นี่คือของขวัญ

ที่แท้นี่คือของขวัญ

เหล่าพี่น้องที่ยืนนิ่งอยู่อีกฝั่งเพิ่งเข้าใจความหมายก็ได้แต่นิ่งไป

เสียงแหบพร่าของหญิงสาวและคำพูดที่ไม่น่าฟังสักไหร่ยังคงก้องอยู่ในหู

ทหารหนีทัพ แม้จะหนีเพราะไม่มีทางเลือก แต่พวกเขาก็หนีออกมาจริงๆ

ระหว่างทางหลบหนีมีเรื่องชกต่อยกับคนเข้าแม้บาดเจ็บปางตาย แต่ก็ไม่เคยนึกกลัว เพียงแต่ไม่พอใจก็เท่านั้น

เป็นทหารควรตายในสนามรบต่างหาก

แต่ก่อนบาดเจ็บเพียงใด ก็ไม่เคยนึกขยาด เพราะรู้ว่าวันหนึ่งก็ต้องหายดี จะเจ็บหนักเพียงใดก็ยอมรับได้

แต่ยามนี้มีเงินทอง มีมากเสียด้วย แต่ทุกวันคืนกลับตื่นมาอย่างงุ่นง่าน ไม่พอใจ

หัวใจที่ตั้งมั่นฟาดฟันศัตรูเพื่อตอบแทนบ้านเมือง แต่สุดท้ายกลับหนีหัวซุกหัวซุนไม่เป็นท่า

ไม่พอใจ ไม่พอใจ

ตั้งแต่วันที่หนีออกมา พวกเขาก็เหมือนละทิ้งจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งไว้ที่ตะวันตกเฉียงเหนือ

“เสือยอมหิวตายอยู่ในป่า แต่ไม่ยอมอิ่มหนำอยู่ในกรง…”

“ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้ให้ของขวัญชิ้นนี้แก่พวกท่านพี่ ถึงจะไม่ใช่การใช้ชีวิตที่สุขสบายบนกองเงินกองทอง”

“แต่เป็นชีวิตที่พวกท่านได้กู้คืนเกียรติยศของตัวเองคืนมา…”

“พวกท่านล้มลงที่ใด ก็ขอให้ลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่เปื้อนกาย ณ ที่นั้น…”

พ่ายแพ้ ณ ที่ใดก็ลุกยืนขึ้นอีกครั้ง ณ ที่นั้น ลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่

ลานบ้านเงียบสงัด ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ

เริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง!

ล้างมลทินทั้งหมด แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง!

ที่พวกเขาหนีออกมาในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะต้องการเรียกร้องความยุติธรรมหรอกหรือ แต่ทว่าพวกเขาไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีชาติตระกูลคอยเกื้อหนุน เป็นเพียงแค่ทหารต่ำต้อย จะไปเรียกร้องหาความยุติธรรมจากที่ใดได้

ยามนี้พวกเขาได้รับแล้วซึ่งความยุติธรรม ไร้ซึ่งมลทินติดตัว ทั้งยังได้กลับไปยังค่ายทหาร

สมดั่งใจหมายแล้วไม่ใช่หรือ

เดิมทีคิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว ทว่านอกจากจะไม่ตาย แต่ยังสมดั่งใจหมายอีกต่างหาก

ชะตาชีวิตคน มีเรื่องให้ประหลาดใจได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

สวีเม่าซิวเงยหน้า มองไปที่หญิงสาวเบื้องหน้า

เหตุใดถึงโชคดีเช่นนี้นะ

ข้าคู่ควรแล้วหรือ ข้าคู่ควรแล้วหรือ สวรรค์เมตตาพวกเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“ของขวัญสองชิ้นนี้ พวกท่านพี่ชอบหรือไม่”

เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง

“ชอบ” สวีเม่าซิวตอบเป็นคนแรก

เฉิงเจียวเหนียงมองเขา

“ว่าอย่างไรนะ” นางถาม ราวกับไม่ได้ยิน

“ชอบ” สวีเม่าซิวตะโกนเปล่งเสียงให้ดังขึ้น

“ว่าอย่างไรนะ” เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง ก่อนจะเผยยิ้มบาง

สวีเม่าซิวหัวเราะ หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่เขา เหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ก็หัวเราะเช่นกัน

“ชอบ!”

“ชอบ!”

“ชอบ!”

เสียงตะโกนดังอื้ออึงไปทั้งลานบ้าน คลอไปกับเสียงหัวเราะ

ทว่าบางคนหัวเราะ บางคนก็ร้องไห้

หลี่ต้าเสายกมือขึ้นมาขยี้จมูก

“พวกเฒ่าแก่จะไปแล้วจริงๆ ช่างอาลัยนัก” เขาเอ่ยเสียงสะเอื้อน

“ร้องไห้อะไรของเจ้า ไม่ได้ตายเสียหน่อย” ผู้ดูแลร้านอู๋ที่อยู่ข้างๆ เอ่ย “นี่เป็นเรื่องน่ายินดี พวกเฒ่าแก่จะได้กลับไปก่อร่างสร้างฐานะไปเป็นทหารกล้า”

หลี่ต้าเสาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผู้ดูแลร้านอู๋

“ท่านผู้ดูแล ท่านทำอะไรน่ะ” เขาถาม “ท่านแหงนหน้าทำไม”

“ไม่มีอะไร มองฟ้าน่ะ” ผู้ดูแลร้านอู่เอ่ย พลางหันหลังไปอีกทางทั้งทียังแหงนหน้าอยู่ “วันนี้ท้องฟ้าไม่เลวเลยทีเดียว…”

ความมืดมิดเข้ามาปกคลุม เสียงหัวเราะพูดคุยและเสียงยกแก้วดื่มสุราในลานบ้านเริ่มเงียบลง

พวกเขาดื่มตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ แม้แต่พี่น้องที่คอแข็งก็ยังเมาคอพับไป

“เหล้าไม่ได้กินแล้วเมา คนเราต่างหากที่มอมเมาตนเอง” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเมามาย เขา หลี่ต้าเสา และจินเกอร์พยุงเหล่าชายหนุ่มที่เมาคอพับอยู่ในห้องโถงกลับไปยังห้องของแต่ละคน ก่อนจะช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขอตัวลา

เฉิงเจียวเหนียงยืนส่งแขกอยู่ที่ริมระเบียง

“ลำบากผู้ดูแลเสียแล้ว” นางเอ่ย

“ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก คนเราต้องทุกข์ก่อนถึงจะรู้จักสุข” ผู้ดูแลร้านอู๋หัวเราะชอบใจ

ไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเหล่าพี่น้องที่ตัวเองพยุงกลับห้องเมื่อครู่ หรือว่าพูดถึงกิจการร้านอาหารในวันหน้ากันแน่

เอาเป็นว่าพวกเขาทั้งสองฝ่ายเข้าใจก็เป็นพอ

หลี่ต้าเสาก็หัวเราะตามแล้วพยักหน้า

ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยแม้แต่นิด ได้ลำบากเช่นนี้ช่างสุขใจยิ่งนัก

งานเลี้ยงอำลา ณ เรือนตระกูลเฉิงจบลง แต่งานเลี้ยง ณ เรือนตระกูลโจวกำลังครื้นเครง

สัมภาระของท่านชายโจวหกถูกส่งไปยังตะวันตกเฉียงเหนือล่วงหน้าแล้ว อีกสามวันเหล่าขุนนางที่ได้รับตำแหน่งประจำตะวันตกเฉียงเหนือคนใหม่ก็คงจะออกเดินทาง ทว่าวันพรุ่งนี้คือวันที่เขาจะต้องไปที่ค่ายตะวันตกเสียแล้ว

หากเทียบกับยามท่านแม่อาลัยลูกสาวที่แต่งออกเรือน แต่กับลูกชายตระกูลโจวแล้วนางไม่ได้ดูเศร้าโศกสักเท่าไหร่

สำหรับตระกูลโจวแล้วนี่คือสิ่งสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เป็นชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่วันที่พวกเขาเกิดมาบนโลกนี้ พวกเขาเองก็เตรียมตัวรอให้วันนี้มาถึง

“ไปอยู่ที่นั่นก็เชื่อฟังพวกท่านลุงด้วยล่ะ…”

“สนามรบไม่เหมือนสนามซ้อม ดูให้เยอะ เรียนรู้ให้เยอะ…”

ประสบการณ์ที่ท่านพ่อและเหล่าท่านลุงถ่ายทอดให้

“นี่คือตำราทหารราคาแพง มีทองพันชั่งก็หาซื้อไม่ได้…”

“ท่านพี่เครื่องรางคุ้มภัยนี้ข้ามอบให้ท่าน…”

เหล่าพี่น้องมอบของขวัญสั่งลาให้แก่เขา

งานเลี้ยงฉลองยิ่งให้ เสียงดนตรีการแสดงตระการตา โถงด้านหน้าของเรือนตระกูลโจวครื้นเครงยิ่งนัก จนกระทั่งกลางดึกถึงได้เลิกรา

ท่านชายโจวหกที่เริ่มสร่างเมาแล้วหลังจากอาบน้ำ เขานั้นไม่ได้เข้านอนในทันที แต่กลับมานั่งอยู่ที่กลางห้องโถง

“ท่านชาย นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านรีบเข้านอนเถิดเจ้าค่ะ” เหล่าสาวใช้เอ่ย

ท่านชายโจวหกมองของขวัญที่วางเรียงรายอยู่กลางโถง มีทั้งของพี่น้องและเพื่อนฝูง เพราะส่วนใหญ่เป็นของขวัญอวยพรให้เดินทางปลอดภัย จึงไม่จำเป็นต้องนำติดตัวไปด้วย

“ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วหรือ” เขาถาม

สาวใช้ที่ถูกถามมึนงงไม่น้อย

“ใช่เจ้าค่ะท่านชาย ของที่ได้รับหลายวันมานี้อยู่ที่นี่ทั้งหมดเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางสังเกตดู “ท่านชายจะเอาไปด้วยสักชิ้นสองชิ้นไหมเจ้าคะ”

ท่านชายโจวหกส่ายหน้า ก่อนจะโบกมือไล่

เหล่าสาวใช้ไม่กล้าถามอันใดต่อจึงคำนับลา

ท่านชายโจวหกนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วย้ายตัวไปที่โต๊ะเตี้ย พลิกดูของขวัญชิ้นน้อยชิ้นใหญ่

ไม่มี ไม่มี ไม่มี…

เป็นเพราะวันนั้นเขาไม่ยอมให้นางซื้อธนูคันยาวที่นางชอบ จึงโกรธเคืองกันจนไม่ไปมาหาสู่เชียวหรือ

ไม่ใช่แน่นอน

ท่านชายโจวหกชะงักมือลง

ไม่ใช่แน่นอน

เป็นเพราะเขาแสดงออกว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับนางต่างหาก นางฉลาดถึงเพียงนั้น มีหรือจะดูไม่ออก…

ท่านชายโจวหกนอนราบลงบนพื้น ใช้แขนหนุนหัวมองเพดาน

สาวใช้ที่อยู่ริมระเบียงชะโงกหน้าเข้ามาดู ท่าทางกังวลใจ

“ท่านชายดื่มเหล้าจนเมาหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงมานอนอยู่ที่นี่…” คนหนึ่งเอ่ยเสียงกระซิบ

“ดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อีกคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา

ยังไม่พูดจบ ก็เห็นชายหนุ่มในห้องโถงลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วยืนขึ้น ก่อนจะไปพลิกดูกองของขวัญอีกครา

สาวใช้ทั้งสองถอดหายใจ ก่อนจะสบตากันแล้วยิ้มออกมา จากนั้นจึงก้มหน้าแล้วนั่งลงที่ระเบียงดังเดิม

ท่านชายโจวหกชะงักมือลง

จะมีได้อย่างไร นางไม่รู้ว่าเขาจะไปเสียหน่อย

ถึงจะรู้ก็คงทำเหมือนไม่รู้อยู่ดี

ท่านชายโจวหกพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะล้มลงนอนอีกครั้งและยกเท้าถีบโต๊ะเตี้ยและกองของขวัญออกไปไกล นอนราบลงในท่าแสนสบาย

พอเห็นว่าชายหนุ่มในห้องโถงไม่ขยับไหวมานานแล้ว เหล่าสาวใช้จึงลองเอ่ยเรียกเสียงเบาๆ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดขานรับ พวกนางจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา จึงเห็นว่าชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเบาะรองนั่งนั้นได้หลับไปแล้ว

จะปลุกก็ไม่กล้า จะขยับก็กลัว เหล่าสาวใช้ทำได้เพียงนำผ้ามาห่มให้เขา ก่อนจะดับไฟในห้องลงแล้วออกไป

ในห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัว ชายหนุ่มลืมตาขึ้น

ยามดึกเงียบสงัด ทุกสรรพสิ่งไร้ความเคลื่อนไหว

ทว่าแสงไฟในห้องโถงของเฉิงเจียวเหนียงยังคงส่องสว่าง ภายในยังมีเสียงหัวเราะของสาวใช้ให้ได้ยิน รวมถึงกลิ่นยาบางเบา ไม่นานประตูกระดาษก็ถูกเลื่อนเปิด สาวใช้และปั้นฉินคล้องตะกร้ามาคนละใบ ส่วนเฉิงเจียวเหนียงก็เดิมตามหลังมา

พวกนางเดินไปตามระเบียงทางเดิน เพิ่งเข้ามาในลานหลังบ้าน ก็เห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ภูเขาจำลอง เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงรีบยืนขึ้น

“ท่านชายสามตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามด้วยรอยยิ้ม

“หลับไปงีบหนึ่งแล้วล่ะ” สวีเม่าซิวเอ่ย ใบหน้ายังคงดูเมามายไม่สร้าง เขาหัวเราะอย่างเก้อเขินและยังตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน “น้องสาวยังไม่นอนอีกหรือ”

“ชาเย็น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สาวใช้และปั้นฉินรีบยกตะกร้าในมือให้สวีเม่าซิวดู

“นายหญิงทำเองเจ้าค่ะ”

“ต้นชาที่ท่านชายสิบสามให้มา เพิ่งเก็บใบชาได้พอดี…”

ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของสองสาวใช้ สวีเม่าซิวก้มลงมองชาในตะกร้าอย่างตั้งใจ

“ดี ดี น้องสาวช่างเก่งยิ่งนัก” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าแล้วยิ้ม

เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามาใกล้ ได้ยินเขาพูดดังนั้นก็ยิ้มออกมา

“เช่นนั้นแล้ว ท่านพี่ก็วางใจแล้วไปนอนเถิด” นางเอ่ย “ไม่ต้องเป็นห่วงน้องสาวผู้นี้”

สวีเม่าซิวยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป

แต่ว่า ข้าก็ยังเป็นห่วง” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยคำใด

สวีเม่าซิวที่อยู่ด้านหลังถอนหายใจออกมา

“อันที่จริงข้าก็รู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง” เขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

แล้วเป็นห่วงหรือไม่เป็นห่วงกันแน่

สาวใช้และปั้นฉินที่ตามหลังอยู่ไม่กี่ก้าวหันมาสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม

“เจ้า วันหน้าก็ออกไปเที่ยวให้มากขึ้น” สวีเม่าซิวเอ่ย “อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่คนเดียวในบ้าน”

“ข้าไม่เหงา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะหันหลังไปยิ้มให้เขา “ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง”

สวีเม่าซิวถอนหายใจอีกครั้ง มองนางยืนอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ที่จินเกอร์เตรียมเอาไว้ก่อนหน้า เขาเอื้อมมือออกไป สาวใช้ก็รีบยื่นตะกร้าในทันที

“แม้ในสายตาคนนอก ข้าจะดูน่าสงสาร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางถลกแขนเสื้อแล้วล้วงในชาจากตะกร้าที่สวีเม่าซิวยื่นให้แล้วโปรยออกมา นางพูดถึงเพียงเท่านั้นก็หัวเราะ “บางทีอาจจะบอกว่าน่ากลัว นั่นเป็นแค่ความคิดของพวกเขา ข้าไม่ได้มีชีวิตเช่นนั้น”

ใช่แล้ว เป็นเพียงความคิดของคนอื่นก็เท่านั้น หญิงผู้นี้ไม่ได้น่าสงสารหรือว่าน่ากลัวเลย

สวีเม่าซิวยิ้มออกมา

“ข้าผิดเอง” เขาเอ่ย

“เช่นนั้นพวกท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ขอให้ท่านรู้ไว้ ก่อนที่จะได้เจอกับพวกท่าน ข้าก็ใช้ชีวิตเช่นนี้”

เพราะฉะนั้นหากพวกท่านจากไปก็ยังใช้ชีวิตดังเดิม

หรืออาจเป็นไปได้ว่า ชีวิตที่ไม่มีพวกเขาต่างหาก คือชีวิตที่นางคุ้นเคยมาตลอด

พูดจากตรงไปตรงมายิ่งนัก ตรงจนคนทนฟังไม่ไหว

ทว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ว่าคนฟังจะรับได้หรือไม่ ความจริงก็ยังคงอยู่เช่นนั้น

นางได้พบเจอพวกเขาได้เพียงแค่ปีเดียว

หนึ่งปี ช่วงเวลาอันแสนสั้น

หนึ่งปี สำหรับนางคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกเขาราวกลับชะตาชีวิตที่พลิกผัน

สวีเม่าซิวไม่พูดต่อ เฉิงเจียวเหนียงก็ไม่เอ่ยคำใด คนหนึ่งโปรยใบชา คนหนึ่งถือตะกร้า ไม่นานใบชาสองตะกร้าก็ถูกโปรยจนหมด

“เอาล่ะ คราวหน้าจะทำเรื่องเช่นนี้อีก น้องสาวต้องทำเองแล้ว พี่คงช่วยไม่ได้แล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางสะบัดมือไปมา

เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ ก่อนจะก้มคำนับ

“ขอบคุณท่านพี่ยิ่งนัก” นางเอ่ย

“รีบไปนอนเถิด” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางมองไปที่นาง “ที่ผ่านมา เจ้าเหนื่อยมามากพอแล้ว”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคำนับให้เขาอีกครั้งแล้วหันหลังเดินจากไป

สาวใช้และปั้นฉินก็คำนับก่อนจะเดินตามไป

แสงไฟสลัวท่ามกลางความมืดมิดในค่ำคืนค่อยไกลออกไปพร้อมกับหญิงสาว สวีเม่าซิวยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ท้องฟ้าเริ่มสว่าง สาวใช้เปิดประตูอย่างแผ่วเบา แต่ก็ต้องตกใจในทันที

“ท่านชายเล่า” นางตะโกนก่อนจะหันหลังกลับ “พวกเจ้าเห็นท่านชายหรือไม่”

สาวใช้นางอื่นรีบวิ่งเข้ามา ทว่าห้องโถงกลับว่างเปล่า ผ้าห่มถูกม้วนไปอีกทาง

“หรือว่าไปที่สนามฝึก”

“เหตุใดถึงไม่ได้ยินเสียงเลย…”

“เมื่อครู่ข้ายังเห็นอยู่เลย…”

“วันนี้ต้องไปค่ายจิงอิ๋งแล้ว ท่านชายยังไปสนามฝึกอีกหรือ ขยันจริงเชียว…”

ทว่าในขณะนั้นท่านชายโจวหกผู้ขยันขันแข็งกำลังทุบประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงอยู่

“ท่านชายโจว มาแต่เช้าเชียว” จินเกอร์เกาะประตู เอ่ยเสียงครึ่งหลับครึ่งตื่น

“เช้าอะไรกัน ถึงเวลากวาดประตูบ้านแล้ว เจ้ายังนอนอยู่อีกหรือ!” ท่านชายโจวหกถลึงตาตะโกน

จินเกอร์ตกใจสะดุ้ง รีบคว้าไม้กวาดตามสัญชาตญาณในทันที ก่อนจะได้สติกลับคืนมา ท่านชายโจวหกก็เดินเข้าไปประตูมาแล้ว

เขารู้สึกราวกับเดินวนเวียนรอหน้าอยู่ประตูมาครึ่งค่อนวัน ท่านชายโจวหกหยุดฝีเท้าลงที่กลางลานบ้าน

“ท่านมีธุระอันใดหรือ” จินเกอร์เดินตามมาเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “ยังไม่ตื่นกันหรอก”

ท่านชายโจวหกพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะมองไปที่ลานบ้านอันเงียบสงัดและหันหลังเดินกลับไปที่ประตูหน้า

“บอกนางหญิงของเจ้าที ว่าข้าจะไปแล้ว” เขาบอกกับจินเกอร์พลางเดินออกไป “วันหน้า…”

เขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านหลัง

ท่านชายโจวหกหยุดเดินในทันที ทว่าในใจก็อยากจะเดินหนีออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้

“วันหน้าทำไมหรือ”

เสียงของเฉิงเจียวเหนียงลอยมาจากด้านหลัง

ท่านชายโจวหกสูดหายใจลึกก่อนจะหันหลังกลับไป พอเห็นหญิงสาวในชุดนอนผมเพ่ายุ่งเหยิงยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาจึงรีบหันกลับมา

“วันหน้า วันหน้าก่อเรื่องให้มันน้อยๆ หน่อย” เขาเอ่ย

ไม่มีเสียงตอบจากด้านหลัง

เขาก้าวท้าวเดินหน้า ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าว

“อ๋อ เจ้ากำลังมาบอกลาข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นมา

เจ้าอยากจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเจ้าเถิด

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเหลียวมองมา

“อยู่เมืองหลวงนั้นไม่ง่าย เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ” เขาเอ่ย

หางตาเหลือบเห็นหญิงสาวกำลังเผยยิ้มบาง

“ปั้นฉิน ไปเอาขนมมาสักหน่อย” นางเอ่ย

หญิงร้ายกาจ!

ท่านชายโจวหกหันตัวกลับมาถลึงตาใส่

ในห้องที่มืดสลัว และลานบ้านที่สว่างไสวเพราะแสงยามรุ่งเช้า นางยืนอยู่ที่หน้าประตู ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความมืดและแสงสว่าง ชุดสีเรียบ ผมดำขลับราวกับน้ำหมึก รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวนั้นช่างแจ่มใสจนมิอาจมองได้เต็มตา

ท่านชายโจวหกไม่รู้ว่าตนเองเดินออกมาได้อย่างไร พอได้สติกลับมาอีกทีก็พบว่าตนเองยืนอยู่ริมถนนเสียแล้ว แถมในมือยังมีกล่องขนมอีกต่างหาก

ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ ยามนี้สิ่งที่ควรทำคือโยนขนมกล่องนี้ให้ขอทานริมถนนไปเสียหรือไม่ก็เทลงแม่น้ำไป

ประตูเมืองเปิดแล้ว ท้องถนนเริ่มมีผู้คนเดินขวักไขว่ มีทั้งลากเกวียนขี่ม้าวิ่งผ่านไปมา

ท่านชายโจวหกเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเก็บขนมในอ้อมอกไว้อย่างดีแล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

“อรุณสวัสดิ์”

ใครคนหนึ่งขี่ม้าผ่านมาแล้วพูดขึ้น

“ทำอะไรลับๆ ล่อๆ”

ท่านชายโจวหกตกใจก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง

เสียงนี้…

เขาเงยหน้ามองดูชายหนุ่มรูปงามที่ขี่ม้าผ่านเขาไป

“นี่” เขาเอ่ยตะโกนอย่างอดไม่ได้

ท่านชายฉินสิบสามเหลียวกลับมา

“มีเรื่องอะไรหรือ” เขาถามด้วยท่าทางตกใจ

ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่เขา

“เจ้าจะทำไร” เขาเอ่ยถาม

“ออกไปทำธุระนิดหน่อยน่ะ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พูดจบก็โบกมือให้เขา “ไปก่อนล่ะ”

ขณะที่พูดนั้นเขาไม่ได้หยุดม้าแต่อย่างใด พอพูดจบม้าก็วิ่งออกไปไกลแล้วหันกลับมา ก่อนจะเร่งม้าให้เร็วยิ่งขึ้น

ท่านชายโจวหกยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับยังไม่ได้สติ

ไป…ก่อนล่ะ…

ทั้งคนและม้าฝ่าเข้าไปกลางฝูงชน ก่อนจะวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

“เจ้าบ้า” เขากัดฟันเอ่ยขึ้น “เจ้าบ้า!”

เขาเอ่ยพลางสาวเท้าวิ่งออกไป

กลางเมืองที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ม้าของท่านชายฉินสิบสามจึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก พริบตาเดียวท่านชายโจวหกก็ตามทันเสียแล้ว

“เหอะ ธุระอะไรของเจ้า รีบร้อนเสียจริงเชียว” เขาเอ่ยถามทั้งที่ยังอยู่บนม้า

ท่านชายโจวหกเดินเข้ามาประกบข้างก่อนจะส่งเสียงถุยออกมา

“แสร้งทำอยู่ได้ รีบลงม้ามาเดี๋ยวนี้” เขาถลึงตาเอ่ย

“เจ้านี่จู่ๆ ก็ด่าคนเสียอย่างนั้น” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วเอ่ย

“ด่าคนหรือ ข้าจะตีคนด้วย!” ท่านชายโจวหกตะโกน พลางยกมือขึ้นตีเขา

ตีคนอย่างนั้นหรือ

สายตาของผู้คนบนถนนหันมองมาด้วยแววตาเป็นประกายในทันที

“เอาละ เอาละ ข้าลงเอง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ “ทิ้งไม่ลง ทิ้งกันไม่ลง”

พอเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้ตีกันแถมยังเดินข้างกันอีกต่างหาก ชาวเมืองจึงหันหลังกลับด้วยความผิดหวัง

“ข้ามีธุระจริงๆ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย “เจ้ามีอะไรก็รีบพูดมา”

“ธุระของเจ้าคือการสะกดรอยตามข้าแต่เช้างั้นหรือ” ท่านโจวหกเย้ยหยัน

“โถ คิดว่ารูปงามนักหรือไร ข้าจะสะกดรอยตามเจ้าทำไมกัน” ท่านชายสิบสามเอ่ยด้วยสีหน้าตกใจ

“พอเถิด ข้าโกหกใครไม่เป็น เจ้าก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าตนเองฉลาดนัก แต่ก่อนข้าก็แค่อ่อนข้อให้เจ้าเท่านั้นเอง” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงฮึดฮัด “ตอนที่ข้าชนรถเจ้า เจ้ายังหัวเราะแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่ในใจคงก่นด่าข้าอยู่สินะ คิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ”

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ

“นี่ นี่ เจ้าดูออกจริงหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย “แล้วเหตุใดเจ้าถึงตกลงรับคำข้า”

“เจ้าเป๋นี่ เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“เจ้าเป๋หรือ ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เคยเรียกข้าเช่นนั้น” ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงฮึดฮัด

“ข้าพูดเล่น เช่นนี้เจ้าก็เชื่อหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ย พูดจบก็ยังมือขึ้น “เข้าเรื่องเสียงที ข้ายังมีธุระ รีบพูดมา”

“ธุระอะไร เข้าเรื่องอะไร” ท่านฉินสิบสามขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุย เอื้อมมือไปคว้ากริชที่เอวของอีกคน ท่านชายฉินสิบสามรีบเอื้อมมือไปคว้าไว้

“ของข้า ของข้า” เขาตะโกน

แม้ขาจะหายดีแล้ว แต่ก็เทียบไม่ได้กับคนมีฝึกฝนมาตั้งแต่เกิดอย่างท่านชายโจวหก ไม่ว่าจะแย่งอย่างไรก็เอาคืนมาไม่ได้เสียที

กริชเล่มนี้มองอย่างไรก็ไม่งามเลยสักนิด ด้ามมีดแสนเรียบง่าย ไม่มีเพชรพลอยประดับเลยแม้แต่น้อย

ท่านชายโจวหกชักมีดออก ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา

“มีของตระกูลต้วนเมืองเว่ยโจว” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ท่าทางพึงพอใจ “ไม่เลวนี่ ให้เป็นของขวัญก็ถือว่าจริงใจไม่น้อย”

ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา

“แล้วของข้าละ” เขาเอ่ยถาม

ท่านชายโจวหกเก็บกริชลง แล้วมองมาที่เขา

“การที่ข้ารับของขวัญจากเจ้า ก็ถือว่าเป็นการให้ของขวัญชิ้นงามแก่เจ้าแล้ว” เขาเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะลั่นพลางยกมือขึ้นชกหัวไหล่อีกคน

“นับวันยิ่งติดนิสัยน้องสาวเจ้าเข้าแล้วสิเนี่ย!” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

“จู่ๆ จะพูดถึงนางทำไม” ท่านชายโจวหกเอ่ย “เจ้าตัดใจเสียเถิด เอาแต่เก็บไปคิดอยู่ได้ ไม่มีประโยชน์หรอก”

ท่านชายฉินสิบสามยิ้มไม่พูดอะไร แต่กลับตบเบาๆ ที่หน้าท้อง

“รีบออกมาเลยยังไม่ได้กินข้าว” เขาเอ่ยพลางหันไปมองท่านชายโจวหกตาเป็นประกาย “เจ้าเอาขนมมาด้วยนี่ ไม่เลว ไม่เลว เอามานี่เลย…”

เขาเอ่ยพลางยื่นมืออกไป ท่านชายโจวหกที่ถือกล่องขนมอยู่รีบเบี่ยงตัวหลบ

“กินอะไรของเจ้า” เขาเอ่ย

“เจ้าไม่ชอบของของนางไม่ใช่หรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าไม่เห็นก็ไม่ต้องรำคาญใจ ข้าจัดการให้เจ้าเอง”

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเอี้ยวตัวหลบอีกครั้ง

“ข้าไปล่ะ เจ้าดูแลนางด้วย” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น

ท่านชายฉินสิบสามคลี่ยิ้มบาง

“นางต้องการใครดูแลเสียที่ไหน” เขาเอ่ย “แม้แต่ข้าที่อยากจะตอบแทนบุญคุณ ยังไร้สิ้นหนทาง”

ท่านชายโจวหกมองไปข้างหน้าแล้วก้าวเดินออกไป

ท่านชายฉินสิบสามกระตุกเชือกในมือ ม้าของเขายังไม่ได้ฝึกจนเชื่องเหมือนของท่านชายโจวหกที่จะเดินตามมาได้เอง

“หากเป็นคนอื่น ข้าก็ไม่เชื่อไม่ไว้ใจ มีแค่เจ้าแล้วล่ะ…” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ดูแลไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มีคนดูแลหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้ารับ แต่ก็ต้องส่ายหน้าไปมาอีกครั้ง

“นี่เจ้าชมหรือว่าด่าข้ากันแน่” เขาเอ่ยพลางชกท่านชายโจวหกอีกหนึ่งหมัด

คราวนี้ท่านชายโจวหกยกแขนขึ้นมากันได้ทัน ก่อนจะสวนกลับไปอีกหนึ่งหมัด

“ฝึกฝนร่างกายของเจ้าด้วย รอข้ากลับมาจากสนามรบ จะคอยดูว่าเจ้าหลบหมัดข้าได้หรือไม่” เขาเอ่ยพลางยิ้ม

“วางใจเถิด ข้าก็แค่เริ่มช้ากว่าเจ้าสิบปีเท่านั้น” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอเจ้ากลับมา ใครจะโดนตีก็ยังไม่รู้”

ท่านชายโจวหกเบ้ปาก

ยามนี้พวกเขาเดินมาถึงทางแยก ท่านชายฉินสิบสามหยุดฝีเท้าลง

“เช่นนั้นข้าไปละ” เขาเอ่ย

ท่านชายโจวหกก็หยุดเดินลงเช่นกันก่อนจะพยักหน้า

“เจ้ามีธุระจริงหรือ” เขาถามอีกครั้ง

“ใช่ ท่านพ่อข้าแนะนำอาจารย์ท่านหนึ่งมา เพียงแต่อาจารย์ผู้นี้เอาใจยากนัก ช่วงนี้ข้าต้องไปที่หาเขาแต่เช้าทุกวัน ไปประจบประแจงเสียหน่อย” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด

“แต่ว่า ที่มาส่งเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง” ท่านชายฉินสิบหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะตบที่ท่อนแขนอีกคนเบาๆ

ท่านชายโจวหกร้องเหอะ แล้วยกมือขึ้นคำนับเขา

“ขอให้เจ้าสอบได้” เขาเอ่ย

“เรื่องนั้นไม่ต้องอวยพรหรอก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แสงแดดยามรุ่งสาดส่องใบหน้าอันมั่นอกมั่นใจของชายหนุ่ม เขาเองก็ยกมือขึ้นคำนับอีกฝ่ายเช่นกัน “ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในเร็ววัน”

“เรื่องนี้ยังต้องอวยพรกันอีกหรือ ของมันแน่อยู่แล้ว” ท่านชายโจวหกเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะชอบใจ มือของทั้งสองที่คำนับให้แก่กันสัมผัสกันกลสงอากาศ

ท่านชายฉินสิบสามพลิกตัวขึ้นหลังม้ามุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ท่านชายโจวหกมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก หนึ่งคนหนึ่งม้ามุ่งหน้าไปตามทางของตนเองบนถนนที่คร่ำคราไปด้วยผู้คน

……………..