ตอนที่ 130 ฆ่าตัวตายไม่ช้าก็เร็ว
ผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูให้กำเนิดหยุนชิ่วเอ๋อเมื่อพวกเขาอายุสี่สิบปีแล้ว และตลอดระยะเวลาที่หยุนชิ่วเอ๋อเติบใหญ่ไม่เคยมีสักครั้งที่พวกเขาจะลงไม้ลงมือกับนาง
ดังนั้นการตบหน้าครั้งนี้จึงสร้างความตกตะลึงในหัวใจของหยุนชิ่วเอ๋อเป็นที่ยิ่ง!
หยุนชิ่วเอ๋อรีบยกฝ่ามือขึ้นป้องปากที่อ้ากว้างด้วยความตระหนก ดวงตาจับจ้องไปที่ผู้เฒ่าหยุนอย่างอยากไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง กระทั่งรู้สึกถึงอาการชาวาบบนพวงแก้มจึงได้แต่อุทานออกเสียงพร่า “โอ้…”
ความอัปยศทั้งมวลประดังประเดเข้ามาในชีวิตของหยุนชิ่วเอ๋ออย่างไม่หยุดพักตลอดทั้งวัน ครั้นทบทวนทุกอย่างแล้วหยดน้ำใสจึงไหลรินจากดวงตาราวทำนบกั้นน้ำแตกออก
“เป็นความผิดของพ่อคนนี้เอง! เจ้ามีนิสัยอัปลักษณ์เช่นนี้มาตั้งแต่ยังเยาว์ ผิดที่ข้าซึ่งไม่อบรมเจ้าให้ดีแต่ต้น” ผู้เฒ่าหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับโทสะที่เกิดขึ้นชั่ววูบ ใบหน้าหมองหม่นลงทุกขณะ “ไตร่ตรองให้ดีว่าสมควรแล้วหรือไม่?”
กล่าวจบแล้วผู้เฒ่าหยุนจึงหมุนกายกลับก่อนกระแทกฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง ประตูห้องถูกปิดโดยแรงจนเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณบ้าน
“กรี๊ด! กรี๊ด…” หยุนชิ่วเอ๋อนอนดิ้นพราด ๆ ราวคนเสียสติอยู่ตรงจุดเดิมพร้อมแผดเสียงกรีดร้องอย่างไม่นึกเหนื่อยล้า อารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าและจมปลักลงทุกขณะ
ความจริงแล้วผู้เฒ่าหยุนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายร่างกายหยุนชิ่วเอ๋อ ทว่าอารมณ์ชั่ววูบซึ่งพุ่งทะยานสุดจะทานทนทำให้เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้จึงฟาดฝ่ามือลงหวังสั่งสอนหยุนชิ่วเอ๋อให้ระงับนิสัยก้าวร้าวเสียที เวลานี้ผู้เฒ่าหยุนทำสิ่งใดไม่ถูกนอกจากเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
แม่นางจ้าวยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ภายในห้อง แม้หยุนลี่จงไม่คิดถือสาเอาความหยุนชิ่วเอ๋อ ทว่าความขัดแย้งภายในครอบครัวกลับไม่คลายลง เสียงร้องไห้ดังระงมลั่นสร้างความอับอายขายหน้าอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่
เห็นทีผู้เฒ่าหยุนคงต้องหารือกับหยุนลี่จงโดยเร็วที่สุดเพื่อยุติทุกสิ่งอย่าง!
ต่อให้เป็นใหญ่ในตระกูลเพียงใดก็ไม่ควรเอาความคนในครอบครัวตนเอง!
“เฮ้อ…” ผู้เฒ่าหยุนครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจ
“โธ่ ชิ่วเอ๋อ… ลูกสาวผู้น่าสงสารของแม่…” แม่เฒ่าจูไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใด ทั้งยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะตำหนิผู้เป็นสามีที่เผลอพลั้งใช้กำลัง จึงทำเพียงโคลงศีรษะพร้อมถอนหายใจออกอย่างไร้หนทาง
“น่าสงสารอย่างไรกัน? นางควรตระหนักถึงนิสัยเลวร้ายของตนได้แล้ว หนำซ้ำเรื่องราวหายนะที่เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นเพราะนางที่ก่อเรื่องมิใช่หรือ?!”
“ท่านจะตำหนิชิ่วเอ๋อเช่นนั้นได้อย่างไร? ผู้ใดจะคาดคิดว่าสะใภ้ใหญ่ของพวกเราจะมีอาการแทรกซ้อนสาหัสถึงเพียงนี้? นางสูงส่งถึงขันแตะต้องไม่ได้เลยเชียวรึ?!” แม่เฒ่าจูเพิกเฉยต่ออธรรมและเอาแต่เข้าข้างหยุนชิ่วเอ๋ออย่างไม่ลืมหูลืมตา
“นี่! เจ้า…” ผู้เฒ่าหยุนปริปากเพียงเท่านั้นก่อนกลืนคำพูดอื่นลงคอไปด้วยคร้านต่อความยาวกับแม่เฒ่าจู เขาทำเพียงเดินเลี่ยงไปนั่งอยู่ปลายเตียงพลางเผยสีหน้าบูดบึ้ง
“ชิ่วเอ๋อเป็นดั่งแก้วตาดวงใจในชีวิตข้า อนิจจา… โชคชะตาช่างไม่เป็นใจให้นางแม้เพียงนิด เมื่อเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้วจะเป็นที่ต้องตาต้องใจเหล่าตระกูลใหญ่ได้อย่างไร? ชิ่วเอ๋อของแม่ช่างอาภัพนัก…”
หากข่าวลือหนาหูแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างคงไม่อาจเสาะหาฮูหยินใหญ่จากตระกูลมั่งคั่งมาดูตัวเพื่อเจรจาสู่ขอต่อไป หัวใจของแม่เฒ่าจูอัดอั้นไปด้วยความผิดหวัง นางใคร่เดินไปยังห้องปีกตะวันตกเพื่อบีบคอแม่นางจ้าวให้ตายตกไปด้วยมือตนเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
แม่นางเหลียนยกจานอาหารลงวางบนโต๊ะตัวเล็กก่อนก้มลงกระซิบข้างหูหยุนเชวี่ย “เชวี่ยเอ๋อ ไปเรียกอาของเจ้ามากินอะไรเสียหน่อยเป็นไร นางเอาแต่นั่งจับเจ่าอยู่อย่างนั้นมาตลอดทั้งวัน น่าเวทนายิ่ง…”
หยุนเชวี่ยกลอกตา “ข้าไม่ไปเด็ดขาด แม้แต่ท่านปู่และท่านย่ายังไม่มีแก่ใจจะเหลียวแลนาง ยิ่งเห็นว่าเป็นข้าที่เข้าไปร้องเรียกเห็นทีนางคงบ้าดีเดือดขึ้นมาอีกระลอกเป็นแน่”
“เจ้าเป็นเพียงเด็กหญิงซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเรื่องทั้งมวล แม่เชื่อว่าหากเป็นเจ้า นางคงยินยอมแต่โดยดี” แม่นางเหลียนเห็นหยุนชิ่วเอ๋อนั่งนิ่งอยู่จุดเดิมมาพักใหญ่แล้ว ทุกคนในบ้านไม่คิดสนใจถามไถ่แม้แต่ผู้เดียว คงมีแต่ตนที่นึกเป็นห่วงเป็นใยตามประสาคนร่วมตระกูล
“เพราะข้าเป็นเด็กหญิงเนี่ยนะ?” หยุนเชวี่ยพึมพำ
เดิมทีหยุนเชวี่ยเองก็เคยมีประเด็นขัดแย้งกับหยุนชิ่วเอ๋อมาก่อนแล้ว ทว่าครั้งนี้หยุนเชวี่ยไม่มีข้ออ้างอื่นใดนอกจากยอมทำตามคำสั่งของมารดาแต่โดยดี
“แต่หากเจ้าไม่สะดวกใจก็ช่างเถิด แม่จะลองเข้าไปเกลี้ยกล่อมนางดู” แม่นางเหลียนพอมองกริยาอาการของหยุนเชวี่ยออก นางกระตุกสายผ้ากันเปื้อนออกและเช็ดมือ
“ท่านแม่… ท่านยิ่งไม่ควรเข้าหานางยิ่งกว่าเสียอีก!” หยุนเชวี่ยรีบโผเข้ากอดเอวแม่นางเหลียนทันที “เอาเถิด ข้าไปเองก็ได้ แต่หากนางไล่ตะเพิดออกมาข้าก็จะไม่พยายามเป็นหนที่สองอีก”
“ลูกสาวของข้าช่างว่าง่าย เย็นนี้แม่จะปรุงอาหารอร่อยไว้สำหรับเจ้า”
หยุนเชวี่ยเพียงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก เพราะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรใช้คำพูดเชิญชวนอีกฝ่ายอย่างไร? ควรใช้น้ำเสียงนุ่มนวลประมาณใด? หรือปั้นหน้าเสแสร้งตามน้ำไปก่อน? ความสามารถด้านการตบตาคนนั้นด้อยกว่าทักษะอื่น หากขึ้นแสดงละครบนเวทีงานใหญ่อาจล่มตั้งแต่เพลงโหมโรงยังไม่ทันจบ
“อาชิ่วเอ๋อ…” หยุนเชวี่ยเดินเข้าไปใกล้หยุนชิ่วเอ๋อก่อนยกฝ่ามือขึ้นถูกันอย่างไร้อารมณ์ “ท่านแม่ของข้าเตรียมอาหารไว้สำหรับท่านพร้อมแล้ว ลุกขึ้นมากินรองท้องหน่อยเถิด”
หยุนชิ่วเอ๋อชื่นชอบการที่มีคนคอยดูแลเอาใจใส่
ทุกคนล้วนให้ท้ายหยุนชิ่วเอ๋อมาโดยตลอด ครั้นถูกตามใจจนเคยตัวจึงไม่แปลกที่จะเสียผู้เสียคน หากมีผู้ใดขัดใจแม้เพียงนิดก็ไม่พ้นถูกหยุนชิ่วเอ๋อชักสีหน้าหรือด่าทออย่างเกรี้ยวกราด
หยุนชิ่วเอ๋อถ่ายทอดนิสัยทั้งมวลมาจากแม่เฒ่าจูไม่ผิดแม้แต่กระเบียดนิ้ว เห็นทีชีวิตนี้พวกนางคงไม่เคยสุขสำราญเลยสักครั้ง
“อย่าได้เสแสร้งว่าตนเป็นคนดีต่อหน้าข้า! นังเด็กสารเลว! คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าลอบสมน้ำหน้าข้าเพียงไร? หึ! ต่อให้ข้าต้องอดตายก็ไม่มีวันกินอาหารหมูจากมือพวกเจ้า!” หยุนชิ่วเอ๋อยกมือขึ้นฟาดหลังมือของหยุนเชวี่ยซึ่งยื่นออกไปตรงหน้า แม้ไม่คลายความเศร้าโศกแต่ปากยังไม่วายก่นด่าทุกคนที่เข้าใกล้
“ข้าเพียงมาถามไถ่เท่านั้น หากไม่ต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้วเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยทำตามที่ตนพูดในตอนแรกว่าจะไม่เกลี้ยกล่อมเป็นหนที่สอง ดังนั้นจึงหมุนกายเตรียมเดินจากไป
“นังเด็กโง่! แกจงใจมาเย้ยหยันข้า! กล้าดีอย่างไรจึงคิดรังแกข้าเช่นนี้?! กรี๊ด… นังเชวี่ยเอ๋อยั่วยุโทสะข้า! ครอบครัวของมันจ้องทำลายชีวิตข้า…”
หยุนชิ่วเอ๋อแผดเสียงร้องราวคนเสียสติอีกครั้งและเริ่มร้องคร่ำครวญอย่างน่าสมเพช
แม่นางเหลียนซึ่งมองเหตุการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลส่ายศีรษะด้วยความอาทร “เฮ้อ… เหตุใดชิ่วเอ๋อจึงดื้อดึงนัก?”
“ท่านแม่กล่าวถูกต้อง แม้มีเจตนาดีแต่กลับมองข้าม ยิ่งเกลี้ยกล่อมยิ่งถูกกล่าวหาว่าปองร้าย” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างไม่แยแสก่อนเดินนำแม่นางเหลียนกลับมายังบริเวณที่อาศัยของตน “ปล่อยให้นางร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งเป็นสายเลือดต่อไปเถิด พวกเราทานอาหารมื้อเย็นกันดีกว่า”
สถานการณ์ของหยุนชิ่วเอ๋อเรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ช้าก็เร็วนางคงเสียสติจนคิดฆ่าตัวตายเข้าสักวัน
อีกด้านหนึ่ง แม่นางเฉินก็กำลังก่อไฟปรุงอาหารเช่นกัน
ครั้นได้เวลาอาหาร หยุนลี่เซียว หยุนลี่จง ผู้เฒ่าหยุนและคนอื่น ๆ ทยอยเดินเข้าไปยังโต๊ะอาหารกลางห้องโถง ทว่าไม่มีผู้ใดชายตามองไปที่หยุนชิ่วเอ๋อ แม้แต่แม่เฒ่าจูซึ่งโดยปกติแล้วมักออกโรงปกป้องหยุนชิ่วเอ๋อเป็นนิจยังไม่ปรากฏตัว
ไฟจากตะเกียงส่องสว่างไปทั่วห้องโถง นานทีจะได้ยินเสียงสะอื้นแว่วมาให้ได้ยินเพียงครั้งสองครั้ง
หยุนชิ่วเอ๋อร้องไห้ติดต่อกันหลายชั่วยามจนดวงตาแสบล้าเต็มทน ทั้งยังนั่งในท่าเดิมอยู่อย่างนั้นจนแข้งขาเกิดอาการเหน็บชา แม้ตนมีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้กลับไม่มีสายตาคู่ใดเหลียวแล
ต่อมาประมาณครึ่งชั่วยาม แม่นางเฉินจึงยกจานชามที่หลงเหลือเพียงเศษอาหารออกไปด้านนอกเพื่อทำความสะอาด
“ซ่า…” เสียงน้ำสกปรกจากการล้างถ้วยชามในอ่างไม้ถูกเทราดลงบนแปลงผักด้านข้าง
หยุนชิ่วเอ๋อสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์แล้ว นางยอมลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายยังอ่อนระโหยโรยแรงเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้อง จากนั้นจึงเดินกะเผลกช้า ๆ ขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน
ครู่ต่อมาจึงมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาจากประตูบานนั้น
ท้องฟ้ามืดสนิท หยุนลี่เต๋อยังคงเลื่อยไม้ตัดแบ่งเป็นชิ้นส่วนอย่างขะมักเขม้นท่ามกลางแสงจันทร์นวลสว่างที่บริเวณด้านหน้าปีกตะวันตก ลำต้นใหญ่โตถูกเลื่อยออกเป็นแผ่นบางจากตรงกลาง ครั้นเสร็จสรรพจึงใช้ค้อนทุบอีกครั้งให้หน้าไม้เรียบสม่ำเสมอ
หยุนลี่เต๋อไม่อาจทำใจหยุดพักการทำงานแม้เวลาล่วงเข้าสู่ยามราตรี ตลอดทั้งวันเขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าสัตว์สำหรับเป็นอาหารให้คนในครอบครัว ดังนั้นกลางคืนจึงเป็นช่วงที่เหมาะสมในการประกอบโต๊ะอ่านหนังสือให้กับเสี่ยวอู่
หยุนลี่เซียวและแม่นางเฉินผู้เป็นภรรยาออกจากบ้านหลังเสร็จสิ้นมื้อเย็น
ขณะหยุนเชวี่ยมองตามไปจึงเห็นว่าผู้เฒ่าหยุนพยักพเยิดเรียกหยุนลี่จงให้เข้าไปพูดคุยบางเรื่องในห้องส่วนตัวชั้นบน ครั้นชายทั้งสองหายลับเข้าประตูไปแล้วจึงแง้มปิดลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา
ครู่ต่อมานางเห็นหยุนลี่จงยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วจึงเดินออกมาจากห้องพร้อมกับถุงผ้าใบใหญ่ในอ้อมแขน
แม่เฒ่าจูเดินกระย่องกระแย่งตามหลังลูกชายออกมาก่อนหยุดแวะที่ห้องครัวด้านล่าง ก่อนเอื้อมมือไปคว้าหม้อและทัพพีพร้อมด้วยถ้วยชามสองสามอย่างแล้วจึงเดินหายเข้าไปด้านใน
ส่วนผู้เฒ่าหยุนเดินออกมาจากห้องพลางยกมือไพล่หลังอันเป็นท่าประจำ ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าเขาครุ่นคิดเรื่องใดในใจกันแน่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนก้าวลงจากชั้นบนและเดินออกไปยังสนามหญ้าหน้าลานบ้าน
“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อตาไวจึงร้องเรียกพลางวางเลื่อยในมือลง “มืดค่ำเต็มทีแล้ว ท่านจะออกไปไหนรึ?”
“อ้าว… เจ้ารอง กำลังประกอบสิ่งใดอยู่หรือ?” ผู้เฒ่าหยุนหันกลับมาตามเสียงเรียกพลางหรี่ตามองไม้กระดานแผ่นใหญ่ซึ่งพาดอยู่ตรงบริเวณกำแพงก่อนกล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ดีแล้ว ฝีมืองานช่างของเจ้าประณีตนัก”
“ข้าต้องการทำโต๊ะหนังสือขึ้นใหม่” หยุนลี่เต๋อยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก “แต่มันไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อไม้ทั้งต้นนี้หรอกขอรับ ข้าคิดตัดแบ่งสำหรับทำชั้นวางอ่างไม้ล้างหน้าให้ท่านพ่อท่านแม่ จากนี้จะได้ไม่ต้องก้มหน้าต่ำจนหน้ามืด เชวี่ยเอ๋อไปเห็นสิ่งนี้ในเมืองและนำมาบอกกล่าว ข้าจึงเห็นควรว่าเข้าที”
หลังอธิบายจบหยุนลี่เต๋อจึงยกยิ้มอย่างมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“เจ้าช่างมีน้ำใจ” ผู้เฒ่าหยุนพยักหน้า จิตใจเกิดตระหนักว่าหยุนลี่เต๋อมีนิสัยเอื้อเฟื้อต่างไปจากบรรดาพี่น้องคนอื่นโดยสิ้นเชิง ครั้นคิดเช่นนั้นจึงเผยรอยยิ้มอย่างพึงใจ “ข้าคิดจะออกไปเดินเล่นก่อนเข้านอนเสียหน่อย…”
“อ๊ะ! ท่านพ่อโปรดเดินระวังด้วย”