เล่มที่ 10 บทที่ 293 โน้มน้าว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะพระชายา”

เย่เข้ามาขวางหน้าหลินเมิ้งหยาเอาไว้

“ทำไม? เจ้ากับหลงเทียนอวี้วางแผนอะไรเอาไว้?”

หลินเมิ้งหยาร้อนใจราวถูกไฟแผดเผา ฮองเฮากล้าเผยไพ่ตายให้นางเห็น นั่นหาใช่การข่มขู่นาง แต่เป็นการบ่งบอกว่าแผนการบางอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ตอนนี้หลงเทียนอวี้สั่งให้เย่ขวางทางนางเอาไว้ นี่คือคำอธิบายทุกอย่าง

“พระชายา ได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย”

ภารกิจในค่ำคืนนี้เป็นความลับสุดยอด แม้แต่หัวหน้าบางคนเองก็ไม่รู้เรื่อง ท่านอ๋องรับสั่งว่าจะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมิอาจปล่อยพระชายาไปได้เช่นกัน

“หลบไป ข้าจะต้องพบหลงเทียนอวี้ ไม่ว่าพวกเจ้ากำลังจะทำอะไร จงหยุดเดี๋ยวนี้!”

ตอนนี้หลินเมิ้งหยามั่นใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ในกำมือของฮองเฮาคือพระสนมเต๋อเฟยตัวจริง! สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นหลักฐานในการยืนยันได้

อุปนิสัยของพระสนมเต๋อเฟยเปลี่ยนไป มิใช่เพราะจู่ๆ ทัศนคติของนางก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน แต่เพราะนางถูกสวมรอยแทน

มันเริ่มตั้งแต่พระสนมคนก่อน แม่ของพี่เยว่ถิง จนกระทั่งพระสนมเต๋อเฟย การสวมรอยแทนถูกสร้างขึ้นมาโดยคนที่มีความชำนาญการ

แต่ทำไมฮองเฮาจะต้องทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ด้วย? หลินเมิ้งหยาอยากหาคำตอบ แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสม

“ข้าบอกให้เจ้าหลบไป! เย่ หากวันนี้หลงเทียนอวี้ทำอะไรลงไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นพระสนม….เขาจะต้องเสียใจ!”

นางเกือบหลุดพูดเรื่องพระสนมเต๋อเฟยออกมา

หลินเมิ้งหยาเพิ่งตั้งสติได้ว่า สาเหตุที่ฮองเฮาส่งสารมาเตือนนาง เห็นได้ชัดว่าฮองเฮามิอยากให้หลงเทียนอวี้รู้เรื่องนี้

หากหลงเทียนอวี้รู้ว่าฮองเฮาทำร้ายพระสนมเต๋อเฟยแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขาไม่มีทางทนได้

ชีวิตของพระสนมเต๋อเฟยตกอยู่ในอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจในวังหลวงยังอยู่ในเงื้อมมือของฮองเฮา

เมื่อคิดได้ดังนี้ นางทำได้เพียงกลืนเรื่องนี้ลงคอ

“เย่ ข้าขอร้องเจ้า ให้ข้าได้พบกับเขา หากเขาทำอะไรลงไป เขาจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาจับแขนเย่ ส่งสายตาวิงวอน

“ขออภัย”

เย่ดึงแขนของตัวเองกลับมา ก่อนจะชักดาบขึ้น

ท่านอ๋องวางแผนสำหรับภารกิจในคราวนี้มานานมาก ไม่ว่าใครก็มิอาจทำลายแผนการนี้ได้

“ไม่ คนที่ต้องขอโทษคือข้า”

หลินเมิ้งหยาขยับเท้าไปด้านหลัง ส่งสายตาเชิงขอโทษให้กับเย่ เย่มองนางด้วยความสงสัย จู่ๆ เขาก็รู้สึกชาที่แขน

เวลาเพียงครู่เดียว เขากลายเป็นอัมพาตครึ่งซีก

“เจ้า…”

เป็นครั้งแรกที่เย่มองนางด้วยความโกรธเกรี้ยว

ทว่าหลินเมิ้งหยาทำได้เพียงหยิบขวดหยกดำออกมา ก่อนจะใส่ยาเข้าไปในปากของเขา

“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ยานี้จะทำให้เจ้าเป็นอัมพาตเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ข้าไม่มีวันปล่อยให้หลงเทียนอวี้ทำเรื่องที่เขาต้องนึกเสียใจภายหลัง ขอโทษเจ้าด้วย”

หลินเมิ้งหยาพยุงร่างเย่ไปไว้ที่มุมหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครเห็น นางจึงเดินเข้าประตูไป

เวลาเพียงครู่เดียว แต่ภายในไม่มีใครแล้ว

นางกวาดสายตามอง แต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆ หัวใจสั่นสะท้าน หรือนางจะมาช้าไป?

“ใคร?”

เสียงเย็นชาของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของนาง จากนั้นดาบยาวเล่มหนึ่งยื่นมาจ่อคอของนางเอาไว้

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นลูกน้องของหลงเทียนอวี้ ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา คืนนี้ไม่ว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไรจงหยุดมันซะ มิเช่นนั้นเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”

เมื่อคนที่อยู่ทางด้านหลังได้ยินชื่อของหลงเทียนอวี้ ปลายดาบจึงออกห่างจากคอนางเล็กน้อย

“ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น ข้าคือชายาอวี้ ชีวิตของข้ากับเขาถูกผูกมัดไว้ด้วยกัน หากเขารุ่งเรือง ข้าเองก็จะรุ่งโรจน์ แต่ถ้าหากเขาตกต่ำ ชีวิตของข้าเองก็คงตกต่ำเช่นเดียวกับเขา ฉะนั้นได้โปรดเชื่อคำพูดของข้า”

ชายาอวี้ แน่นอนว่าชื่อนี้ย่อมมีน้ำหนักมากพอ

เลื่อนดาบออกจากคอของหลินเมิ้งหยา แต่เมื่อนางหันหน้ากลับไป นางกลับได้เห็นสายตาสับสนของหลงเทียนอวี้

ข้างกายเขาคือหญิงสาวสวมชุดดำปิดบังใบหน้า

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

หลงเทียนอวี้สวมใส่ชุดเกราะรัดกุม ท่าทางเคร่งขรึมแฝงไว้ซึ่งความอาฆาต หลินเมิ้งหยาตื่นตระหนก นี่เขากำลังจะออกรบอย่างนั้นหรือ?

“รีบหยุดเดี๋ยวนี้ หลงเทียนอวี้ ไม่ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร ตอนนี้ล้มเลิกมันซะ เจ้าจะเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาทั้งกระวนกระวายทั้งร้อนรน เหตุใดหลงเทียนอวี้จึงไม่คิดปรึกษานางเรื่องนี้? หากหลงเทียนอวี้ทำอะไรลงไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นพระสนมเต๋อเฟยเล่า?

“กลับไป ที่นี่หาใช่สถานที่ที่เจ้าสมควรมาไม่ ข้าไม่ได้ขาดเขลาขนาดที่จะวางแผนไม่รอบคอบ สิ่งที่ข้าต้องการคือช่วยเสด็จพ่อออกมาเพียงเท่านั้น”

ช่วยฮ่องเต้? หรือที่หลงเทียนอวี้ยอมเสี่ยงอันตรายก็เพราะต้องการจะช่วยฮ่องเต้ออกจากตำหนักชิงกง?

“ข้าไม่คิดคัดค้านเรื่องที่เจ้าต้องการจะช่วยฮ่องเต้ แต่ว่า…เจ้าต้องรอจนกว่าข้าจะเข้าไปในวังหลวงก่อน หากเจ้าลงมือในตอนนี้ก็มิต่างอันใดจากเจ้าก่อกบฏ เจ้ารู้หรือไม่ว่าฮองเฮาและไท่จื่อรู้เรื่องภารกิจของเจ้าแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะเหวี่ยงแหรอและปล่อยให้เจ้าติดกับดัก!”

หลินเมิ้งหยารีบอธิบายเพื่อหยุดการกระทำของหลงเทียนอวี้ วังหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของฮองเฮา แม้หลงเทียนอวี้จะมีคนสอดแนมอยู่ภายใน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชนะ

หากถูกฮองเฮาจับได้ เช่นนั้นเขาคงมิอาจเอาตัวรอด

“พวกเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

หลงเทียนอวี้จ้องมองด้วยความสงสัย เขาวางแผนคราวนี้ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน ส่วนเรื่องส่งหลินเมิ้งหยาเข้าวังเป็นเพียงแผนสำรองเท่านั้น

“เรื่องนี้เจ้าต้องถามลูกน้องของเจ้าเองว่าเพราะเหตุใดความลับจึงรั่วไหลออกไป ข้าเพียงแต่บังเอิญเห็นความผิดปกติของฮองเฮา หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าเองก็จนปัญญา”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาไม่อาจพูดอะไรได้มากมายนัก นางทำได้เพียงพยายามโน้มน้าวเขา แต่โชคดีที่นางรู้ว่าหลงเทียนอวี้เป็นคนรอบคอบ

หากเขาไม่แน่ใจ เขาไม่มีทางลงมือทำอย่างแน่นอน

“เจ้าจงไปบอกทุกคนให้ล้มเลิกภารกิจ”

หลงเทียนอวี้หมุนตัวไปออกคำสั่งกับหญิงสาวชุดดำ

หญิงสาวชุดดำพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหายไปในความมืด

มองตามแผ่นหลังของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกทำอะไรไม่ถูก นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น นางก็มิได้พูดคุยกับเขาอีก

ควรพูดอะไร ควรพูดอะไรออกมาดี นางรู้ราวกับหินก้อนใหญ่หล่นทับอยู่บนลำคอ

“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

ผลปรากฏว่าเขาหันมาถามเรื่องนี้

หลินเมิ้งหยากำมือแน่น ก่อนจะหาข้ออ้าง

“ข้า…ตอนที่ข้าออกมา ข้าเห็นพวกทหารของวังหลวงเข้มงวดผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น…ทั้งที่วังหลวงเต็มไปด้วยแสงไฟ แต่ตำหนักชิงกงของฮ่องเต้กลับมืดสนิท ข้าเลยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

หลินเมิ้งหยาพยายามหาข้ออ้าง ก้มหน้าลง สายตาล่อกแล่ก นางไม่ทันสังเกตเลยว่าชายตรงหน้าหมุนตัวกลับมาจ้องนางตั้งแต่ตอนไหน

“ข้ารู้เรื่องนี้ดี ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าฮองเฮารู้แผนการของข้า หากเจ้ามีเพียงเหตุผลแค่นี้ นั่นเท่ากับทั้งหมดเป็นเพียงการเดาของเจ้า”

แย่แล้ว หลินเมิ้งหยาตื่นตระหนก นางไม่กล้าเงยหน้า ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องปิดบังความลับนี้เอาไว้

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“ข้ามีเหตุผลของข้า ก็เหมือนที่เจ้ามีความลับของเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่จริงใจกับข้าก่อน ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยทุกอย่างกับเจ้า พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ จะเชื่อหรือไม่สุดแล้วแต่เจ้า”

ชักสายตากลับ ดวงตาเจือไว้ซึ่งความเศร้าหมอง หลงเทียนอวี้ถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหยุดตรงหน้านาง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าทำสำเร็จ เจ้าจะไม่ต้องเข้าวังไปเผชิญหน้ากับฮองเฮาและไท่จื่อ”

เอ๋? หัวใจของหลินเมิ้งหยาเต็มไปด้วยความสงสัย

กระพริบตาปริบๆ ตอนแรกนางคิดว่าหลงเทียนอวี้จะพุ่งตัวเข้ามาแล้วส่งเสียงเข้มเค้นถามนาง จากนั้นพวกเขาทั้งคู่จะเริ่มทะเลาะกันเสียอีก

แต่หลงเทียนอวี้กลับส่งเสียงอ่อนโยนพูดคุยกับนาง

“ยังไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ? วังหลวงอันตรายมากมายนัก หากข้าช่วยเสด็จพ่อออกมาได้ เจ้าจะไม่ต้องเข้าไปในวังหลวงเพื่อรักษาอาการของเสด็จพ่อ ทั้งเสด็จพ่อและเจ้าจะไม่ต้องตกอยู่ในอันตราย”

จ้องดวงตาสีดำขลับของเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนได้ขนาดนี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนเด็กกระทำความผิด ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ถูก

“ข้า…แต่ว่า วันนี้เจ้าห้ามทำอะไรเด็ดขาด ฮองเฮามิได้จัดการง่ายๆ อย่างที่เจ้าคิด เพียงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้ารู้แล้วว่าตัวเองจำเป็นต้องเข้าวัง แม้เจ้าจะไม่ให้ข้าไป แต่ข้าเชื่อว่าฮองเฮาจะต้องไม่ปล่อยข้าไว้อย่างแน่นอน”

ความลับนี้เปรียบเสมือนลูกศรที่ฮองเฮามีไว้ใช้ปกป้องตนเองและปล่อยมันพุ่งเข้ามาสังหารนางในเวลาเดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าฮองเอาไม่อยากให้หลงเทียนอวี้ลงมือทำอะไร หรืออาจพูดได้ว่ายังไม่ถึงเวลานั้น ฉะนั้นนางจึงใช้พระสนมเต๋อเฟยมาข่มขู่นาง

แต่เมื่อเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงนี้ผ่านไป เช่นนั้นคนที่รู้ความลับเรื่องนี้มีจุดจบเพียงแค่สองทาง

ทางแรกคือถูกฮองเฮาควบคุมเพื่อเอาไว้ใช้งาน อีกทางคือกำจัดทิ้ง ฉะนั้นนางที่ถูกเหล่าขุนนางเสนอชื่อให้เข้าวังหลวงจำเป็นต้องเข้าไปในนั้น

“ข้ารู้ว่าฮองเฮาไม่มีทางปล่อยเจ้าไป แต่ข้าส่งคนไปหาหมอเทวดามาแล้ว บางทีพวกเขาอาจเข้าไปในวังหลวงแทนเจ้าได้”

หัวใจรู้สึกอบอุ่น

ที่แท้เขาอุตส่าห์ไปหาข้อมูลที่กลุ่มสามสหายก็เพื่อนาง

“ไม่จำเป็น สถานะของข้าค่อนข้างพิเศษ หากฮองเฮาคิดจะกำจัดข้า เช่นนั้นนางจะต้องมีเหตุผลมากพอ ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านอ๋องฉงซานไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน เจ้าลองตรองดูเถิด แม้ฮองเฮาจะเก่งกาจ แต่นางมิอาจต่อต้านคนจำนวนมากได้ เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด หากฮองเฮาคิดตอบโต้ขึ้นมา เกรงว่าเจ้าจะตกเป็นเป้าเอาได้”