่ยอย่างละอายใจ
“ใช่แล้ว พวกท่านเคยชินเสียแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนก้าวเดินมาข้างหน้าพวกเขา “พวกท่านเคยชินกับการฝึกซ้อม แม้ลมฝนพายุก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ เคยชินกับการถือดาบยิงปืน พร้อมรบเมื่อใดก็ได้ เคยชินแม้จะนอนหลับใหลหรือว่าเต้นรำทำเพลงอยู่ หากได้ยินเสียงกลองศึกก็พร้อมบุกโจมตีศัตรู…”
ขณะที่นางกำลังพูด อย่าว่าแต่พวกสวีเม่าซิวไม่เอ่ยคำใดเลย แม้แต่ผู้ดูแลอู๋และหลี่ต้าเสาเองก็รู้สึกร้อนรนไม่น้อย จนฝ่ามือกำแน่นอย่างห้ามไม่อยู่
กองไฟที่ไหลเวียนในเลือดเนื้อนั้นดับยากที่สุด
“แต่ที่นี่ไม่มีเสียงเรียกรวมพล ไม่มีพวกพ้องในเครื่องแบบเดียวกันให้เป็นคู่ฝึกซ้อม ทั้งยังไม่มีศัตรูคอยจู่โจมให้ฟาดฟัน…” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ยืนนิ่งอยู่หน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าธนูคันยาวในมือ “ธนูเหล่านี้หากอยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงของประดับบนฝาผนัง เป็นเพียงแค่ของเล่นเป็นเพื่อนน้องสาว แม้จะมีธนูราคาดั่งเท่าทองพันชั่งอยู่ในมือจะมีประโยชน์อะไร”
นางคลายมือออก ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับมา
“เสืออยู่ในป่าถึงจะเป็นอสูร มังกรอยู่ในถ้ำถึงจะศักดิ์สิทธิ์ ธนูของเหล่าท่านพี่จะมีค่าก็ต่อเมื่อทิ่มแทงเข้าที่อกของศัตรู เพราะอย่างนั้นพวกท่านพี่ถึงไม่ซื้อธนูราคาแพง เพราะหากซื้อมาแล้วแขวนไว้ ก็ถือเป็นการดูแคลน”
“เสือยอมหิวตายอยู่ในป่า แต่ไม่ยอมอิ่มหนำอยู่ในกรง ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้ให้ของขวัญชิ้นนี้แก่พวกท่านพี่ ถึงจะไม่ใช่ใช้ชีวิตที่สุขสบายบนกองเงินกองทอง แต่เป็นชีวิตที่พวกท่านได้กู้คืนเกียรติยศของตัวเองคืนมา พวกท่านล้มลงที่ใด ก็ขอให้ลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่เปื้อนกาย ณ ที่นั้น”
นางยืนอยู่ที่หน้าบันได มองดูสวีเม่าซิวและพรรคพวก
“ของขวัญที่ข้าให้ ไม่รู้ว่าพวกท่านพี่จะชอบหรือไม่”
………………