“เจ้าไม่รู้? ฮึ ดูเหมือนหัวหน้าเช่นเจ้าจะไม่ใส่ใจต่อหน้าที่ของตนเองเท่าที่ควร สิ่งที่นางนำมาด้วยคือตราสัญลักษณ์ต้นไผ่ของเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่านางจะเข้ามาในจวนของข้าได้เช่นไร?”
สายตาของหลงเทียนอวี้เย็นชา คุณชายจู๋เป็นเจ้าของร้านผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง ส่วนคุณชายเหมยเป็นเพียงคนที่นางหามาเล่นละครแต่เพียงเท่านั้น
คุณชายเหมยเป็นเพียงคนที่มีความสามารถและเจ้าระเบียบ
“ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องได้โปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะจัดการคุณชายเหมยเอง”
คุณชายจู๋ครุ่นคิด ก่อนจะเข้าใจบางอย่าง เมื่อหลายวันก่อนลู่หนิงนั่งเกี้ยวของเหมยเข้ามาที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะใจกล้ามากถึงเพียงนี้
เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก เพราะเหตุนี้ก่อนที่ลั่วปิงจะไป นางจึงกำชับตนเองว่าให้จับตาดูเหมยให้ดี
“หลังจากเรื่องนี้จบลง เจ้าจงไปจัดการให้เรียบร้อย จำเอาไว้ ภารกิจในวันนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น”
หลงเทียนอวี้หมุนตัว ผ้าคลุมสะบัดตามการเคลื่อนไหว ดวงตาสุขุมของคุณชายจู๋จับจ้องมองทางตำหนักชิงกงของฮ่องเต้
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า อีกครึ่งชั่วโมงให้หน่วยสอดแนมทั้งหมดเริ่มปฏิบัติการได้”
“ขอรับ”
ท่ามกลางความว่างเปล่า เสียงหนึ่งตอบกลับมา เพียงสายลมพัด ภายในตำหนักแห่งนี้ก็กลับเข้าสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในตำหนักฉงชิ่ง แม้จะเป็นงานเลี้ยงรวมญาติ แต่เพราะนี่คืองานเลี้ยงของคนในราชวงศ์ ดังนั้นบรรยากาศจึงน่าอึดอัด หลงเทียนอวี้มิได้รับความเอ็นดูจากฮองเฮา ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทางเฉยเมย
โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมาหลินเมิ้งหยาเป็นคนที่มีความสุขได้ด้วยตัวเอง แม้นางจะนั่งนิ่งอยู่เงียบๆ แต่กลับตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน
ไม่นานก็มีคนเข้ามานั่งประจำที่มากขึ้น
ขณะที่กำลังรู้สึกเบื่อ นางรู้สึกว่าขาของตนถูกเตะเบาๆ
เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเห็นเป็นซ่างกวนฮุ่ย หัวใจเต้นระรัว ซ่างกวนฮุ่ยเป็นหญิงสาวฉลาดเฉลียว
แสร้งก้มหน้าลง ก่อนเห็นกระดาษม้วนเล็กๆ แผ่นหนึ่ง
หรือซ่างกวนฮุ่ยต้องการส่งข่าวให้นาง?
“ไอหยา แย่จริงๆ”
หลินเมิ้งหยายกมือปัดแก้วเหล้า สาวใช้ทั้งสี่รีบเข้ามาล้อมตัวนางไว้
ราวกับเข้าใจความหมายของเจ้านาย พวกนางรีบเข้ามายืนบดบังสายตาของทุกคนเอาไว้
รีบเก็บกระดาษเข้าไปในวงแขน หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหญิงรับใช้ข้างๆ
“ท่านน้าคนนั้น บังเอิญข้าทำเหล้าหกจนรองเท้าเปียก ไม่ทราบว่ามีที่ใดที่ข้าพอจะพักผ่อนได้บ้างหรือไม่?”
ดึงดูดความสนใจผู้อื่นเล็กน้อย หลินเมิ้งหยาแสร้งทำท่าประหม่า ถึงอย่างไรความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็สามารถเห็นได้บ่อยครั้ง
นางในคนนั้นรีบถวายคำนับ ก่อนจะเอ่ย
“ชายาอวี้อย่าได้เกรงใจเลยเพคะ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล เมื่อเดินผ่านระเบียงทางประตูหลังไปจะพบห้องพักมากมาย ห้องพักเหล่านั้นฮองเฮาเตรียมเอาไว้ให้แขกพักผ่อน เชิญท่านไปที่นั่นเพื่อพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย”
สาวใช้ทั้งสี่ประคองนางลุกขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วเดินไปทางด้านหลัง
ข้างนอกกำลังวุ่นวาย ดังนั้นพวกนางจึงไม่เป็นที่สนใจของผู้ใด
เมื่อมาถึงห้องพัก หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง เมื่อพบว่าไม่มีใคร นางจึงดึงม้วนกระดาษออกมา
“พวกเจ้าจงไปเฝ้าประตูให้ข้า หากมีใครเข้ามาใกล้รีบเตือนข้าทันที”
สาวใช้ทั้งสี่รู้หน้าที่เป็นอย่างดี พยักหน้ารับคำ หลินเมิ้งหยาแอบอยู่ที่มุมด้านในสุด ก่อนจะอ่านข้อความในกระดาษ
สีหน้าพลันเคร่งขรึมลง ประโยคที่ซ่างกวนฮุ่ยเขียนก็คือ
“ดั่งนกที่ถูกขังกรง”
ซ่างกวนฮุ่ยจะต้องไม่เขียนประโยคนี้มาโดยไร้ความหมายอย่างแน่นอน
นก? หรือว่า…
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน ไม่หรอก แม้ฮองเฮาจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่นางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นหรอก ยกเว้นนางจะมั่นใจว่าไม่มีทางที่ใครจะรู้เรื่องนี้
“ป๋ายจี ตอนที่พวกเราออกมา พระสนมเต๋อเฟยมีความผิดปกติอันใดหรือไม่?”
ป๋ายจีก้มหน้าอ่านกระดาษ แต่นางตีความหมายไม่ออก
เมื่อได้ยินคำถามของนายหญิง นางจึงส่ายหน้า
“ตอนที่พวกเราออกมา ข้าส่งคนไปเชิญเหนียงเหนียง แต่เหนียงเหนียงรับสั่งว่าไม่สบาย ฉะนั้นจึงไม่เสด็จมาร่วมงานเจ้าค่ะ
พระสนมเต๋อเฟยมิได้ออกจากจวนอวี้ เช่นนั้นใครกันเล่าที่อยู่ในมือของฮองเฮา?
หลังจากหลินเมิ้งหยาเผากระดาษแผ่นนั้นแล้ว นางจึงกลับไปยังตำหนักฉงชิ่งด้วยความสงสัย
ได้ยินมาว่าช่วงนี้ซ่างกวนฮุ่ยได้ถวายงานรับใช้ฮองเฮาอย่างใกล้ชิด หากดูจากอุปนิสัยใจคอของนางแล้ว นางจะต้องพบเบาะแสที่มิเป็นการดีกับตนเองอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางคงไม่ส่งสารให้นางกลางงานเลี้ยงเช่นนี้
ตกลงใครกันนะที่ถูกฮองเฮาขังเอาไว้
เดินกลับมายังที่นั่งของคนเอง ฮองเฮาและไท่จื่อเสด็จมาถึงตำหนักฉงชิ่งแล้ว
ฮองเฮาสวมใส่ชุดผ้าไหมประดับลายร้อยวิหคท่วงท่าสง่างาม ศีรษะประดับรัดเกล้าสีทอง ราวกับว่าหญิงสาวที่อยู่ในวังหลวงไม่มีใครโดดเด่นเทียบเท่านางได้
หลินเมิ้งหยาเพ่งพิศก่อนจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดซ่างกวนฉิงจึงเป็นได้เพียงฮูหยินของแม่ทัพ
คนบางคนมีใบหน้างดงามชวนมอง ดั่งเช่นพระสนมเต๋อเฟย องค์หญิงหมิงเยว่ พวกนางมีหน้าตาสวยงามให้ทุกคนจดจำ
แต่คนบางประเภทไม่เพียงแค่มีใบหน้างดงาม แต่ยังมีท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขามอีกด้วย
โดยเฉพาะฮองเฮา ยามที่นางปรากฏตัวจะไม่มีใครเทียบรัศมีของนางได้
ขณะนี้ดวงตาคมกริบดั่งหงส์หาได้เจือไว้ซึ่งความโหดเหี้ยมอำมหิต แต่นางกลับส่งยิ้มให้แก่เหล่าญาติพี่น้อง
“ไม่ได้เจอกันเพียงหนึ่งปี ฮองเฮาเหนียงเหนียงงามสง่ามากขึ้นเหลือเกินเพคะ”
คนที่พูดคือพระชายาของอ๋องจวิ้น หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง ก่อนจะรู้ได้ทันทีว่านางเป็นคนช่างประจบสอพลอ
สายตาพลันหยุดอยู่ที่ร่างของหลงเทียนอวี้ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
วันนี้เขายังคงหล่อเหลาสง่างาม เพียงแค่…หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าวันนี้เขาเคร่งขรึมผิดปกติ
เขาไม่เหมือนเดิม
“ชายาอวี้?”
ขณะที่คิดจะชักสายตากลับ นางพลันได้ยินเสียงเรียกของฮองเฮา ดึงสติกลับมา ก่อนจะพบว่าสายตาของทุกคนมองทางนางด้วยความประหลาดใจ
ป๋ายจีกำลังกระตุกแขนเสื้อของนาง หลินเมิ้งหยารีบลุกขึ้น หยักยิ้มเชิงขอโทษ ก่อนจะเอ่ย
“หมู่โฮ่วได้โปรดลงโทษด้วยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”
ในฐานะลูกสะใภ้ นางจำเป็นต้องมีความเพียบพร้อมอยู่เสมอ
โดยเฉพาะนางที่ต้องอยู่ในฐานะชายาอวี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา นางจำเป็นต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว โชคดีที่วันนี้ฮองเฮาอารมณ์ดี ดังนั้นจึงมิได้ติดใจอะไร
กลับกัน นางกวักมือเรียกตนเอง
“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาร่วมงานนี้ คงจะยังไม่คุ้นชิน มานี่เถิด มานั่งข้างเปิ่นกง ทุกคนจะได้เห็นใบหน้าอันงดงามของชายาอวี้”
แม้นางกับหลงเทียนอวี้จะมิลงรอยกัน แต่ถึงกระนั้นนางก็ได้ชื่อว่าแม่ อย่างน้อยนางต้องไว้หน้าสามีและแสดงออกถึงความรักอย่างเท่าเทียมกัน
หลินเมิ้งหยารีบก้มหน้าลงแล้วเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮองเฮา ในเวลานี้สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องมองทางนาง
“แต่ก่อนเปิ่นกงเห็นเด็กคนนี้เป็นเสมือนหลานสาวคนหนึ่ง แต่วันนี้นางได้อภิเษกกับอวี้เอ๋อร์แล้ว แต่อวี้เอ๋อร์เป็นคนเงียบขรึม เกรงว่าเจ้าจะต้องเหนื่อยกับการรับมือเขามากใช่หรือไม่ เปิ่นกงมีเหรียญหยกลายหลวนเฟิงและหมิงอวี้ต้องการจะมอบให้เจ้าเป็นรางวัล”
ฮองเฮายกมือขึ้นตบหลังมือนางเบาๆ ความเย็นยะเยือกส่งออกมาจากการสัมผัส หลินเมิ้งหยารู้สึกจิตใจว้าวุ่น
“เพคะ ขอบพระทัยหมู่โฮ่ว”
คุกเข่าลง ก่อนจะรับของจากขันทีประจำตัวฮองเฮา
“เอาล่ะ วันนี้ล้วนมีแต่ญาติพี่น้องของเราทั้งหมด เจ้าอย่าได้มากพิธีไปเลย เจ้าออกไปก่อนเถิด”
ฮองเฮายังคงแย้มยิ้มขณะจ้องมองนาง
หลินเมิ้งหยารีบถวายคำนับ ดวงตาเผยให้เห็นร่องรอยของความตกตะลึง เหตุเพราะระบบเซินหนงร้องบอกนางว่าของที่อยู่ภายในมีส่วนประกอบของเลือด
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีส่วนผสมของยาพิษซึ่งอยู่ภายในร่างกายของพระสนมเต๋อเฟยอีกด้วย
เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง โชคดีที่ฮองเฮากำลังประกาศแนะนำหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์อีกสองสามคน ดังนั้นนางจึงมิได้หันมามองตนเอง
แง้มกล่องออกดู แม้ด้วยความมืดจึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ไม่ชัดเจน แต่หลินเมิ้งหยาเห็นมุมหนึ่งของผ้าที่โผล่ออกมา
บนผ้าปักคำว่า “เจียง” เอาไว้
รีบปิดกล่องในมือลงแล้วส่งให้ป๋ายจี หลินเมิ้งหยารู้ดีว่านั่นหมายถึงอะไร
ที่แท้พระสนมเต๋อเฟยก็อยู่ในเงื้อมมือของฮองเฮา แต่เพราะเหตุใดนางจึงเปิดเผยไพ่ตายใบนี้ให้นางรู้?
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปอย่างปกติ นักเต้นระบำของเป่ยโหลวได้รับคำชมมากมาย
เป่ยโหลว? พระสนมเต๋อเฟย? กระดาษ? สมองของหลินเมิ้งหยากำลังประมวลผลซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งนางได้เห็นหลงเทียนอวี้ ความคิดบางอย่างจึงผุดขึ้นมา
“พวกเจ้าจงรอข้าอยู่ที่นี่ หากข้าไม่สั่ง ห้ามใครออกจากห้องนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าใครมาตามพวกเจ้าไปไหนก็ห้ามไป หากมีคนบังคับพวกเจ้า ข้าอนุญาตให้ป๋ายซูลงมือได้ทันที ข้าจะออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยว ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงแค่ไปหาท่านอ๋อง”
เอ่ยกำชับสาวใช้ทั้งสี่ หลินเมิ้งหยารีบเดินออกจากตำหนักฉงชิ่งเพื่อตามหาหลงเทียนอวี้
หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะไม่เป็นไปตามที่นางคาดเดา เพราะหากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยจะต้องตกอยู่ในอันตราย
ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง กวาดสายตา ก่อนจะพบหลงเทียนอวี้ที่มุมหนึ่งของประตู
บริเวณรอบๆ ไม่มีผู้ใด หลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจ แต่นางกลับเดินตามเขาไป
ทว่าจู่ๆ เงาดำร่างหนึ่งที่คุ้นเคยกลับเข้ามาขวางทางนางเอาไว้