ตอนที่ 81 รู้สึกถึงอันตราย

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 81 รู้สึกถึงอันตราย

เวลาล่วงเลยมาสู่เดือนกรกฎาคมอย่างรวดเร็ว

หลายวันมานี้ พ่อแม่และฟางหยวนต่างกำลังยุ่ง มีแค่ฟางผิงที่ว่างอย่างเห็นได้ชัด

พ่อแม่หัวหมุนกับเรื่องงานเลี้ยง เชิญชวนญาติสนิทมิตรสหาย

ส่วนฟางหยวนนั้นยุ่งกับการโอ้อวด…ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าแบ่งปันเรื่องราว

“พี่ชายฉันสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ได้!”

“พี่ชายสอนวิชาให้ฉันด้วย!”

“ในอนาคตฉันคงจะสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เหมือนกัน”

“…”

คำพูดพวกนี้ฟางผิงได้ยินจนแทบจะเล่าเองได้แล้ว

เพราะตระหนักได้ว่า เขาต้องไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ เด็กคนนี้ไม่มีมือถือคงติดต่อกันไม่สะดวกเท่าไหร่ ฟางผิงเลยซื้อมือถือให้เธอเครื่องหนึ่ง

ปรากฏว่าพอมือถือมาส่ง ฟางผิงกลับต้องเสียใจ

เด็กคนนี้สอบเสร็จแล้ว แต่ใช้มือถือแทบไม่ได้พัก ถึงกระทั่งยังบ่อยกว่าฟางผิงซะอีก

โอ้อวดนั้นเป็นเรื่องรอง อย่างเช่นตอนนี้ฟางผิงได้ยินเด็กแสบกระซิบกระซาบกับมือถือว่า

“ขายไม่ได้จริงๆ พี่ฉันบอกว่า ถ้าขายเครื่องใช้ส่วนตัวของเขาอีก เขาจะตีฉันให้ตาย”

“…”

“ลายเซ็นก็ไม่ได้ ขนาดฉันขอ เขายังไม่เซ็นให้เลย”

“…”

“ห้าร้อยหยวน? อาอวี้ เธอบ้ารึเปล่า จ่ายหนักขนาดนี้เลย!”

“…”

“งั้นฉันขอคิดดูก่อน เอางี้ละกัน รอพี่ฉันไปแล้ว จะดูว่าในบ้านเหลือของอะไรบ้าง ถึงเวลานั้นเธอมาเลือก…”

“…”

ตอนแรกฟางผิงรู้สึกชื่นใจอยู่บ้าง ในที่สุดเด็กคนนี้ก็หลาบจำสักที

รอจนได้ยินบทสนทนาตอนท้าย ใบหน้าฟางผิงค่อยดำคล้ำขึ้นมา!

ถ้าฉันไปแล้ว เด็กคนนี้เตรียมจะโละของฉันไปขายทิ้งหมดงั้นเหรอ?

เหมือนว่าจะรับรู้ถึงสายตาของฟางผิง จู่ๆ ฟางหยวนจึงเพิ่มเสียงขึ้น “อาอวี้ ฉันไม่ออกไปเที่ยวแล้ว ช่วงนี้ฉันต้องตั้งใจฝึกวิชา!”

“อืม แค่นี้แล้วกัน พวกเราค่อยเจอกันตอนเปิดเทอม!”

“…”

ฟางผิงมุมปากกระตุก เธอคิดว่าพี่ชายเป็นคนโง่หรือไง?

เขาหลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ความสามารถแทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งทั่วไป

นี่ระยะแค่ห้าหกเมตร เธอคิดว่าฉันไม่ได้ยินหรือไง?

ในเมื่อเด็กคนนี้คิดว่าเขาไม่รู้ ฟางผิงก็จะไม่เปิดโปง

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนฟางผิงจะเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ครอบครัวของน้าเล็กจะเข้ามา คงไม่มีเวลาสอนจวงกงเธอแล้ว วันนี้มาฝึกเพิ่มกันสักหน่อย”

ฟางผิงวางแผนไว้แล้ว ต้องใช้การฝึกจวงกงมาจัดการเด็กนี้ก่อน

ฝึกเสร็จแล้ว ให้เด็กแสบกินยาบำรุงกำลัง

จากสภาพร่างกายของฟางหยวน ถึงจะฝึกจวงกง แต่อาการเบื่ออาหารคงจะค้างอยู่สักวันสองวัน

พรุ่งนี้ครอบครัวของน้าเล็กมา แม่เขาต้องเตรียมทำอะไรอร่อยๆ ไว้เยอะแน่

ให้เธอดูทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่รู้ว่าเด็กสาวจะทำหน้ายังไง

พอคิดดูดีๆ ฟางผิงกลับลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าไม่กินข้าวบ่อยๆ เด็กสาวจะผอมลงรึเปล่า?

หากผอมลงจริงๆ หน้ากลมคงจะกลายเป็นทรงเม็ดแตงโม นั่นคงไม่น่ารักแล้ว

คิดขัดแย้งอยู่ในใจพักใหญ่ ก่อนฟางผิงจะปลอบใจตัวเอง แค่กินยาบำรุงคงไม่ทำให้เด็กนั่นผอมลงได้หรอก

ฟางหยวนไม่รู้ว่าพี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเพิ่งมีโอกาสสัมผัสกับเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์เลยให้ความสนใจกับจวงกงอย่างมาก

พอได้ยินว่าต้องฝึกเพิ่ม ก็ไม่คิดโต้แย้งอะไร เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ได้สิ ฉันจะไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้!”

“ไม่ต้องรีบ ตอนเย็นค่อย…”

“ไม่รีบได้ไง ฝึกตอนนี้แหละ อย่ามาอู้นะฟางผิง!” เด็กสาวเผยสีหน้าไม่พอใจ

กำลังอยู่ในช่วงเห่อวิชา ฟางหยวนอยากจะเริ่มฝึกตอนนี้เลย

ฟางผิงชำเลืองมองเธอ ยินดีที่จะทำให้เธอสมปรารถนาอย่างยิ่ง พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้ เธอไปเปลี่ยนชุดเถอะ ฉันจะสอนเธอเดี๋ยวนี้แหละ”

เด็กสาววิ่งตัวลอยไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฟางผิงวางแผนไว้แล้ว อีกเดี๋ยวควรเพิ่มการฝึกจนถึงระดับไหนดี?

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่า

ฟางหยวนทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ หอบหายใจแรง “พี่ ยังต้องฝึกต่ออีกเหรอ?”

“อืม ผ่านความลำบากแล้วถึงจะอยู่เหนือคนอื่นได้ เธออยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เหรอ? ไม่ลำบากตอนนี้ ในอนาคตจะเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ยังไง?”

“แต่ว่า…”

เด็กสาวอยากโต้แย้ง นายไม่เห็นฝึกขนาดนี้เลย!

ช่วงเวลามอปลายสามปีของฟางผิง เขาเพิ่งจะมาขยันเอาตอนสุดท้าย ก่อนหน้านี้เขาทำตัวเอ้อละเหยลอยชายมาตลอดเถอะ

ทำไมพอถึงตาเธอ กลับมาเคี่ยวเข็ญตั้งแต่มอต้นเลยล่ะ?

ฟางผิงเดาได้ตั้งนานแล้วว่าเธอจะพูดอะไร หัวเราะเสียงดัง “พี่ชายเธอไม่เหมือนกับเธอซะหน่อย ฉันเป็นอัจฉริยะ”

“อย่ารีบตัดสินสิ! ถ้าฉันไม่ใช่อัจฉริยะ ทำไมถึงมีฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ได้คนเดียวล่ะ?”

“เธอที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนธรรมดา มีแต่ต้องขยันเท่านั้น ตอนนี้ทนต่อความลำบากไม่ได้ จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยังไง”

“…”

ล้างสมองน้องสาวเสียหน่อย พอเห็นเธอเหนื่อยจนยืนโงนเงน เวลานี้ฟางผิงค่อยพอใจ “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้ฝึกใหม่”

“หา?”

ฟางหยวนท้วงว่า “พรุ่งนี้พวกน้าเล็กจะมา นายบอกว่าจะไม่ฝึกวิชานี่?”

“การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอถึงจะเป็นวิถีของผู้ฝึกยุทธ์!” ฟางผิงปั้นหน้าแข็ง “ฉันบอกว่าไม่ฝึก เธอก็คิดจะแอบอู้จริงๆ งั้นเหรอ ฝึกจวงกงได้ดีแล้วหรือไง?”

“พี่…”

ฟางหยวนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม นายบอกเองว่าไม่ฝึก ฉันจะรู้ได้ไงว่านายมาน้อยใจตอนหลัง

ฟางผิงกำลังจะเอ่ยต่ออีกสักหน่อย มือถือกลับสั่นขึ้นมาก่อน

เขารับโทรศัพท์ โบกมือให้น้องสาวไปพักผ่อน ตอนที่เดินออกไปยังไม่ลืมบอกเป็นนัยให้เธอดื่มน้ำในแก้วที่เตรียมไว้

รอจนเห็นฟางหยวนดื่มน้ำที่ผสมยาบำรุงจนเกลี้ยง ฟางผิงค่อยสบายใจ

ดูท่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว

พอฟางหยวนออกไป ฟางผิงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่หวัง ผมไม่ได้รบกวนใช่หรือเปล่า?”

“ไม่รบกวน ฉันเพิ่งออกมาข้างนอกพอดี”

หวังจินหยางตอบไปลวกๆ “นายโทรมามีเรื่องอะไร?”

ฟางผิงเล่าเรื่องมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนานออกมาคร่าวๆ หวังจินหยางเงียบไปพักใหญ่ น้ำเสียงแฝงความซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ได้อันตรายมากอะไร! ก่อนหน้านี้เทียนหนานมีภารกิจชิ้นหนึ่ง เพราะเตรียมการณ์ไม่ดีพอ เลยทำให้เกิดความสูญเสียกับนักศึกษาแนวหน้า ตอนนี้ต้องรับนักศึกษาเพิ่มเข้ามา เพื่อสืบทอดรุ่นต่อไป”

“เกิดความสูญเสีย?”

นี่เป็นสิ่งที่ฟางผิงกังวล มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อันตรายถึงขนาดนี้เลย?

“มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนานมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั้งหมดสิบแปดคน มากกว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงไปสองคน ภารกิจครั้งก่อนมีคนสละชีวิตถึงแปดคน!”

หวังจินหยางกล่าวด้วยเสียงหนักอึ้ง ใช้คำว่า ‘สละชีวิต’ แทนคำว่าตาย!

คำว่า ‘สละชีวิต’ ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ใช้ได้

ฟางผิงเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ทำไมถึงมีคนสละชีวิตเยอะขนาดนี้?”

“บางเรื่องยังอันตรายกว่าที่นายจะจินตนาการได้!” หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ยิ่งเก่งเท่าไหร่ ยิ่งจะได้รับประโยชน์เท่านั้น ทั้งจะต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปมากเช่นกัน”

“ฉันเคยบอกไปแล้ว ยอมจะเป็นคนธรรมดา คงอยู่ได้แบบสุขสบาย แต่ถ้าไม่อยากเป็นคนธรรมดา งั้นก็ต้องเตรียมตัวให้ดี”

“ครั้งนี้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนานมีผู้สละชีวิตมากมาย มีสาเหตุมาจากการเตรียมตัวไม่พร้อมเหมือนกัน”

หวังจินหยางอดนึกถึงฉากก่อนหน้านี้ไม่ได้ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนานเป็นกลุ่มแรกที่เข้าไปควบคุมความวุ่นวายในถ้ำใต้ดิน

หน่วยทหารซีหนานและมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ซีหนานต่างมีพละกำลังเหนือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนาน ทั้งยังพากองทัพของรัฐบาลและอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ซีหนานมาด้วย ความสามารถถือว่ากินขาด

มีแค่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนานที่นำทีมด้วยอาจารย์ด้อยความสามารถไปหน่อย ตอนเกิดเรื่องเลยไม่อาจปกป้องพวกนักศึกษาได้ทันท่วงที

มีนักศึกษาหลายคนที่เข้าถ้ำใต้ดินเป็นครั้งแรก ทว่ากลับไม่มีการเตรียมพร้อมที่ดี ชั่วพริบตาเดียวก็เอาชีวิตไปทิ้งเหลือแค่ไม่กี่คน

หวังจินหยางไม่อยากหวนนึกถึงเรื่องพวกนี้อีก เขาเอ่ยต่อ “นายอยากรู้ว่าเพื่อนนายที่ไปเรียนที่นั่นจะเป็นอันตรายหรือเปล่างั้นสินะ? อันตรายต้องมีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ปัญหาคลี่คลายแล้ว ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรอก ทั้งถ้าไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม คงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลอะไร”

“งั้นค่อยดีหน่อย…”

ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ หยางเจี้ยนและเขาสนิทกันไม่น้อย หากมีอันตรายจริงๆ ยังไงคงต้องเตือนเขาสักหน่อย

“…”

ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันอีก ไม่นานก็วางสายไป

ฟางผิงวางโทรศัพท์แล้ว กลับจมดิ่งในความคิด

แม้หวังจินหยางจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่เขายังรับรู้ได้ถึงอันตราย

นักศึกษาแนวหน้าคืออะไร?

นักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามของแต่ละมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ถึงจะถือว่าเป็นแนวหน้า

นักศึกษาขั้นสามสิบกว่าคนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนาน เสียชีวิตกว่าครึ่งในภารกิจเดียว ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่จริงๆ!

เป็นอันตรายแบบนไหน ภารกิจยังไง ถึงทำให้เกิดความสูญเสียกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามมากมายขนาดนี้ได้?

เมืองหยางเฉิงที่กว้างใหญ่นี้ จะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสักกี่คนกัน?

ลำพังแค่หวงปินคนเดียว ยังต้องหาผู้ช่วยมือดี มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่พูดยาก

ตอนนี้เห็นได้ชัดว่า ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามไม่ได้อ่อนแอเลย ถือเป็นบุคคลสำคัญด้วยซ้ำ

แต่บุคคลสำคัญ อายุน้อย และอนาคตไกลแบบนี้ กลับต้องมาสูญเสียไปในเวลาชั่วพริบตาเดียว

“ดูท่าฉันต้องรีบทะลวงขั้นหนึ่งให้เร็วที่สุดแล้ว ไม่อาจเอาแต่สั่งสมปราณแบบนี้ต่อไป”

ฟางผิงตัดสินใจแล้ว รั้งรอไม่ยอมทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์สักที อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

กลางเดือนมิถุนายน ตอนที่ฟางผิงนัดเจอกับหวังจินหยาง ปราณเขาสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบแคล หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว

แต่ยิ่งบ่มเพาะเท่าไหร่ ปราณยิ่งเพิ่มยากขึ้นเท่านั้น การสิ้นเปลืองสูงขึ้นตามเช่นกัน!

ตอนนี้มาถึงต้นเดือนกรกฎาคม ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว

ตอนนี้ปราณของฟางผิงเพิ่มขึ้นช้าลงกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก

ทรัพย์สิน : 3,200,000

ปราณ : 189 แคล

จิตใจ : 199 เฮิรตซ์

ปราณติดอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าแคล ไม่ขยับไปไหน ค่าจิตใจยิ่งหยุดที่หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าเฮิรตซ์ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน

ฟางผิงเดาว่าตัวเลขสองร้อยคงเป็นช่วงคอขวด

บางทีปราณอาจจะแตะถึงสองร้อยแคล ตอนที่หลอมกระดูกครั้งที่สาม

แต่ค่าทรัพย์สินกลับลดลงอย่างรวดเร็ว!

ต้นเดือนเมษายน ค่าทรัพย์สินหนึ่งพันหยวน เพิ่มได้หนึ่งแคล

หลังจากแตะถึงขีดจำกัดร่างกาย ค่าทรัพย์สินประมาณสองสามหมื่นถึงจะเพิ่มได้หนึ่งแคล

รอจนทะลวงหนึ่งร้อยห้าสิบแคลแล้ว ต้องใช้กว่าสี่ห้าหมื่นถึงจะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแคล

สรุปแล้ว เงินที่ฟางผิงได้มากว่าหกล้าน ตอนนี้ใช้ไปจนเหลือแค่สามล้านเท่านั้น

รอจนหลอมกระดูกครั้งที่สาม ยังไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองอีกเท่าไหร่ อาจจะเหลือค่าทรัพย์สินแค่สองล้านด้วยซ้ำ

ค่าทรัพย์สินนั้นใช้ง่ายกว่าเงินสด หากเป็นคนอื่น เผลอๆ หลอมกระดูกครั้งที่สามแล้วอาจจะเสียค่าทรัพยากรเป็นสิบล้าน?

ไม่แปลกใจที่หวังจินหยางจะล้มเลิกความคิดหลอมกระดูกครั้งที่สาม เพราะทรัพยากรที่ต้องใช้นั้นพอๆ กับการทะลวงขั้นสาม

นอกจากนี้ฟางผิงยังจ่ายเงินสดไปอีกห้าแสน เพื่อซื้อยาเพิ่มความแข็งแรงในราคามิตรภาพมาจากหวังจินหยาง

เมื่อลองคำนวณแล้ว เขาสิ้นเปลืองไปกับทรัพยากรไม่น้อยเลยจริงๆ

“รออีกสักช่วงหนึ่ง ถ้าตอนเปิดเทอมยังไม่อาจหลอมกระดูกครั้งที่สามได้ ฉันจะทะลวงด่านเลยแล้วกัน”

เป็นคนธรรมดาต้องทำอะไรอย่างหดมือหดเท้า

มีแค่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น ฟางผิงถึงจะทำเรื่องได้สะดวกขึ้น

ตอนนี้เขามีเงินเหลืออยู่ไม่เยอะ ให้พ่อแม่สามแสน ซื้อยาเพิ่มความแข็งแรงห้าแสน ยังเหลือประมาณหนึ่งล้านห้าแสน

ในสายตาของคนทั่วไป เงินพวกนี้ไม่ใช่น้อยๆ ใช้จ่ายที่หยางเฉิงคงเหลือเฟือ แต่เซี่ยงไฮ้นั้นไม่เหมือนกัน?

แม้จะเป็นตอนนี้ เงินหนึ่งล้านห้าแสนแทบไม่นับว่ามากมายอะไรสำหรับเมืองเซี่ยงไฮ้ ใจกลางเมืองคงซื้อได้แค่ห้องน้ำ…ห้องน้ำขนาดไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่งเท่านั้น

“เดือนกรกฎาคมฝึกวิชาที่บ้าน เดือนสิงหาคมต้องล่วงหน้าไปหยั่งเชิงที่เซี่ยงไฮ้สักหน่อย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หลังจากทะลวงขั้นหนึ่ง เราคงตกอับจริงๆ แล้ว”

ในมือยังมียาบำรุงพวกนั้นอยู่ ยาบำรุงกำลังต้องเอาไว้ให้ฟางหยวน ยาเสริมสร้างกระดูกและยาป้องกันอวัยวะภายในขั้นหนึ่งต้องใช้ตอนทะลวงด่าน

เมื่อคำนวณแล้ว จะเหลือยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาแปดเม็ด ของขั้นหนึ่งอีกห้าเม็ด

หากไม่ไหวจริงๆ คงต้องหาโอกาสขายยาสักหน่อย ยังไงฟางผิงก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาบำรุงพวกนั้นอยู่แล้ว

“ปวดหัวชะมัด ไม่รู้ว่าหลังจากทะลวงขั้นสามแล้ว จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง?”

หลายปีนี้คนส่วนมากที่ตายล้วนเป็นนักศึกษาแนวหน้า ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขั้นสาม

แม้ฟางผิงจะหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่รู้อยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่รู้ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ทำให้คนยากจะรับได้ยิ่งกว่าซะอีก

———————–