Ep.296 เจตนาแอบแฝง

หลังจากกลืนกินวิญญาณหมาป่าวาโยอายุสามพันสี่ร้อยปีได้สำเร็จ เส้นสีทองหนึ่งเส้นก็ปรากฏบนหัวเจ้ามังกรเป็นครั้งแรก ในที่สุดแอปเปิลน้อยก็เป็นสัตว์วิญญาณอายุหนึ่งปีเสียที

“โฮก…”

เสียงร้องของมันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับเชื้อสายเผ่ามังกรศักดิ์สิทธิ์แล้วมันยังดูน่ารักเกินไป

หลินมู่อวี่มองมังกรผลึกโลหิตด้านสีหน้าพึงพอใจพลันยิ้มและเอ่ยขึ้น “แอปเปิลน้อย ความแข็งแกร่งของเจ้าเพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้ว ลองแสดงพลังในตอนนี้ให้ข้าดูหน่อย”

เจ้ามังกรลุกขึ้นพลางส่งเสียงร้องก่อนจะใช้ขาหน้าหมอบลงกับพื้น การเคลื่อนไหวของมันดูแปลกไป หลินมู่อวี่สังเกตเห็นเกล็ดบนหลังของมันเรียงตัวตั้งชันเหมือนมังกรตัวอื่นๆ …….หลังจากนั้นเจ้ามังกรน้อยก็ม้วนตัวกัดหางตัวเองและกลิ้งไปกับพื้น “เคร้ง! ตู้ม!” มังกรร่างดาบกลิ้งบดพื้นหญ้า ต้นไม้และก้อนหินอย่างน่ากลัว

หลินมู่อวี่ตกตะลึง “กงล้อสะบั้น!?”

เจ้ามังกรน้อยหยุดกลิ้งก่อนจะคลายตัวและผงกหัวอย่างมีความสุขราวกับคุ้นเคยชื่อนี้เป็นอย่างดี

นี่เป็นการวิวัฒนาการขั้นสองของมังกรผลึกโลหิต ขั้นแรกได้รับท่ากรงเล็บวิญญาณ และขั้นที่สองได้รับกงล้อสะบั้น หากมังกรโลหิตโตเต็มไว…แทบไม่ต้องคิดเลยว่าท่ากงล้อสะบั้นจะมีทำลายขนาดไหน

“โฮก…”

มังกรผลึกโลหิตที่เพิ่งวิวัฒน์สู่ขั้นสองดูเหนื่อยล้ามาก…มันต้องการพักผ่อน หลินมู่อวี่ผู้เป็นเจ้าของจึงทำการแยกมิติเพื่อส่งเจ้าแอปเปิลน้อยเข้านอน

หลังกินเนื้อในมือจนหมด หลินมู่อวี่ก็ลุกขึ้นพร้อมกับปราณยุทธ์ที่กลับมาเต็มเปี่ยมพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง แม้ฝีเท้าดาวตกจะรวดเร็วแต่ใช้ได้เพียงครั้งละห้าร้อยไมล์และใช้พลังอย่างมาก ทว่าถึงจะใช้ความเร็วเต็มที่ก็ยังไกลโขจากสุสานมังกร อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาสามถึงสี่วัน หลินมู่อวี่ไม่รู้ว่าถังเสี่ยวซีเป็นอย่างไรบ้าง…หวังว่านางคงไม่เผลอทำร้ายผู้ใดไปเสียก่อน ด้วยรูปลักษณ์ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ต่อให้เสี่ยวซีจะเป็นผู้หญิงที่สวยเพียงใดก็ไม่แคล้วทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดกลัว

หลังจากเดินทางได้ห้าร้อยไมล์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง…กลับสู่บรรยากาศยามค่ำคืนอีกครั้ง

หลินมู่อวี่ชะลอการเดินทางและหยุดพักเนื่องจากพลังกายกับพลังยุทธ์เริ่มอ่อนแรงเต็มที…ขาทั้งสองแทบจะเดินต่อไม่ไหว

กระทั่งเมื่อหลินมู่อวี่หยุดพัก เขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบพื้นอยู่ไม่ไกล ไม่นานกลุ่มคนควบม้าก็ปรากฏกายให้เห็น เป็นกลุ่มคนสวมชุดทหารรับจ้าง

เท่าที่สังเกตมีทั้งหมดห้าสิบคน แม้สวมชุดทหารอยู่…ทว่าเครื่องป้องกันนั้นดูใหม่เกินไป รวมไปถึงอาวุธและม้าศึกชั้นดี อีกทั้งคนพวกนี้ยังดูแก่เกินกว่าจะเป็นทหารรับจ้างธรรมดา

“ท่าไม่ดีแล้ว…”

หลินมู่อวี่ถูกกลุ่มทหารพบเข้าก่อนจะหนีได้ทัน เพราะขาที่สั่นเทิ้มจากการใช้ฝีเท้าดาวตกอย่างหนักหน่วง ทั้งร่างพลังกายและพลังยุทธ์เองก็แทบไม่เหลือ ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงในการฟื้นฟู

“มีคนอยู่ตรงนั้น!” กลุ่มทหารรับจ้างชี้มาทางหลินมู่อวี่ “ไปจับมันไว้!”

พวกมันควบม้าเข้ามาปิดล้อมหลินมู่อวี่จนไร้ทางหนี

หลินมู่อวี่หยุดอยู่กับที่พลางกระชับกระบี่วิญญาณมังกร เขายิ้มขณะมองกลุ่มคนที่มุ่งตรงมาล้อมรอบด้วยท่าทีหยิ่งผยอง หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ได้ตัวแล้ว”

ชายหน้าหนวดผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างท่าทางแข็งแรง ในมือถือขวานหนักที่แผ่พลังราวกับเป็นอาวุธหลอมวิญญาณ…ดูเป็นขวานที่ลึกลับยิ่ง แม้ชายตรงหน้าจะพยายามซ่อนพลังยุทธ์ไว้ ทว่าฌานสัมผัสของหลินมู่อวี่ยังคงรับรู้ได้ถึงปราณยุทธ์ ทหารรับจ้างคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปฐพี แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทหารรับจ้างทั่วไป

หลินมู่อวี่รู้สึกหดหู่ พลางถอนหายใจให้กับโชคชะตาอันเลวร้ายของตน

หัวหน้าทหารรับจ้างลดขวานลงพลางควบม้าเข้าไปใกล้หลินมู่อวี่ ขณะที่เดินวนไปมาเขาก็ยกริมฝีปากยิ้ม “นี่เป็นเกราะชั้นดี หากข้าจำไม่ผิด…มันเป็นชุดศึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองหลวง เจ้าเป็นใครในวิหารจึงได้มีเหรียญตราสีทองและตำแหน่งผู้บัญชาการเช่นนี้”

ชายผู้นี้คงไม่ใช่คนดี…

หลินมู่อวี่ประสานกำปั้นพลางกล่าวอย่างสงวนท่าที “ข้ามีนามว่าหลินมู่อวี่ เป็นครูฝึกอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้าเข้าป่าล่ามังกรเพื่อทำการฝึกฝนวิชายุทธ์ด้วยตนเอง แล้วท่านเป็นใครกัน?”

ชายร่างใหญ่หัวเราะพลางยกขวานขึ้นพาดบ่า “ข้ามีนามว่าหลี่จิงชื๋อ เป็นผู้บัญชาการทหารรับจ้างอินทนิลแห่งเมืองหลันเยี่ยน ท่านยอดฝีมือแห่งวิหาร…ในเมื่อเราได้พบกันแล้ว เรามาดื่มฉลองกันสักหน่อยดีหรือไม่? ตอนนี้กำลังมืดไหนจะอากาศที่เย็นลงอีก ท่านมาค้างกับพวกเราสักคืนคงไม่เป็นไร”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างใจเย็น “พวกเจ้าจะปล้นคนจากวิหารอย่างข้าอย่างนั้นรึ?”

“หามิได้…เราจะกล้าทำอย่างนั้นได้เยี่ยงไรกัน” หลี่จิงชื๋อหัวเราะ “ท่านอย่าได้ระแวงเกินเหตุ ทหารรับจ้างอินทนิลของเราเป็นกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง พวกเจ้าเอาม้ามาให้ท่านผู้นี้และช่วยเขาถือกระบี่หน่อย”

“ขอรับ”

ทหารรับจ้างนายหนึ่งจูงม้าผอมโทรมมาก่อนจะยื่นมือออกไป “ให้ข้าช่วยถืออาวุธนะขอรับ”

หลินมู่อวี่ปราดตามองกลุ่มทหารเบื้องหน้าก่อนจะพบว่าหนึ่งในนั้นมีคนแขนหัก และอีกหลายคนกำลังบาดเจ็บรวมถึงหัวหน้าอย่างหลี่จิงชื๋อด้วย แม้จะมีหนังวัวหนาพันเป็นกางเกงยาวไปจนถึงเข่าก็ยังปรากฏคราบเลือดซึมออกมา หลินมู่อวี่ยิ้มกริ่ม…เหตุผลเดียวที่คนกลุ่มนี้ยังไม่กระทำการอุกอาจคงเป็นเพราะยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

หลินมู่อวี่ไม่อยากเสียแรงไปมากกว่านี้เพราะร่างกายถึงขีดจำกัดและต้องได้รับการพักผ่อน ครั้งเขาจำต้องหาทางรอดให้ตัวเองให้ได้ก่อน หลินมู่อวี่จึงตัดสินใจยกกระบี่วิญญาณมังกรให้นายทหารรับจ้างไป “ดูแลมันให้ดี”

“ขอรับท่าน”

หลินมู่อวี่กระโดดขึ้นหลังม้าพลางกระชับผ้าคลุม “ข้าไม่รู้ว่าท่านหลี่มาจากไหน ทว่าดูจากสภาพแล้วคงปะทะกับสัตว์วิญญาณมาใช่หรือไม่?”

หลี่จิงชื๋อรู้ดีว่าไม่ควรโกหกจึงพยักหน้าตอบไปตามตรง “ใช่ พวกข้าเพิ่งต่อสู้กับหมีปฐพีอายุหกพันสี่ร้อยปีมาระหว่างทาง ข้าเสียกำลังคนไปค่อนข้างมากทว่ากลับทำได้เพียงสร้างบาดแผลฉกรรจ์เท่านั้น อีกทั้งยังปล่อยให้มันหนีไปได้อีก”

“หากเป็นเช่นนั้น…” หลินมู่อวี่กล่าวราวกับคิดบางอย่างได้ “ท่านก็จงพักผ่อนเสียคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยไปตามหาหมีปฐพีแล้วชำระแค้นกับมัน”

“สัตว์ร้ายในป่าเช่นนี้มีอะไรให้กลัวหรือ?” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “พรุ่งนี้ท่านก็เพียงหารังของมันแล้วจัดการให้จบเสีย”

“ได้เลย”

หลินมู่อวี่ถามต่อด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากรู้นักว่าเหตุใดหัวหน้าหลี่จึงนำพี่น้องทหารรับจ้างเข้าป่าล่ามังกรลึกถึงเพียงนี้? มีสิ่งใดที่ท่านต้องการอย่างนั้นหรือ? หากจะทำงานว่าจ้าง…ก็คงไม่มีงานไหนให้เข้าป่าลึกเช่นนี้”

หลี่จิงชื๋อชะงักกับคำถามของหลินมู่อวี่พลางเกาหัวและยิ้มอย่างเจียมตัว “น่าละอายยิ่ง อันที่จริงพวกข้าตั้งใจจะเดินทางไปเมืองชีไห่…แต่เราหลง พยายามหาทางออกจากป่าล่ามังกรกันอยู่ขอรับ”

หลินมู่อวี่คิดว่าคนพวกนี้ต้องพูดปดอยู่แน่ เมืองชีไห่นั้นอยู่ทางเหนือของจักรวรรดิ ทว่าจุดที่อยู่นี้เป็นทางใต้ หากหลงทางจริงคงไม่มาถึงตรงนี้แน่

อย่างไรก็ตาม หลินมู่อวี่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป ยิ่งไปกว่านั้น…ตอนนี้เขาต้องออมแรงไว้ หากฝ่ายตรงข้ามเริ่มเผยธาตุแท้คงจะรับมือได้ยาก

แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากร่างของหลินมู่อวี่ วิญยาณยุทธ์น้ำเต้าค่อยๆ ดูดซับพลังวิญญาณโดยรอบเพื่อนำมาเติมเต็มปราณยุทธ์ที่เสียไป ขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาร่างกายด้วย กระทั่งหลี่จิงชื๋อและพวกหาหน้าผาสำหรับเป็นสถานที่ตั้งค่ายได้แล้ว ทั้งร่างกายและพลังของเขาก็ได้รับการฟื้นฟูจนเกือบหายดี ถึงกระนั้นหลินมู่อวี่ก็มิได้รีบร้อนอันใด เขายังอยากรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใครกันแน่

ใต้หน้าผาสูง กองไฟสี่กองถูกจุดขึ้น ทุกคนนั่งรายล้อมเพื่อต้มซุปเนื้อสัตว์วิญญาณที่สังหารได้จนกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว ขณะที่กองไฟอีกกองกำลังย่างเนื้อกวางอยู่ คนพวกนี้ช่างกินอยู่หรูหราเสียจริง ไม่นานหลี่จิงชื๋อก็นำเหยือกไวน์ขนาดใหญ่มาทางหลินมูอวี่ “ท่านหลิน อากาศคืนนี้ช่างเย็นนัก มาดื่มไวน์คลายหนาวให้เมากันไปข้างเถิด”

“ได้สิ”

โชคดีที่มีไวน์ให้ดื่ม เพราะเมื่อมีคนเมา…หลินมู่อวี่ก็จะสามารถใช้ทักษะชีพจรวิญญาณอ่านใจของเขาเหล่านั้นเพื่อหาว่ามีความลับใดซ่อนอยู่ได้

ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มเมามาย เว้นเสียแต่หลี่จิงชื๋อที่ดื่มไปไม่มาก เขาคายไวน์ใส่ผ้าเช็ดปากไว้ ช่างสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการดื่มจริงๆ

หลินมู่อวี่ยิ้ม ทักษะชีพจรวิญญาณของตนค่อยๆ เจาะเข้าไปยังจิตใจของหลี่จิงชื๋อ กระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้น “พลังยุทธ์ของไอ้เด็กนี่แทบไม่มีที่สิ้นสุด…บัดซบ! เราได้รับคำสั่งมาให้ตามล่าถังเสี่ยวซี จะต้องทำให้สำเร็จ ถ้าหากเราเมาตอนนี้ต้องโดนมันฆ่าเป็นแน่ อีกทั้งจะให้ภารกิจนั้นล้มเหลวเพราะไอ้สวะนี่ไม่ได้!”

ทว่าภารกิจที่ว่านั่นคือสิ่งใดกัน ไม่มีคำพูดใดในใจอีก….

หลินมู่อวี่เริ่มรู้สึกสับสน หลังจากครุ่นคิดได้ไม่นานเขาก็สามารถอ่านใจหลี่จิงชื๋อได้อีกครั้ง “ถังเสี่ยวซีสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? พระองค์จึงต้องมอบหมายให้เราทำงานนี้ทั้งที่มีคนในจักรวรรดิอีกมากที่ทำได้ ขนาดเรายังไม่เจอถังเสี่ยวซียังเสียคนไปมากขนาดนี้ แล้วยังบอกให้คอยระวังไม่ให้แผนการพังอีก บัดซบ…คอยดูเถิด หลังจบงานนี้เมื่อไรท่านต้องเพิ่มกำลังคนและเงินรางวัลให้เรา”

พระองค์ที่กล่าวถึงเป็นใครกัน?

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนพวกนี้ถูกฉินอินส่งมา? ไม่…หากเป็นฉินอินจริง คงไม่สั่งให้มาถึงที่นี่ เช่นนั้นแล้วใครส่งพวกมันมา?

ทว่าหลินมู่อวี่ไม่มีเวลาอ่านใจมากถึงขนาดนั้น เพราะทันทีที่หลี่จิงชื๋อกะพริบตา ทหารรับจ้างสี่คนก็เข้ามาล้อมรอบหลินมู่อวี่พร้อมกับมือที่กระชับดาบอยู่ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้…