บทที่ 264 ถูกล้อม
บทที่ 264 ถูกล้อม

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเดินกลับไปถึงที่รถ หลี่จิงเทียนและอดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่กำลังตะลึงค้างก็ได้สติ

ทั้งเขาและเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า อวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ได้ขนาดนี้ การที่พวกเขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับชายหนุ่มตรงหน้านั้นเป็นเรื่องที่โง่เง่าสิ้นดี!

อดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาหวาดกลัวระคนชื่นชม ซึ่งแน่นอนว่าความหวาดกลัวนั้นเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่ออวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามาใกล้ เธอจึงรีบกลับเข้าไปนั่งในรถด้วยอาการสั่นงันงก

“ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าเธอให้ความร่วมมือ ฉันจะปกป้องเธอเป็นอย่างดีไม่ให้ใครมาทำร้ายเธอได้ ทีนี้เธอเห็นแล้วหรือยัง?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวเขาจนตัวสั่น อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยปลอบ

ทางด้านของหลี่จิงเทียน ก็รีบกลับขึ้นรถด้วยอาการสั่นกลัวเช่นกัน

พี่เขยของเขาเป็นคนหรือเป็นสัตว์ประหลาดกันแน่!

แค่พริบตาเดียวคนหลายสิบคนก็ล้มระเนระนาดราวกับโดนรถสิบล้อล่องหนชน?

นั่นมันบ้าอะไรกัน?!

แน่นอนว่าตอนนี้หลี่จิงเทียนยิ่งกลัวพี่เขยของตัวเองมากขึ้นอีกเป็นสิบเท่า หลังจากได้เห็นภาพที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่ไป

ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังคิดไปต่าง ๆ นานา อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ เขาขึ้นรถและเร่งเครื่องมุ่งหน้าไปยังบริษัทชิวเฮิงต่อทันที

หลังจากผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วโมง หลิ่วอวี้จิงก็ได้รู้ข่าวความล้มเหลว

“ไอ้หนุ่มนั่นมันแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?”

หลังจากได้ยินรายงานทั้งหมดจากลูกน้องของตัวเอง หลิ่วอวี้จิงก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ไอ้หนุ่มนั่นมันอายุน้อยกว่าเขาเกือบเท่าหนึ่งแท้ ๆ แต่มันกลับแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?

“เป็นความจริงหัวหน้า! คนของเราไม่อาจต้านทานไอ้เจ้าหนุ่มนั่นได้เลย”

“ใช่ หัวหน้า นับจากนี้เราคงต้องระวังมันมากกว่าเดิม ความแข็งแกร่งของมันไม่ใช่สิ่งที่เราจะมองข้ามได้…”

เมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อของหัวหน้าตัวเอง อู๋เฟิงและหวางเว่ยต่างรายงานด้วยสีหน้าหดหู่

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงสาขาใหญ่และรายงานทุกอย่างให้กับหลิ่วอวี้จิงฟัง

“อืม ว่าแต่มันพูดอะไรบ้างหรือเปล่าก่อนจะปล่อยพวกแกมา?”

หลิ่วอวี้จิงถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย จากคำพูดของลูกน้องทั้งสองหากเป็นตามปกติเขาคงสั่งลงโทษพวกมันไปแล้ว เพราะการพูดแบบนี้มันมีแต่จะทำให้คนในแก๊งเสียขวัญ แต่เมื่อเห็นสภาพที่สะบักสะบอมของทั้งคู่ เขาจึงละเว้นโทษให้

“อ…อันที่จริง ไอ้เวรนั่นมันฝากคำพูดมาเหมือนกัน…”

หวางเว่ยอยากจะถ่ายทอดข้อความที่อวี้ฮ่าวหรานฝากมาแต่เขาเองก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกไปดัง ๆ

เขากลัวว่าหัวหน้าของเขาจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าและพลั้งมืออัดเขา

อย่างไรก็ตาม อู๋เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ นั้นมีความกล้ามากกว่า เขาสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อทันที

“หัวหน้า! ไอ้สารเลวนั่นมันฝากข้อความมาให้หัวหน้า มันบอกว่าแก๊งของเราเป็นเศษขยะ และถ้ามันว่างเมื่อไหร่มันจะมาคิดบัญชีกับเรา…”

“โครม!!”

ในทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ หลิ่วอวี้จิงก็ทุบโต๊ะจนแตกกระจายทันทีด้วยสีหน้าเดือดดาล

มาคิดบัญชีกับฉันคนนี้งั้นเหรอ?

ไอ้เด็กเวรนั่นมันกล้าดียังไงถึงพูดจาจองหองขู่ข้าแบบนี้!

“ไอ้สารเลวไม่รู้จักตายนั่นกล้าพูดแบบนั้นจริง ๆ ใช่ไหม?”

ด้วยความโมโห เขาถามขึ้นอีกรอบ…

“ป…เป็นความจริงครับหัวหน้า! ผมได้ยินเต็มสองรูหู มันบอกว่าพวกเราเป็นแค่เศษขยะที่มันจะกำจัดทิ้งตอนไหนก็ได้!”

หวางเว่ยพูดใส่สีเข้าไปอีกนิดหน่อยเพื่อให้หัวหน้าของเขายิ่งโกรธ เขาต้องการที่ให้หัวหน้าแก๊งไปล้างแค้นอวี้ฮ่าวหรานให้ทั้งสองคน

ในสายตาของเขา หัวหน้าแก๊งของเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดและด้วยอายุที่มีมากกว่าอวี้ฮ่าวหรานเกือบหนึ่งเท่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าของเขาจะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย หากหัวหน้าของเขาลงมือด้วยตัวเอง อวี้ฮ่าวหรานน่าจะตายแน่ ๆ จริงไหม?

คนที่อายุยี่สิบต้น ๆ อย่างอวี้ฮ่าวหราน ไม่น่าจะแข็งแกร่งไปกว่าหัวหน้าของเขาแน่นอน!

แน่นอนว่าหลิ่วอวี้จิงยิ่งโมโหมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของหวางเว่ย…

อวี้ฮ่าวหรานสร้างความเสียหายให้กับแก๊งของเขาหลายรอบแล้ว และตอนนี้ยังดูถูกแก๊งของเขาอีก!

แบบนี้มันยอมไม่ได้!

ด้วยความเดือดดาล หลิ่วอวี้จิงก็ตะโกนออกคำสั่งเสียงดังลั่น

“เรียกสมาชิกแก๊งทุกคนมาให้หมดตอนนี้! ฉันต้องการให้ไอ้เวรนั่นตาย!”

“ครับ!”

เมื่อได้รับคำสั่ง อู๋เฟิงและหวางเว่ยออกไปรวบรวมคนทันที

ถัดไปไม่นาน แค่หลังช่วงบ่ายโมงไปนิด ๆ สมาชิกแก๊งวาฬยักษ์มากกว่าหกร้อยคนก็ไปล้อมบริษัทชิวเฮิง

ในขณะเดียวกัน ที่ออฟฟิศชั้นบนสุดของบริษัทชิวเฮิง อวี้ฮ่าวหรานได้พาตัวอดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีของเขาและหลี่จิงเทียนมาหาเฉิงกัวอัน เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้พวกเขากำลังรอหัวหน้าทีมสอบสวนของกรมสรรพากรมาสอบปากคำคนทั้งคู่เพื่อที่ทุกอย่างจะได้กระจ่างชัด

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉิงกัวอันมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ตกตะลึง ในตอนนี้ตึกสำนักงานของบริษัทชิงเฮิงถูกล้อมเอาไว้ด้วยชายฉกรรจ์มากกว่าหกร้อยคน!

มีรถอีกหลายสิบขับปิดทางเข้าออกบริษัททั้งหมดรวมไปถึงถนนด้านหน้าบริษัท ซึ่งมันเป็นภาพที่หน้าตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก!

“นั่นมัน…บ้าอะไรกัน!”

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นด้านล่าง เฉิงกัวอันก็อดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

เมื่อได้ยินคำอุทานของเฉิงกัวอัน อวี้ฮ่าวหรานจึงเดินไปดูที่หน้าต่างเช่นกัน และเมื่อเขามองลงไป ก็ได้เห็นภาพที่คนหลายร้อยคนล้อมตึกเอาไว้

หากเป็นคนธรรมดาคงกลัวแทบจะฉี่ราดแน่นอนเมื่อเห็นภาพนี้ เพราะการจะหนีออกไปจากที่นี่คงมีแค่ทางเดียวคือบินหนีไป

แน่นอนว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกของเฉิงกัวอัน หลี่จิงเทียน เฉิงชิวอวี้ และอดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีของอวี้ฮ่าวหรานก็เดินไปดูที่หน้าต่าง ซึ่งภาพที่พวกเขาเห็นมันก็ทำให้พวกเขาเกือบเข่าอ่อน

“ฮ่าวหราน นี่นายไปสร้างเรื่องอะไรไว้กันแน่? ทำไมคนพวกนี้ถึงได้กล้าบุกมาที่นี่ด้วยจำนวนมากขนาดนี้?”

เฉิงกัวอันหันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกเมื่อได้สติแล้ว

มีไม่กี่คนในเมืองที่สามารถออกคนสั่งคนจำนวนมากได้ขนาดนี้ ซึ่งแต่ละคนนั้น เฉิงกัวอันไม่กล้ายั่วยุเลยสักคน

ต่อหน้าพวกแก๊งใต้ดิน หากไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน เฉิงกัวอันก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เช่นกัน

และยิ่งไปกว่านั้น ตามปกติแล้วพวกแก๊งใต้ดินจะไม่กล้ารวมคนกันมากขนาดนี้หากไม่ถึงที่สุดจริง ๆ เพราะกลัวตำรวจ

แต่วันนี้กลับมีแก๊งไหนก็ไม่รู้กล้าทำแถมยังมาล้อมบริษัทของเขาเอาไว้อีกต่างหาก

ข้างล่างนั่นน่าจะมีคนมากถึงหกร้อยคน ด้วยจำนวนขนาดนี้ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะระดับกำลังภายในขั้นสูงสุดก็หนีรอดไปไม่ได้!

แถมตอนนี้เขาเองก็ไม่เหลือพลังอะไรอีกแล้ว

เฉิงชิวอวี้ใจเต้นรัวอย่างรุนแรงจนหน้าซีดเซียว เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ เธอจึงกลัวมากกว่าพ่อของเธอหลายเท่า

เฉิงชิวอวี้ไม่เหมือนกับพ่อของเธอที่เคยผ่านการฆ่าฟันมามากมาย ดังนั้นเมื่อเธอเห็นจำนวนชายฉกรรจ์หลายร้อยล้อมบริษัทของเธอเอาไว้ เธอจึงไม่สามารถทำใจยอมรับได้ง่าย ๆ

“ฮ่าวหราน…ร..เราควรทำยังไงดี…ห…หากพวกนั้นบุกเข้ามา…”

ในขณะเดียวกัน หลี่จิงเทียนก็สติแตกไปเรียบร้อย

“จบแล้ว! พวกเราจบเห่แน่แล้ว! ฉ….ฉันไม่น่าไปขัดใจพวกแก๊งใต้ดินเลย…ฮือ…พวกเราต้องตายวันนี้แน่ ๆ!”

ด้วยความกลัว หลี่จิงเทียนก็ทรุดลงไปนั่งที่พื้นร้องไห้เหมือนกับเด็กขี้แย

“ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังไม่อยากตาย!”

ตอนนี้เขานึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองที่มีส่วนก่อให้เกิดเรื่องเลวร้ายนี้เป็นอย่างมาก

ทั้ง ๆ ที่ชีวิตของฉันก็สุขสบายอยู่แล้ว ได้รับเงินเดือนโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ทำไมฉันถึงโง่ ทำให้ตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้??!

แน่นอนว่าอดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีของอวี้ฮ่าวหรานก็สติหลุดไปเช่นกัน เธอทรุดลงบนพื้นพลางร้องไห้คร่ำครวญด้วยความกลัวไม่ต่างจากหลี่จิงเทียน

“ฮือ…ฉันยังไม่อยากตาย…”

ในทางกลับกัน คนเดียวในห้องที่ยังแสดงสีหน้านิ่งเฉยได้อยู่คืออวี้ฮ่าวหราน

“ไม่ต้องกังวล ทุกคนจะไม่เป็นอะไรหรอก”

เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของทุกคน อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยปลอบเบา ๆ

เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มคาดเอาไว้ในใจแล้วเรียบร้อย ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงได้โทรไปบอกโจวเฟยหู่เอาไว้ก่อนแล้ว

อวี้ฮ่าวหรานต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการมีแก๊งพยัคฆ์เวหาคอยให้ความช่วยเหลือนั้นบางทีมันก็ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นเยอะ