เล่มที่ 10 บทที่ 290 ความลับของพระสนมเต๋อเฟย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือไม่รู้ว่ากลิ่นหอมฉุนเหล่านี้ผลิตขึ้นจากสิ่งใด มันกลบกลิ่นยาทั้งหมด นางสัมผัสได้เพียงกลิ่นฉุนจนเหม็นโดยมิอาจจำแนกได้ว่ามันคือยาอะไรกันแน่

นางเดินเข้าไปในห้อง เห็นพระสนมเต๋อเฟยนอนอยู่บนเตียงโดยไม่เปิดแม้กระทั่งผ้าม่านคลุมเตียง

ครุ่นคิด หนึ่งคงเพราะอาการป่วยยังไม่ดีขึ้น สองคงเพราะไม่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้อกตัญญูเช่นหลินเมิ้งหยา

“ถวายพระพรหมู่เฟย หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ประชวรมาหลายวันแล้ว หม่อมฉันเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของหมู่เฟย หมู่เฟยได้โปรดอภัยด้วยเพคะ”

เรือนในตำหนักหยาเสวียนมีเพียงแสงริบหรี่ เตาจุดเครื่องหอมตรงหน้าส่งกลิ่นฉุนยิ่งขึ้น

แปลกเหลือเกิน หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกระคายจมูก แต่กลับรู้สึกจิตใจสงบ ดูเหมือนกลิ่นนั้นจะต้องมีส่วนผสมของยาระงับประสาท

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือกลิ่นของยาตัวนี้เหม็นจนมิอาจรู้ได้ว่ามันคือยาชนิดใด ยิ่งไปกว่านั้นเรดาร์ยังไม่ส่งสัญญาณเตือน เห็นได้ชัดว่ามันมีส่วนผสมที่ค่อนข้างปลอดภัย

“พวกเจ้าคนหนุ่มสาวล้วนมีงานของตัวเองให้ต้องทำ ช่วยไม่ได้หรอกที่จะไม่มีเวลามาที่นี่ ร่างกายของเปิ่นกงยังไม่แข็งแรง รบกวนเจ้าไปบอกอวี้เอ๋อร์ด้วยว่าเปิ่นกงคงไม่ไปร่วมงานเลี้ยงวันมะรืน”

เอ่ยเสียงแผ่วราวกับคนไร้เรี่ยวแรง แตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว หลินเมิ้งหยาสงสัย หรือพระสนมเต๋อเฟยจะป่วยจริงๆ?

“เพคะ หมู่เฟยโปรดรักษาสุขภาพด้วย หม่อมฉันจะจัดการเรื่องอื่นๆ ให้ดีเพื่อมิให้หมู่เฟยต้องกังวล ได้ยินมาว่าหมู่เฟยมีอาการไข้หนาวสั่น เกรงว่ากลิ่นหอมฉุนเช่นนี้จะไม่ดีต่อร่างกายของพระองค์นะเพคะ”

หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นถวายคำนับ เตรียมตัวจะจากไป

แต่นางกลับเหลือบไปเห็นใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยที่แปลกไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพิจารณาให้ดี จู่ๆ มือคู่หนึ่งพลันเอื้อมไปวางฉากกั้นลง

“ขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยชี้แนะ หนู่ปี้จะระมัดระวังเรื่องนี้เองเพคะ นี่คือสร้อยข้อมือหยกแดงที่พระสนมเต๋อเฟยเตรียมเอาไว้มอบให้พระองค์”

เสียงคุ้นหูดังขึ้น นางคือหยุนลั่ว

หลินเมิ้งหยามักคิดเสมอว่าภายใต้ใบหน้างดงามเรียวเล็กรูปไข่นี้จะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แม้นางจะแย้มยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตาม

“ขอบพระทัยหมู่เฟย หม่อมฉันทูลลา”

เรียกป๋ายจีให้เข้ามาเก็บสร้อยหยกแดง ก่อนหลินเมิ้งหยาจะเดินออกจากตำหนักหยาเสวียน

แปลก เมื่อครู่เหมือนนางจะเห็น….หรือนางจะตาฝาด?

“พระสนมเต๋อเฟยแปลกไปเหลือเกินเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าพระนางใช้ดอกกุหลาบล้างหน้า เหตุใดพอมาวันนี้นางจึง…จึงเหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้วเล่าเจ้าคะ?”

ป๋ายจียืนอยู่ด้านหลัง ดังนั้นนางก็น่าจะเห็นสิ่งที่ตนเองเห็นเช่นเดียวกัน

“เจ้าเองก็เห็นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาหันไปถามป๋ายจี เมื่อครู่นางคิดว่าตัวเองตาฝาดเสียอีก ทว่าอีกฝ่ายกลับผงกศีรษะลง ตอนแรกป๋ายจีคิดว่าตนเองตาฝาด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางทั้งสองจะได้เห็นเหมือนกัน

“ข้าคิดว่าคงเพราะอาการป่วยของนางกระมัง ดังนั้นร่างกายจึงโรยรา”

มิได้เก็บเรื่องนี้เอามาใส่ใจ เมื่อดูจากอายุของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว การมีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าถือเป็นเรื่องปกติ

พวกนางไม่รู้เลยว่า ทันทีที่พวกนางเดินถึงประตูหน้าตำหนักหยาเสวียน ดวงตาอาฆาตมาดร้ายคู่หนึ่งจะกำลังจับจ้องพวกนางอยู่

ภายในตำหนักหยาเสวียน ทุกคนถูกขับออกไปข้างนอกและเหลือไว้เพียงหยุนลั่วกับน้าจิ้งเยว่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สีหน้าของน้าจิ้งเยว่จึงขาวซีดด้วยความหวาดกลัว นางก้มหน้าลงราวกับหวาดกลัวหยุนลั่วที่กำลังรับใช้พระสนมเต๋อเฟยอยู่ข้างๆ เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ได้เรื่อง แค่ใบหน้าของเหนียงเหนียงก็มิอาจรักษาเอาไว้ให้ดีได้ เช่นนั้นเจ้าจะยังมีประโยชน์อันใดอีก?”

น้ำเสียงหยุนลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

จิ้งเยว่รีบคุกเขาลงกับพื้น ไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมา

“เอาล่ะ นางมิได้ทำอะไรผิดหรอก จริงสิ เจ้าคิดว่าใบหน้านี้จะยังสามารถใช้งานได้อีกนานหรือไม่?”

พระสนมเต๋อเฟยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่งอย่างสง่างาม ใบหน้าที่เคยมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเริ่มกลับมาเป็นปกติ

พระสนมเต๋อเฟยยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ไม่นานผิวหน้าก็ถูกนางฉีกออก

หยุนลั่วหัวเราะขณะมองใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟย ดวงตาคมกริบแฝงไว้ซึ่งความชื่นชม

“สมแล้วที่เป็นน้าจิ้งเยว่ซึ่งอยู่ข้างกายพระสนมเต๋อเฟยมาอย่างยาวนาน เจ้าทำงานได้อย่างไร้ที่ติ วางใจเถิด หน้ากากหนังมนุษย์สำรองที่เตรียมเอาไว้ใกล้จะส่งมาถึงแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะได้กลายเป็นพระสนมเต๋อเฟยสมใจ”

ใบหน้าสองคนที่เหมือนกัน คนหนึ่งหดตัวคุกเข่าอยู่บนพื้น อีกคนสวมใส่ชุดหรูหรานั่งอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่หากลองสังเกตให้ดีจะเห็นได้ถึงความแตกต่าง

สีหน้าของจิ้งเยว่ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นแปลกประหลาดไม่เป็นธรรมชาติ ทว่าแม้จิ้งเยว่ที่สวมชุดของพระสนมเต๋อเฟยจะมีใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย แต่กลับดูเป็นธรรมชาติ

พระสนมเต๋อเฟยคุกเข่าลง ดวงตาคู่สวยแสดงท่าทางหยิ่งผยอง ยื่นมือเข้าไปเชยคางจิ้งเยว่ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น

“จิ่นเยว่ เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกันมานานหลายปี คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้พวกเราจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการหาโอกาสบอกอวี้เอ๋อร์ว่าข้าหาใช่แม่แท้ๆ ของเขา ช่างซื่อสัตย์เหลือเกิน แต่น่าเสียดาย ชีวิตของนังแพศยาอยู่ในกำมือของข้า หากเจ้าปากโป้ง นังแพศยานั่นต้องตาย”

จิ้งเยว่ ไม่สิ ต้องพูดว่าจิ่นเยว่ที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ของจิ้งเยว่ปล่อยให้น้ำตารินไหล ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา

“จิ้งเยว่ พวกเราอยู่รับใช้คุณหนูมาตั้งแต่เด็ก แม้จะอยู่ในฐานะนายบ่าว แต่ถึงกระนั้นก็รักใคร่เสมือนพี่น้อง คุณหนูดีกับเจ้ามาก เหตุใด…เหตุใดเจ้าจึงหักหลังคุณหนูเช่นนี้?”

จิ่นเยว่พยายามแย้งเรียกสติของจิ้งเยว่

“พี่น้อง? ฮ่า ฮ่า ฮ่า หากเป็นพี่น้องกันจริง เหตุใดนางจึงแย่งตำแหน่งของข้าไป! พระสนมเต๋อเฟย? น่าขันเหลือเกิน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ฮ่องเต้ทรงตกหลุมรักคือข้า หาใช่นางไม่!”

ท่าทางของจิ้งเยว่ราวกับคนกำลังบ้าคลั่ง จิ่นเยว่ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้า นางไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดพวกนางสามพี่น้องจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

“ตอนนี้ข้าเพียงแย่งสิ่งที่เคยเป็นของข้าคืนมาเท่านั้น แม้แต่อวี้เอ๋อร์ก็ต้องเป็นของข้า ข้าต่างหากที่ควรเป็นพระสนมเต๋อเฟยผู้งามสง่า เจ้า…จงเป็นสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อไปเถิด วางใจ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”

นัยน์ตาของจิ้งเยว่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง

ราวกับหยุนลั่วรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงมิได้แสดงท่าทางแปลกใจ

“ข้าเลี้ยงอวี้เอ๋อร์มาเองกับมือ ดังนั้นข้าย่อมรู้จักเขาดี แม้ตอนนี้เขาจะยังเคารพเจ้า แต่หากเขารู้ว่าเจ้าทำร้ายเหนียงเหนียง เขาจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”

จิ่นเยว่ร้องออกมาด้วยความขมขื่น แต่กลับกระตุ้นต่อมอารมณ์ของจิ้งเยว่ นางทั้งโกรธและอับอาย ฝ่ามือเงื้อขึ้นเพราะคิดอยากจะตบหน้านาง แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกับใบหน้าของตนเอง นางก็เปลี่ยนใจ

“ใบหน้าของข้าจะเสียหายไม่ได้ จิ่นเยว่ เจ้าจงเป็นสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้า มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความร้ายกาจของข้า”

จิ้งเยว่ออกแรงบีบแขนของจิ่นเยว่ แม้ใบหน้านั้นจะกำลังยิ้ม แต่มันคือรอยยิ้มของความบ้าคลั่ง

ไม่มีใครรู้เลยว่าวังหลวงจะเกิดเรื่องราวอันเป็นความลับเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

หลินเมิ้งหยากลับมายังตำหนักของตนเอง ทว่าความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นับตั้งแต่วันที่พระสนมเต๋อเฟยออกมาจากวัง นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนนางยังเคยได้กลิ่นของยาพิษบนร่างของพระสนมเต๋อเฟยอีกด้วย

แต่ตอนนี้นางกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น คนปกติทั่วไปไม่มีทางเปลี่ยนทัศนคติง่ายๆ เช่นนี้แน่

นางเคยสงสัยว่าพระสนมเต๋อเฟยคนนี้อาจเป็นคนอื่นปลอมตัวมา แต่ทั้งการกระทำและน้ำเสียงล้วนมิแตกต่างกันเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว

ตกลงมีเรื่องอะไรที่นางยังไม่รู้กันนะ?

“นายหญิง วังหลวงส่งเงินมาให้เจ้าค่ะ ท่านจะดูด้วยตนเองหรือไม่?”

ป๋ายซ่าวยกหีบเงินเข้ามา หลินเมิ้งหยาชายตามอง เงินเหล่านั้นมีมากพอควร แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงการจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียมกันขององค์ชายเพียงเท่านั้น ถึงอย่างไรฮองเฮาและไท่จื่อก็ไม่มีทางให้เงินมากมายมหาศาลแก่หลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน ขี้งกชะมัด

“เจ้าเอาไปนับเถิด ข้าคงไม่ไปดูแล้วล่ะ วันมะรืนก็ถึงงานเลี้ยงในวังหลวงแล้ว พวกเจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน หลังจากปีใหม่ ข้าคงต้องเข้าวังหลวง เมื่อถึงเวลานั้น นอกจากป๋ายซู พวกเจ้าอีกสามคนที่เหลือจงไปอยู่ที่ร้านยาสามสหายเถิด”

ป๋ายจื่อที่กำลังยกน้ำชามาให้หลินเมิ้งหยาถึงกับตกตะลึง มิใช่เพียงนาง นอกจากป๋ายซูแล้ว อีกสองคนที่เหลือเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“เข้าวัง? นายหญิง หากท่านต้องเข้าวัง เช่นนั้นพาพวกเราทั้งสามไปกับท่านด้วยเถิด คนในวังหลวงล้วนไม่ประสงค์ดีกับท่าน หากพวกเราไม่อยู่แล้วใครจะดูแลท่านเล่า?”

ป๋ายจีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ นางไม่อยากจากหลินเมิ้งหยาไป

ชิงหูกับเสี่ยวอวี้จากไปแล้ว ดังนั้นหลินเมิ้งหยาย่อมรู้ดีว่าทุกคนล้วนมีเส้นทางชีวิตของตนเอง เส้นทางที่นางเลือกล้วนเต็มไปด้วยขวากหนาม แม้จะสามารถออกจากวังหลวงได้อย่างราบรื่นและหย่าร้างกับหลงเทียนอวี้สำเร็จ แต่สุดท้ายนางก็ยังคงเป็นหนามยอกอกของฮองเฮาเสมอ

หากสกุลหลินยังมีสถานะเช่นนี้ ไม่ว่าใครต่างก็คิดอยากโจมตีนาง โจมตีสกุลหลิน

สาวใช้ทั้งสามอ่อนแอเกินไป หากอยู่ที่ร้านยาสามสหาย พวกนางจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หากพวกนางเข้าวังและตกอยู่ในอันตราย พวกนางคงไม่อาจปกป้องตัวเองได้

ครุ่นคิด ก่อนจะต้องทำใจตัดสินใจเช่นนี้

“ดูพวกเจ้าเถิด พวกเราหาได้ตายจากกันไม่ หากข้าเข้าไปอยู่ในวังแล้ว จวนแห่งนี้จะไม่มีใครปกป้องพวกเจ้าได้อีก หากพวกเจ้าถูกทำร้ายจะทำเช่นไร? เช่นนั้นพวกเจ้าไปช่วยข้าดูแลร้านยาสามสหายจะไม่ดีกว่าหรือ เท่านี้ข้าเองก็หมดกังวล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็มีทางหนีทีไล่อยู่แล้ว วางใจเถิด ข้ามีเก้าชีวิตเหมือนแมว ไม่มีทางตกหลุมพรางใครง่ายๆ หรอก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีป๋ายซูคอยปกป้อง ข้าไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”

แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยปลอบโยนเช่นนี้ ทว่าสาวใช้ทั้งสามยังคงส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น