ตอนที่ 132 ขโมย

แม่นางจ้าวหิวโหยมาสองวันแล้วไม่อาจจะทนกับความหิวได้อีก แม่นางจ้าวลืมตาขึ้นมาพลางส่งเสียงเรียก พอมองไปข้างกายก็ไม่มีแม้แต่เงา ทุกคนไปทานมื้อเย็นที่ห้องโถงใหญ่กันหมดแล้ว

“เจ้าพวกคนไม่มีมโนธรรม!”

แม่นางจ้าวสบถออกมาและพยายามประคองขอบเตียงไว้เพื่อที่จะลุกขึ้นนั่ง แต่แขนกลับอ่อนยวบ ทำให้ล้มลงไปบนเตียงอีกครั้งด้วยความอ่อนแรง

“ถึงตอนนี้ข้าจะยังไม่ตาย แต่อีกไม่นานข้าคงต้องอดตายเป็นแน่ ไอ้พวกครอบครัวเห็นแก่ตัว ถุย!” ยิ่งความหิวโหยของแม่นางจ้าวมากขึ้นเพียงใด ความเกลียดชังยิ่งก่อตัวในใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ทำได้เพียงกัดฟันแน่น “ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ พวกเจ้าอย่าได้หวังว่าจะสมปรารถนา!”

เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แม่นางจ้าวจึงรีบหลับตาลงอีกครั้ง

“แอ๊ด…” ประตูถูกผลักออกและปิดลง

“ข้ามิใช่ใครอื่น เจ้าหยุดเสแสร้งได้แล้ว” หยุนลี่จงเดินเข้ามาและนั่งลงด้วยร่างที่สั่นเทาพลางรินชาอันหอมหวนถ้วยหนึ่ง

“ข้าหิวมาก ท่านรีบไปนำอาหารมาให้ข้าที” แม่นางจ้าวลืมตาขึ้นมา

“พวกเขากินไปหมดแล้ว จะให้ข้าไปเอามาจากที่ใด?” หยุนลี่จงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงอย่างไรเจ้าก็เอาแต่นอนไม่ออกแรง คงอดทนได้อีกสักวันสองวัน”

“ท่านมันแล้งน้ำใจ!” แม่นางจ้าวพยุงร่างขึ้นพิงหัวเตียง ใบหน้าซีดเผือดไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่ได้กินดื่มมาสองวันแล้ว ท่านตั้งใจปล่อยให้ข้าอดตาย จากนั้นค่อยแต่งงานกับนังตัวน้อยอย่างนั้นสิ?”

“ทั้งหมดนี้ก็เป็นเงินมิใช่หรือ? เจ้าจะบอกให้ข้าไปขโมยเงินแทน แล้วท่านพ่อและท่านแม่จะคิดอย่างไร?” หยุนลี่จงส่ายหัวอย่างหงุดหงิดพลางรินชาอีกถ้วยหนึ่งและส่งให้กับแม่นางจ้าว “ดื่มชาถ้วยนี้ก่อนเถอะ”

“ข้าไม่ดื่ม ยิ่งดื่มจะยิ่งหิว” แม่นางจ้าวโกรธเคืองและเบือนหน้าหนี “ท่านก็ไปที่ห้องครัวและนำอาหารมาให้ข้าสักอย่างสิ”

“หากว่าท่านแม่จับได้ล่ะ?”

“ท่านแค่บอกไปว่าสะใภ้สามขโมยไป แม่นางเฉินกินเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ”

หยุนลี่จงลังเลอยู่พักหนึ่ง “ฝันไปเถอะ ข้าเป็นถึงบัณฑิต ไม่คิดทำเรื่องต่ำช้าเยี่ยงโจร เจ้าอดทนไปก่อนแล้วกัน!”

“แต่ท่านปล่อยให้ข้าหิวโหยมาสองวัน ข้าไม่มีแรงจะยืนหรือพูดอีกต่อไปแล้ว” แม่นางจ้าวก้มหน้าลงและปาดน้ำตา “เหตุใดข้าถึงต้องทนทุกข์ทรมาณเช่นนี้? ข้าเห็นแก่อนาคตของท่าน ไยถึงต้องใจร้ายกับข้านัก…”

“จะโอดครวญไปเพื่อสิ่งใด! ข้าเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่คิดฟังข้าและหาเรื่องใส่ตัวเอง!” หยุนลี่จงสะบัดมือและเดินจากไป

แม่นางจ้าวหวังว่าเขาจะนำอาหารมาให้ แต่หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ แม่นางจ้าวทั้งหิวทั้งโกรธและน้อยเนื้อต่ำใจจึงก่นด่าบรรพบุรุษตระกูลหยุนทั้งสิบแปดรุ่นอยู่ในใจ

แม่นางจ้าวนอนอยู่บนเตียงมาสองวันโดยที่ไม่มีใครคิดเหลียวแล หากจะเชิญหมอยามาต้องใช้เงินมากมาย แต่ด้วยความเสียดายเงินจึงไม่ได้ทำการรักษา ซ้ำยังมีเด็กเลวอย่างหยุนชิ่วเอ๋อผู้ที่ไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยและเอาแต่โทษนางว่าโชคร้ายเอง!

ดี… หากว่าพวกเจ้าไร้เมตตาก็อย่าได้โทษข้าที่ไร้เมตตาต่อพวกเจ้าเช่นกัน!

ณ ยามดึกที่เงียบสงัด

แม่นางจ้าวหิวจนนอนไม่หลับ หลังจากพลิกร่างไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมและแอบเข้าไปในครัว แม่นางจ้าวอาศัยแสงจันทร์ค้นหาอาหารภายในครัว แต่ไม่มีสิ่งใดนอกจากรังนกและซุปผักที่เหลือจากตอนค่ำ

แม่นางจ้าวไม่สนใจผู้ใดแล้วจึงรีบนำรังนกที่เย็นชืดและแข็งกระด้างจุ่มลงไปในน้ำแกงผักและกลืนลงไปสามคำอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็ดื่มน้ำหวานชามใหญ่ตามลงไป จากนั้นจึงกลับเข้าห้องไปนอนอย่างพอใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น

แม่นางเฉินเดินงัวเงียเข้าไปในครัวและเปิดตะกร้าออก ภาพตรงหน้าทำให้แม่นางเฉินถึงกับคิดว่าตนเองยังไม่ตื่นนอนจึงขยี้ตาอีกครั้ง

เมื่อคืนยังเหลืออาหารอยู่สี่ที่ เหตุใดวันนี้ถึงเหลือแค่ที่เดียว?

เมื่อมองลงไปในหม้อก็พบว่าน้ำแกงแห้งเหือดไปหมดแล้ว ก้นหม้อแห้งสนิทเหลือเพียงเศษอาหารเท่านั้น

“โจรย่องเข้าบ้านของเราเมื่อคืน! ขโมยรังนกของเราไปหมดแล้ว!” แม่นางเฉินร้องตะโกน

หลังจากได้ยินเสียงร้อง แม่เฒ่าจูจึงเดินออกมาจากห้องและไปยังห้องครัว ไม่นานนัก แม่เฒ่าจูมายืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูและด่าทอยกใหญ่

“นังสะใภ้สามมันเป็นโจร จับมันเดี๋ยวนี้! ถึงกับกล้าย่องเข้าครัวกลางดึกเพื่อขโมยอาหารแล้วอย่างนั้นหรือ! คนเกียจคร้านไร้อนาคตเช่นเจ้ากินมากเท่าใดก็ไม่อิ่มท้อง! ไปตายอดตายอยากมาจากที่ใดกัน!”

แม่นางเฉินโต้แย้งขึ้นมา “ข้ามิได้ขโมยสิ่งใดไปเลย เมื่อคืนวานทุกอย่างยังอยู่ดี ข้าเองก็อยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่เช่นกัน”

หากว่าเป็นโจรย่องเข้ามาจริง เหตุใดรังนกถึงหายไปเพียงสามชิ้นและเหลืออยู่เพียงหนึ่งชิ้นเช่นนี้? ซ้ำยังตักแกงผักไปทั้งหมด นอกจากเจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก? ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้!” แม่เฒ่าจูกระทืบเท้าพร้อมกับชี้นิ้วไปที่จมูกของแม่นางเฉินและก่นด่าสาปแช่ง

“ข้าขอสาบานต่อสวรรค์” แม่นางเฉินวิ่งออกมาอยู่กลางลานบ้านและชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าอย่างมั่นใจ “หากว่าใครขโมยกิน ขอให้มันผู้นั้นไม่ตายดี ขอให้มันโดนฟ้าผ่าจนตาย หากออกจากบ้านขอให้ตกแม่น้ำจมน้ำตาย ถ้ามันยังชีวิตอยู่ ขอให้ทั้งชีวิตต้องทนทุกข์ทรมาน ตายตกขุมนรกสิบแปดชั้น!”

“คนขี้เกียจตะกละตะกลามเช่นเจ้ายังกล้าสาบานต่อสวรรค์! ดี… หากว่าใครขโมยไป ขอให้มันไม่ตายดี! ชีวิตนี้ยากจน! ชาติหน้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานถูกผู้คนทรมาณชดใช้กรรม!”

แม่นางเฉินถูกใส่ร้าย ทั้งที่ไม่มีหลักฐานกลับถูกป้ายความผิดให้เสียอย่างนั้น

แม่เฒ่าจูโมโหยิ่งเพราะแม่เฒ่าจูคอยดูแลอาหารภายในบ้านไม่ให้ขาด แต่กลับมีคนกล้าย่องเบาขโมยอาหารใต้จมูกนาง!

คนหนึ่งโต้แย้ง อีกคนด่าทอ ทั้งสองก่นด่ากันสลับไปมา

“แค่รังนกหายไป กลับทำเหมือนว่าภูเขาเงินภูเขาทองหายไปเสียอย่างนั้น” หยุนเชวี่ยนั่งลงข้างสวนผักพลางตักน้ำล้างหน้าล้างตา

“ชู่ว… เจ้าอย่าได้ไปพูดให้ใครได้ยินเชียว” หยุนเยี่ยนกระซิบเตือนนาง

ทั้งสองยืนด่าทอกันไปมาอยู่กลางลานบ้าน แม่นางเหลียนที่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่สงบอารมณ์ลงเถิด หากท่านป่วยขึ้นมาจะไม่คุ้มเสีย”

คำเกลี้ยกล่อมนี้ทำให้แม่เฒ่าจูเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม แม่เฒ่าจูตบต้นขาและตะโกนเสียงดังขึ้นอีก “เจ้ามันคนบาป! เกิดสิ่งใดขึ้นกับรังนกของข้า? คนแก่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ไม่มีอันจะกินแล้ว! เจ้าเห็นว่าเรื่องนี้ช่างเล็กน้อยเพราะว่าคนร่ำรวยเช่นเจ้าคงไม่สนใจรังนกที่หายไปไม่กี่ชิ้น แต่แม่ของเจ้ากำลังจะอดตาย! เจ้าคงภูมิใจมากที่ปล่อยให้แม่ของเจ้าอดตายเช่นนี้!”

แม่เฒ่าจูพูดตัดพ้อและชี้นิ้วไปที่ลูกสะใภ้สาม

“เช่นเดียวกับหยุนซิ่วเอ๋อ ยิ่งนางพยายามเกลี้ยกล่อมมากเพียงใด ยิ่งถูกดุด่าหนักขึ้นกว่าเดิม” หยุนเชวี่ยพึมพํา

แม่นางเฉินยืดคอและอ้าปากกว้าง “ข้าผิดเอง! ข้าจะโดดลงแม่น้ำให้ตายไปเสีย! ปล่อยให้ชะตาตัดสินข้าแล้วกัน!”

แม่เฒ่าจูไม่ยอมแพ้ “ไป! รีบไปสิ! เจ้ามันขี้เกียจตะกละตะกลาม หากเจ้าตายคงจะดีไม่น้อย!”

“โอ้! ข้าอยากจะตายเสียตรงนี้! ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!” แม่นางเฉินทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและเอาแต่ร้องคร่ำครวญ

ผู้เฒ่าหยุนมักจะออกเดินเล่นตั้งแต่เช้าตรู่ พอเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงก่นด่าและร้องไห้ภายในลานบ้าน ทำให้ผู้เฒ่าหยุนพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

“เสียงดังกันได้ทุกวี่วัน ไม่คิดจะสงบปากสงบคำกันบ้างหรืออย่างไร? หากอยู่ร่วมกันไม่ได้ก็แยกกันอยู่เสีย! อย่าเอาแต่สร้างเรื่องน่าอับอายเช่นนี้!” เสียงตะโกนดังกึกก้องมาจากด้านนอกประตู

แม่นางเฉินมีไหวพริบมากกว่า นางแสร้งทำเป็นตกใจและสะอึกสะอื้น พร้อมกับหันหน้าไปมองใบหน้าซีดเผือดของผู้เฒ่าหยุน ทำให้แม่นางเฉินรีบลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว “ท่านพ่อ… ท่านพ่อ ข้าถูกใส่ร้าย ท่านต้องช่วยเหลือข้า!”

“ทุกคนรอทานมื้อเช้ากันอยู่ เจ้ายังมัวเห่าหอนอันใดอีก? เหตุใดถึงไม่ปล่อยวางเสียบ้าง?” ผู้เฒ่าหยุนขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ ขณะเดียวกันก็ถลึงตาใส่แม่เฒ่าจู