ตอนที่ 131 ข่าวดี!
หลังจากที่หยุนชิ่วเอ๋อถูกผู้เฒ่าหยุนตบหน้าไป วันถัดมานางไม่โผล่หน้ามาพบผู้ใดทั้งสิ้น
ภายในบ้านของแม่เฒ่าจู สองแม่ลูกต่างแผดเสียงใส่กันไปมาทุกสามเวลาหลังอาหาร คนหนึ่งด่าอีกคนร้องไห้
หยุนเชวี่ยไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก เมื่อมีเวลาว่างในตอนเช้านางจึงออกเดินเที่ยวชมหมู่บ้านกับเหอยาโถวอยู่ตลอด หลังจากที่ชมนกชมไม้อยู่พอประมาณ จึงไปนั่งพักที่โรงสีหน้าหมู่บ้าน เพื่อฟังหวังหลี่เจิ้งเล่าเรื่องเหลวไหล
หวังหลี่เจิ้งหรี่ตาลงพลางลูบเคราของเขา “เมื่อคืนก่อน ข้าฝันถึงจักรพรรดิหยก เขาบอกว่าหมู่บ้านไป๋ซีของเรากำลังจะมีผู้สูงศักดิ์!”
“ผู้สูงศักดิ์หรือ? เป็นขุนนางหรือเศรษฐี?” กลุ่มคนที่นั่งฟังถามหวังหลี่เจิ้งอย่างตื่นเต้น
แต่หวังหลี่เจิ้งเพียงทิ้งปริศนาเอาไว้ “ข้าบอกไม่ได้ เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
“ท่านมักจะฝันเช่นนี้เสมอเลยหรืออย่างไร?” ชายร่างใหญ่ถามขึ้นมา
หวังหลี่เจิ้งส่ายหน้าและโบกมือ “ก่อนที่จักรพรรดิหยกจะพูดจบข้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ข้ารีบลุกขึ้นและมองออกหน้าต่างขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเจ้าลองเดาดูสิว่าข้าเห็นสิ่งใด?”
“สิ่งใดล่ะ?” ทุกคนตั้งใจฟังคำตอบ
“เมื่อข้ามองไปบนท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ได้มีเมฆก้อนหนึ่งเรืองแสงสีม่วงขึ้นมา! เมฆสีม่วงทางทิศตะวันออก นี่เป็นเรื่องมงคล!” หวังหลี่เจิ้งยกมือขึ้นและชี้ไปยังภูเขาด้านหลัง
ภูเขาลูกนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านไป๋ซี
“แล้วจักรพรรดิหยกหน้าตาเป็นอย่างไรหรือขอรับ?” เด็กคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัย
หวังหลี่เจิ้งส่ายศีรษะและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาคงมีเครากับคิ้วที่ดกหนาและท่าทางสง่างามแน่นอน!”
“จักรพรรดิหยกกล่าวสิ่งใดเอาไว้?”
“เขาคอยเฝ้ามองพวกเราจากบนท้องฟ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิหยกคอยเฝ้ามองพวกเราด้านบนนั้น ราวกับเป็นพวกเราเป็นเพียงฝูงมด…”
“ท่านไปได้ยินมาจากผู้ใดกันล่ะ?”
“จาก…” หวังหลี่เจิ้งลูบศีรษะของเขาด้วยความประหม่า
ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครง พวกเขาเปิดหัวข้อสนทนาใหม่อีกครั้งและพูดคุยกันจนหมดช่วงบ่าย
ยามเย็นแล้ว หยุนเชวี่ยเดินกลับบ้านพร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ
หยุนซิ่วเอ๋อหยุดร้องไห้ไปนานแล้วแต่แม่เฒ่าจูยังคงด่าทอนางอยู่ แม่เฒ่าจูมักจะดุด่าลูกชายและลูกสะใภ้ รวมถึงลูกหลานของตนอยู่เสมอ แม้กระทั่งคนในหมู่บ้าน แม่เฒ่าจูก็ตามดุด่าไปทั่ว
“ท่านย่าดุด่าแบบนี้อยู่ตลอดบ่ายเลยหรือ?” หยุนเชวี่ยเงี่ยหูฟังพลางหยิบฟืนขึ้นมาและโยนลงไปบนเตาถ่าน
“ใช่…” หยุนเยี่ยนม้วนแขนเสื้อของนางขึ้นและวางแผ่นแป้งข้าวไปบนกระทะเหล็กร้อน
อีกด้านหนึ่ง แม่นางเหลียนกำลังเทยาที่ต้มเสร็จแล้วลงในถ้วยใบเล็กและตะโกนว่า “หยุนเชวี่ย มาเอายาไปให้ท่านป้าของเจ้าที”
“เฮ้อ… ข้ามาแล้ว!” หยุนเชวี่ยเบ้ปากและยืนขึ้น
“ระวังอย่าให้หกล่ะ” แม่นางเหลียนกำชับนางอีกครั้ง
ห้องนอนฝั่งตะวันออก
แม่นางจ้าวไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เมื่อวันก่อนใบหน้าของนางยังพอเห็นสีเลือดอยู่บ้าง แต่วันนี้ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมเขียวแล้ว
หยุนเชวี่ยหยุดมองนางอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดสิ่งใด นางวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับเดินออกไป
“โอ๊ย! ร้อนจะตายอยู่แล้ว!” หยุนเยว่เอื้อมมือหยิบถ้วยยาขึ้นมา แต่มือถูกลวกจึงตะโกนขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
หยุนเชวี่ยกลอกตาไปมา แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใด
“เกิดสิ่งใดขึ้น? ใครเป็นคนยั่วโมโหเจ้าอีกล่ะ? ปากของเจ้าห้อยลงมาจนแทบจะแขวนขวดน้ำมันได้อยู่แล้ว” แม่นางเหลียนเอ่ยถามขึ้นมา เมื่อเห็นนางไม่สบอารมณ์นัก
“หยุนเยว่น่ะสิ พวกเราคอยปรนนิบัตินางอย่างดี แต่นางกลับตะโกนใส่ราวกับข้าติดค้างสิ่งใด!”
“คงเป็นเพราะท่านป้าของเจ้าจึงทำให้เยว่เอ๋อร้อนใจเช่นนั้น” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความโกรธเคือง “เราทุกคนต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องใดก็ควรช่วยเหลือกัน ไม่มีใครติดค้างใคร”
“หยุนเยว่ปฏิบัติต่อข้าและพี่สาวราวกับทาส” หยุนเชวี่ยชำเลืองมองห้องนอนฝั่งตะวันออก “ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของท่านป้า ข้าคงดุด่านางไปแล้ว!”
“เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนฉุนเฉียวขนาดนี้? แค่ยั่วยุเพียงเล็กน้อยก็เดือดดาลทันที ไม่รู้ว่าไปได้นิสัยนี้จากใครมา” แม่นางเหลียนบ่นอุบก่อนจะส่งตะเกียบให้ “รีบทานข้าวเถอะ!”
ในสมัยก่อน หยุนเชวี่ยมักมองว่าเปาจื่อเป็นคนอ่อนโยนมีเมตตาอยู่เสมอ แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันนานไป ทำให้นางเริ่มตั้งคําถามกับตนเองอยู่ในใจ
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่?
ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรคิดมากไป แต่เมื่อครู่กลับเป็นกล่าวโทษว่าข้าเกือบจะเดือดดาลขึ้นมาเพราะคำพูดเหล่านั้น มิใช่ว่านางควรจะระวังคำพูดบ้างหรอกหรือ?
หยุนเชวี่ยกัดแผ่นแป้งข้าวพลางพึมพำว่า “ในชีวิตนี้ยังมีสิ่งสวยงามมากมายนัก ข้าไม่ควรใจร้อนเช่นนี้ ไม่ควรเลย…”
“เจ้าพึมพำสิ่งใดอยู่?” หยุนเยี่ยนสับสน
“ไม่… ข้าไม่ได้พูดสิ่งใดเลย” หยุนเชวี่ยส่ายหน้าและยิ้มเจื่อน ๆ
หยุนเยี่ยนรู้สึกไม่สบอารมณ์และก้มหน้ากลับไปทานอาหารอย่างเงียบเชียบ
เป็นดังคาด หยุนเชวี่ยยิ้มแย้มพร้อมกับขยับร่างเข้าไปใกล้นางและเอาข้อศอกแตะไปที่เอวของนาง “พี่สาว เรื่องที่ท่านแม่ถามไปเมื่อวันก่อน ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง”
“…” หยุนเยี่ยนเม้มปากแน่น
“พี่สาว ท่านลืมไปแล้วหรือ?” หยุนเชวี่ยไม่ยอมปล่อยไปโดยง่ายและจงใจพูดขึ้นว่า “กับพี่ต้าหวังน่ะ… หืม?”
ใบหน้าของหยุนเยี่ยนแดงระเรื่อขึ้นมา
เพราะมีผิวหน้าที่บางทำให้หยุนเยี่ยนมักจะหน้าแดงขึ้นมาด้วยคำพูดหยอกล้อเพียงไม่กี่คำเสมอและในตอนนี้ใบหน้าของนางร้อนผ่าวไปหมด
“ต้าหวังงั้นหรือ… ข้าคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย” หยุนลี่เต๋อยกชามข้าวชมเชยเขา
ปกติแล้ว มารดาและบุตรสาวมักจะปรึกษาเรื่องนี้กันก่อนที่จะบอกให้บิดาฟัง หลังจากนั้นค่อยให้บิดาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นคนตัดสินใจ
บ่ายวานนี้ อู๋ต้าหวังบังเอิญเห็นหยุนลี่เต๋อขึ้นเขาไปตัดต้นไม้ อู๋ต้าหวังจึงตามขึ้นเขาไปช่วยงานอย่างไม่รีรอ
หยุนลี่เต๋อเห็นว่าอู๋ต้าหวังท่าทางกำยำแข็งแรง ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วและไม่พูดพล่ามไร้สาระ เพียงแค่นี้ก็ได้ใจไปเสียแล้ว
หากเด็กคนนี้ต้องการเป็นลูกเขย เขาคงพูดได้คำเดียวว่าตกลง!
“หรือว่าเจ้าไม่เห็นด้วย สองพ่อลูกตระกูลอู๋ผู้นี้ไม่เลวเลยจริง ๆ” เมื่อแม่นางเหลียนพูดถึงเรื่องนี้ก็อดดีใจไม่ได้ จนดวงตาของนางโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
“เมื่อวันก่อน พี่ต้าหวังยังช่วยพวกเราทำงานด้วยล่ะ!” หยุนเชวี่ยดึงชายเสื้อของหยุนเยี่ยนและหยอกล้อนาง “นี่ต้องทําให้พี่สาวของข้าพอใจอย่างแน่นอน”
“ยังมีมากกว่านั้นอีกหรือ” แม่นางเหลียนชำเลืองมอง
หยุนเยี่ยนก้มหน้าลงพร้อมกับบีบแผ่นแป้งข้าวในมือจนแหลกละเอียดและเงียบไปอยู่นาน
“พี่สาว…”
“ข้าจะเชื่อฟังพวกท่าน” หยุนเยี่ยนกลั้นใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา
พอพูดจบ หยุนเยี่ยนแทบอยากจะมุดศีรษะลงในชามข้าวให้รู้แล้วรู้รอดไป
“พี่สาวบอกว่าจะเชื่อฟังพวกท่าน!” หยุนเชวี่ยเข้าใจความหมายของคำพูดนี้
แปลว่าหยุนเยี่ยนก็สนใจอู๋ต้าหวังเช่นกัน!
“ดีมาก ดีมาก พ่อกับแม่จะช่วยเจ้าเอง!” แม่นางเหลียนยิ้มแย้มและตบไหล่ของหยุนลี่เต๋อ
หยุนลี่เต๋อเองก็ยิ้มแย้มเช่นกัน เขาโบกมืออย่างมีความสุขและพูดว่า “หยุนเชวี่ย ไปรินเหล้าให้พ่อหน่อย!”
“เย้!” หยุนเชวี่ยตอบรับอย่างร่าเริง
นี่เป็นงานมงคลครั้งแรกในชีวิต นางจะต้องทำให้ดีที่สุด
ทันใดนั้น ที่ห้องนอนฝั่งตะวันออก…