เล่มที่ 10 บทที่ 291 งานเลี้ยงขึ้นปีใหม่

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เมื่อเทียบกับราษฎรแล้ว ราชวงศ์ให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงฉลองวันขึ้นปีใหม่ค่อนข้างมาก

ฟ้ายังไม่ทันมืด หลงเทียนอวี้ที่สวมชุดทางการก็เดินทางเข้าวังหลวง

เหล่าองค์ชายและพระสนมในวังหลวงล้วนต้องตามเสด็จไท่จื่อไปที่ตำหนักไท่เหอเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นจึงเดินทางไปที่ตำหนักหย่งเหอเพื่อพบกับเหล่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ แม้ฮ่องเต้จะยังประชวร แต่พวกเขามิอาจละเลยธรรมเนียมประเพณีอันดีงามได้

สุดท้ายพวกเขาจึงจะเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงฉลอง

ระหว่างทางเข้าวังหลวง สาวใช้ทั้งสี่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา วังหลวงมีการประดับตกแต่งใหม่ บรรยากาศครึกครื้น รถม้าทั้งคันเล็กคันใหญ่ล้วนโลดแล่นอยู่บนเส้นทางสู่วังหลวง

หลินเมิ้งหยาเลิกผ้าม่านขึ้น ข้างหน้าไม่ไกลคือตำหนักสูงตระหง่านภายในวังหลวงซึ่งอึมครึมมากกว่าแต่ก่อน แสงไฟจากคบเพลิงถูกจุดสว่างไสว

ทุกคนล้วนสวมชุดทางการที่เพิ่งตัดเย็บใหม่ แม้แต่คนขับรถม้าเองก็เช่นเดียวกัน

“รู้สึกได้ถึงการต้อนรับสิ่งใหม่ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาหนึ่งปีจะผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้”

เมื่อตอนต้นปีนางยังอาศัยอยู่ที่จวนของท่านแม่ทัพและถูกแม่เลี้ยงกับน้องสาวต่างมารดารังแก คิดไม่ถึงเลยว่าครึ่งปีต่อมานางจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ ไม่มีใครไม่รู้จักชายาอวี้

เวลามักนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเสมอ

“ยังจำเรื่องเมื่อปีก่อนได้อยู่เลยเจ้าค่ะ พวกเราสองคนอยู่ในเรือนด้วยกัน นายท่านและคุณชายยังไม่กลับมา ข้ากับนายหญิงต้องนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตา พวกคนรับใช้เอาเกาลัด มันเทศมาให้พวกเราได้ย่างกิน ข้ายังจำกลิ่นหอมของอาหารเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี”

ราวกับว่าป๋ายจื่อกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนขมขื่น แต่กลับมีชีวิตอันแสนเรียบง่าย

“ข้าเองก็อยากกินเหมือนกัน ก่อนมาที่นี่ข้าสั่งให้โรงครัวเตรียมมันเทศเอาไว้ให้พวกเราแล้ว รอพวกเรากลับถึงจวน พวกเรานำมาย่างกินกันดีหรือไม่?”

ดวงตาของป๋ายซ่าวเปล่งประกายไปด้วยความหวัง การย่างมันเทศเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป ดังนั้นจึงได้รับความเห็นชอบจากทุกคน

“ใช่แล้ว ข้าวในวังหลวงจะต้องกินไม่อิ่มอย่างแน่นอน รองานเลี้ยงจบแล้วพวกเราไปย่างมันเทศกันเถิด”

หลินเมิ้งหยาหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เหตุเพราะนางไม่มีครอบครัว เพื่อนสนิทเองก็กลับบ้านไปเฉลิมฉลองกับครอบครัว

แม้ว่าเพื่อนๆ จะเชิญนางไปร่วมงานเฉลิมฉลอง แต่นางเป็นเพียงคนนอก ดังนั้นจึงไม่อยากไปรบกวนผู้อื่น

มองดูบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะในรถม้า ในที่สุดนางก็รู้สึกว่าตนเองมีครอบครัวแล้ว

“ถึงประตูจ่างถิงแล้วขอรับ เชิญทุกท่านลงจากรถม้าและเดินทางไปยังตำหนักฉงชิ่ง”

ภายนอกมีคนรอรับใช้อยู่ก่อนแล้ว ทุกครอบครัวที่ลงจากรถม้าล้วนมีมามาคอยนำทาง

หลินเมิ้งหยามิได้คิดอะไรมาก ที่นี่คงไม่มีใครวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างแน่นอน เหตุเพราะงานเลี้ยงในวังหลวงไม่เหมือนงานเลี้ยงที่อื่น

เมื่อลงจากรถม้าก็มีมามาหน้าตาสะอาดสะอ้านคนหนึ่งก้าวเข้ามาตรงหน้าพวกนาง หลังจากเห็นหลินเมิ้งหยาแล้วนางจึงถวายคำนับ

“ถวายพระพรพระชายา หนู่ปี้คือผู้นำทางนามว่าหลี่มามา เชิญพระชายาเดินตามหนู่ปี้ไปยังตำหนักฉงชิ่งด้วยเถิด”

หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ก่อนจะสั่งให้ป๋ายจีหยิบถุงเงินส่งให้หลี่มามา

ถึงอย่างไรนี้ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาอย่างช้านาน การมอบเงินสินน้ำใจให้กับผู้น้อยย่อมเป็นเรื่องปกติ

ความใจกว้างของผู้อื่นมิอาจเทียบกับหลินเมิ้งหยาได้เลย หลี่มามายกยิ้มกว้าง นางรู้สึกชื่นชมหลินเมิ้งหยายิ่งนัก

“ไอหยา หนู่ปี้มิอาจรับของล้ำค่าจากพระชายาได้หรอกเพคะ”

ป๋ายจีกลับยัดถุงเงินใส่มือหลี่มามา ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“มามาลำบากแล้ว นี่คือน้ำใจเล็กน้อยแต่เพียงเท่านั้น มามาได้โปรดเก็บไปเถิด”

คราวก่อนตอนที่มาที่นี่ เหล่าสาวใช้ของพระชายาล้วนได้รับเสียงชื่นชมจากทุกคน คราวนี้แม้แต้ป๋ายจื่อเองก็ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบเช่นเดียวกัน

ดูเหมือนคนที่เติบโตขึ้นจะมิใช่เพียงพระชายา

เข้าไปในประตูจ่างถิง ก่อนจะเดินผ่านสวนดอกไม้ อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงตำหนักฉงชิ่งแล้ว สายตาของหลินเมิ้งหยาพลันเหลือบไปเห็นตำหนักที่มืดสนิทเพียงตำหนักเดียวในวังหลวง

ได้ยินมาว่าที่นั่นคือตำหนักชิงกงของฮ่องเต้ นับตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ฮ่องเต้ก็มิได้ออกจากตำหนักชิงกงอีกเลย ตาคู่สวยหรี่เล็กลงอย่างพินิจพิจารณา หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก

แผนการร้ายที่ทำลายได้กระทั่งพี่น้องผองเพื่อน

ยังไม่ทันถึงตำหนักฉงชิ่ง นางพลันได้ยินเสียงไผ่ลู่ลมทางเบื้องหน้า ทุกคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ดังนั้นนางจึงมิเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้ใด

“ไม่ได้เจอกันนาน พี่สะใภ้สามยังงดงามเหมือนเดิม”

เสียงแผ่วเบาลอยมากระทบโสตประสาท หลินเมิ้งหยาเอียงศีรษะก่อนจะเห็นหลงชิงหาน

เขาแต่งกายแตกต่างจากคุณชายทั่วไป วันนี้หลงชิงหานสวมชุดสีเหลืองสง่างาม

ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาแย้มยิ้มสบายๆ

“ใช่แล้ว เจ้าเป็นแขกคนสำคัญที่ไม่ยอมมาเยี่ยมเยียนง่ายๆ ได้ยินมาว่าเจ้ายังคงชื่นชอบในการดอมดมเหล่าหญิงสาว เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดจึงไม่พามาให้พวกข้ารู้จักสักหน่อยเล่า”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยทักทายอย่างไม่ไว้หน้า องค์ชายเจ็ดผู้นี้หาใช่คนดีอะไรไม่

หลงชิงหานรู้จักฝีปากของพี่สะใภ้สามเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำหน้าหนาแล้วหัวเราะ

อันที่จริงนางเองไม่ได้รู้สึกแย่กับหลงชิงหาน เมื่อเทียบกับไท่จื่อที่มักเห็นแก่ตัวแล้ว คนที่มักจะหัวเราะและเล่นสนุกอย่างหลงชิงหานทำให้นางรู้สึกผ่อนคลาย

“จริงสิพี่สะใภ้ ข้าได้ยินมาว่าฮองเฮาเป็นห่วงเป็นใยพวกท่านทั้งสองมากเป็นพิเศษ ข้าได้ยินมาว่านักเต้นระบำที่มาทำการแสดงในวันนี้หาใช่คนของวังหลวง แต่เป็นคนของร้านเป่ยโหลวที่มีแม่นางสวมผ้าปิดหน้าทั้งสองเป็นผู้จัดการ”

เป่ยโหลว? สมองของหลินเมิ้งหยาพลันปรากฏภาพหญิงสาวซึ่งปิดบังใบหน้าของตนเอง คนหนึ่งคือคุณชายเหมย ส่วนอีกคนคือคุณชายจู๋ ดูเหมือนพวกนางจะมีความสัมพันธ์อันดีกับหลงเทียนอวี้จริงๆ

มิเช่นนั้นราชวงศ์จะส่งพวกนางเข้ามาจัดการแสดงอย่างนั้นหรือ?

ที่แท้ก็ตกหลุมรักกันนี่เอง เขาคงไม่อยากทำให้คุณชายเหมยต้องเสียใจ

หลังจากเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเมิ้งหยา หลงชิงหานรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สามกับร้านเป่ยโหลวดี

แต่เมื่อเห็นท่าทางของหลินเมิ้งหยา เขาอดที่จะนึกสนุก ขึ้นมาไม่ได้ หรือพี่สะใภ้สามจะไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเป่ยโหลวที่แท้จริงคือใคร?

“ข้ารู้ว่าเขาชอบคุณชายเหมย ข้ารู้ดีว่าสักวันหนึ่งคุณชายเหมยจะต้องถูกรับตัวเข้ามาอยู่ในจวน ข้าหาใช่คนใจแคบ พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ข้าจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้ ข้าไม่แสดงความเห็นแก่ตัวอย่างแน่นอน”

คำพูดนี้เจืออารมณ์คุกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้หลงชิงหานโง่ก็ยังดูออกว่าหลินเมิ้งหยากำลังหึง

เอ๋? ความสัมพันธ์อันดี? นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หลงชิงหานรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาคิดว่าคนอย่างพี่สะใภ้สามจะต้องไม่รู้จักความรู้สึกหึงหวง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวผู้ฉลาดเฉลียวคนนี้จะเกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมาเช่นนี้

“พี่สะใภ้สามมิได้โกรธจริงหรือ?”

หลงชิงหานอดที่จะแกล้งหลินเมิ้งหยาไม่ได้ สวรรค์โปรด ในที่สุดก็มีเรื่องที่ทำให้พี่สะใภ้สามมาดหลุดได้ เพียงได้เห็นปฏิกิริยาของนาง ปีศาจร้ายที่อยู่ในหัวใจของหลงชิงหานพลันตื่นขึ้น

“โกรธ? ข้าจะโกรธเรื่องอะไรกันเล่า? หากเจ้าว่างมาก เช่นนั้นก็ไปดื่มเหล้าเสียเถิด ดื่มมากๆ หน่อยจะได้หยุดปากสุนัขของเจ้าได้”

หลินเมิ้งหยาเหยียดยิ้มเย็นชา หลงเทียนอวี้ตัวดี! ดูเหมือนเขาจะนอกใจนางมิใช่เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น คนทั้งโลกล้วนรู้เรื่องนี้ ยกเว้นนางเพียงคนเดียว

เดินไปยังที่นั่งของตนเองด้วยความโกรธเกรี้ยว หลินเมิ้งหยาอยากจะฆ่าหลงเทียนอวี้ให้ตาย

ไม่สิ หลินเมิ้งหยาส่งเสียงปลอบตัวเองในใจ นางตัดสินใจที่จะจากไปแล้วนี่ หากหลงเทียนอวี้คิดจะนอกใจก็ปล่อยเขาไปเถิด ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว

ไอ้คนโรคจิต ตายคาอกผู้หญิงไปเลยไป!

“ฮัดชิ่ว….”

จู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็จามออกมา ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย เหงื่อผุดขึ้นบนร่าง

เขาหันไปมองรอบๆ แปลกจริง แถวนี้มิได้มีอันตรายอันใดนี่

“ท่านอ๋อง นางมาแล้วขอรับ”

เงาดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของหลงเทียนอวี้

ภายในตำหนักอันแสนว่างเปล่า มีเพียงแสงสลัวจากเปลวเทียน เงาบางร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นภายในตำหนัก

คนที่มามีรูปร่างเหมือนผู้หญิง นางสวมใส่ผ้าคลุมสีขาวราวหิมะและปิดบังใบหน้าเอาไว้ด้วยผ้า

“เตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลงเทียนอวี้ถามเสียงทุ้มต่ำ สายตามองทางร่างบางที่คุ้นเคย

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ รอบๆ ตำหนักฉงชิ่งถูกล้อมไว้ด้วยคนของข้า ข้าส่งคนไปจับตาดูรอบๆ ตำหนักชิงกงของฮ่องเต้แล้ว เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้นก็จะสามารถดำเนินการตามแผนได้ทันที”

เสียงเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้น หลงเทียนอวี้ผงกศีรษะ ก่อนจะหันไปมองตำหนักที่ไร้แสงไฟเพียงหนึ่งเดียว

ใกล้แล้ว อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ลูกจะไปช่วยพระองค์เดี๋ยวนี้

“ต่อจากนี้ไปห้ามมิให้เหมยมายังตำหนักของข้าอีก นางอวดดีเกินไป หากมีคนรู้ว่าข้ากับเป่ยโหลวเกี่ยวข้องกัน เกรงว่าจะเกิดเรื่องได้ เรื่องนี้จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ เจ้าที่เป็นหัวหน้ารู้ดีว่าควรจัดการเช่นไร”

สายตาของหลงเทียนอวี้เคร่งขรึม เป่ยโหลวเป็นหนึ่งในกำลังสนับสนุนของเขา เขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นกองกำลังลับในเมืองหลวง แต่วันนั้นเหมยกลับเดินทางเอายามาส่งมอบให้เขาด้วยตนเองโดยมิได้รับคำสั่ง

แม้เหมยจะมิใช่หนึ่งในสี่จตุรเทพ แต่นางก็มีชื่อเสียงในฐานะคุณชายเหมย

เรื่องนี้อาจรั่วไหลออกไปได้อย่างง่ายดาย

“อะไรนะ? เหมยไปที่จวนของท่าน? ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษข้าด้วย ข้าไม่รู้ว่านางไปที่จวนของท่าน หากกลับไปแล้วข้าจะลงโทษนางเองเจ้าค่ะ”

ผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าหล่นลง เผยให้เห็นใบหน้าของคุณชายจู๋ผู้เลื่องชื่อแห่งร้านเป่ยโหลว

แม้จะสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทว่าสายตากลับเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว นางรู้ถึงความโหดเหี้ยมของหลงเทียนอวี้ดี