บทที่ 262 ต่อสายได้อย่างน่าดูชม

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ทายาทตระกูลใหญ่อายุน้อยเหล่านี้ ยโสโอหังยิ่งกว่าทายาทตระกูลใหญ่ทั่วๆ ไปมากนัก ในจุดนี้เย่เทียนเฉินเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ถ้าคุณแค่ข่มขู่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ในใจของพวกเขาทุกคนต่างคิดว่าบิดาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่มีใครแตะต้องได้ ซึมลึกเข้าไปในผิวหนังของพวกเขา ซึมลึกเข้าไปถึงกระดูกของพวกเขา จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างเด็ดขาด และไม่อาจระงับปากอันน่ารังเกียจของตนเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้นเมื่อเจอกับคนอายุสิบแปดสิบเก้าปีอย่างหวังป๋อ ซึ่งอายุน้อยกว่าเย่เทียนเฉินแต่กลับหยิ่งยโสอย่างร้ายกาจเป็นที่สุด และต้องการให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าโขกหัวให้พวกเขา ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ เย่เทียนเฉินทำได้แค่ลงมือเท่านั้น อัดขาทั้งสองของหวังป๋อก่อน ให้เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของตน จากนั้นค่อยตบหน้าแรงๆ น่าสงสารหวังป๋อที่ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยได้เจอกับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ต้องมาถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวมเป็นหมู สุดท้ายก็สลบไปด้านข้าง

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนตาค้าง สูดหายใจเย็นยะเยือก พวกเขาด่าได้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก และดูเหมือนว่าทุกคนจะคนต่างก็ด่าเย่เทียนเฉินออกมาทั้งนั้น ดูถูกเป็นอย่างยิ่ง ทั้งด่าและเหยียดหยามไม่ได้ขาด เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดนี้ จะป่าเถื่อนขนาดนี้ บางทีคงไม่มีใครคิดว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าทายาทตระกูลใหญ่ที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลอย่างพวกเขา จะยังมีคนกล้าตบหน้าคนซึ่งๆ หน้าอีก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง? ดังนั้นในตอนที่มีคนกระทำเช่นนี้จริงๆ พวกเขาต่างมองจนโง่งม ไม่รู้จะทำอย่างไร

ก่อนหน้านี้ในตอนที่เย่เทียนเฉินยังอยู่ในกลุ่มเยาวชนพวกนี้ ก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง ใครก็รู้ว่าทายาทตระกูลใหญ่ในกลุ่มผู้เยาว์เหล่านี้ ต่างเป็นพวกบ้าคลั่ง แต่ละคนมีตระกูลที่โดดเด่น เดิมทีก็ยโสโอหังจนไม่เห็นหัวใครอยู่แล้ว ดังนั้นย่อมมีการวางอุบายกัน เปรียบเทียบอำนาจกันกับตระกูลตนเอง คนที่มีพื้นเพเหมือนเย่เทียนเฉิน ซึ่งเป็นเพียงตระกูลชั้นสามที่ตกต่ำ ย่อมเป็นได้แค่คนที่ถูกรังแก คนที่อยู่ที่นี่ มีหลายคนที่เมื่อก่อนเคยรังแกและเหยียดหยามเย่เทียนเฉินบ่อยๆ นั่นก็เพื่อความสนุกเท่านั้น ตอนนี้อยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินก็ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูก เหมือนกับเป็นชายที่ผงาดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยพวกเขาจะรับได้ ใครก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ถูกตนเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าจะยืนขึ้นมาได้ จะขายหน้าเกินไปหรือเปล่า?

“ยังมีใครชอบนับเลขอีกไหม? คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นิสัยชอบนะนับเลขของพวกแกยังไม่เปลี่ยนไปเลย!” เย่เทียนเฉินยิ้ม มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วพูดขึ้น

“เย่เทียนเฉิน แกจะโอหังเกินไปแล้ว คิดว่าไปเป็นทหารมาหลายปี พอมีฝีมืออยู่บ้างก็กล้ามาก่อเรื่องหรือไง ไอ้กากเอ้ย!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง อายุประมาณสามสิบกว่าปี มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างดุดัน

“แกผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันกากเกินไป แม่แกต่างหากที่กากเกินไป พ่อแกคงจะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วละมั้ง? ปีนป่ายได้เร็วดีนี่ น่าเสียดายที่แกยังเป็นเหมือนเดิม โง่เหมือนเดิม!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดกับชายวัยกลางคนด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“แก…หึ เชื่อไหมว่าฉันยกหูโทรศัพท์ครั้งเดียว ก็ทำให้คนตระกูลเย่ทั้งหมดของแกถูกจับในทันที?” เจียงเวยกัดฟันตะโกนออกมา

“งั้นเหรอ? ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ลองโทรไปดูเป็นไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

ตอนนี้เองทุกคนมองไปที่เจียงเวย ในเมื่อเขาออกหน้าแล้ว ทุกคนก็อยากจะเห็นสักหน่อยว่าเจียงเวยจะกำจัดเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมเหมือนหวังป๋อ คนที่ยโสโอหังขนาดนั้นยังถูกเย่เทียนเฉินตบจนครึ่งเป็นครึ่งตายอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก จะอย่างไรความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเย่เทียนเฉินก็เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง คนที่เคยเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวงคนนั้น คนที่เป็นลูกหลานไม่เอาไหนเป็นเศษสวะที่เลื่องชื่อคนนั้น เย่เทียนเฉินที่ถูกพวกเขากลั่นแกล้งได้ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจะไม่อยู่แล้ว แทนที่ด้วยจักรพรรดิที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถไปหาเรื่องได้ เป็นชายที่มีรอยยิ้มราวกับเทพแห่งความตาย

เจียงเวยชะงักอยู่กับที่ เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าพูดคำนี้ออกมาจริงๆ ส่วนเขาก็ไม่คิดจะโทรไปบอกให้พ่อจับคนตระกูลเย่จริงๆ จะอย่างไรพ่อของตนก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่ว่าจะฟังเขาไปทุกเรื่อง เขาก็แค่พูดจาให้ดูเวอร์วังไปก็เท่านั้น ตอนนี้พอพูดจาใหญ่โตออกมาแล้ว ทุกคนต่างก็มองมาที่เขา เขาจึงทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างหน้าด้าน

ความจริงแล้วทายาทตระกูลใหญ่ที่อายุน้อยเหล่านี้ หากจะบอกว่ามีอำนาจที่แท้จริงอยู่มากน้อยแค่ไหน ก็พูดได้เลยว่าไม่มี เพียงแต่ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งมาก โดยปกติก็ไม่มีใครอยากมาหาเรื่อง รวมกับที่มีผู้อาวุโสของตระกูลที่ถือหางเข้าข้างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงลูกหลานของตนมีเรื่องอะไร ไม่ว่าตัวปัญหาจะอยู่ที่ลูกหลานของตนหรือไม่ ก็จะปกป้องหลานของตนเอาไว้ก่อน ต่อให้ลูกหลานของตนจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ก็จะต้องออกหน้าทำให้เรื่องสงบลงในทันที ไม่เห็นชีวิตคนอื่นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง มีชีวิตมานานจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ

พูดได้ว่า ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ต่างก็พึ่งพาอาศัยอำนาจของตระกูลเบื้องหลังของตนในการดำรงชีวิต เรียกได้ว่าในตอนที่พวกเขาอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้ทุกอย่าง คนอื่นจะต้องไว้หน้าพวกเขาอยู่บ้าง แต่ก็หมายถึงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น ในเวลาที่เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ คนพวกนี้ก็ทำได้แต่ขอร้องคนในตระกูล จะอย่างไรผู้อาวุโสของพวกเขาก็ไม่ใช่พวกโง่ ถ้าพวกเขาอยากพูดอะไรหรืออยากทำอะไรก็จะได้ตามใจอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด

“เป็นอะไรไปคุณชายใหญ่เจียง? ยังไม่รีบโทรไปอีก? พ่อของแกอาจจะกำลังรออยู่ก็ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้ๆ บิดาจะปล่อยให้แกโอหังไปก่อน อีกไม่นานแกจะต้องคุกเข่าขอร้องฉันแน่!” เจียงเวยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน แล้วต่อสายโทรศัพท์ไปหาพ่อ ทายาทตระกูลใหญ่อย่างพวกเขารักหน้ารักศักดิ์ศรีเป็นที่สุด เสียอะไรก็ได้แต่ห้ามเสียหน้า แต่ไหนแต่ไรก็มีท่าทางเหมือนกับบิดาข้าใหญ่สุดในใต้หล้ามาโดยตลอด จะทนกับความกล้ำกลืนนี้ได้อย่างไร?

เพียงไม่นานโทรศัพท์ของเจียงเวยก็ต่อสายติด เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดว่า “พ่อครับ พ่อรีบสั่งให้คนไปจับทุกคนในตระกูลเย่มาให้ผมเดี๋ยวนี้!”

“ตระกูลเย่? ตระกูลเย่ไหน?” พ่อของเจียงเวยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ยังจะมีตระกูลเย่ไหนอีก ก็ตระกูลเย่ที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสาม ไม่ควรค่าให้พูดถึง แล้วยังมีไอ้โง่ที่ชื่อว่าเย่เทียนเฉินออกมาอีกไงเล่า!” เจียงเวยพูดอย่างสบายๆ และไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ประการแรกเป็นเพราะเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ประการที่สองเพราะอยากจะบอกกับพ่อของตนว่า ตระกูลเย่ก็แค่ตระกูลชั้นสาม ที่ตกต่ำแล้วเท่านั้น จับก็จะไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“เกิดอะไรขึ้น?” พ่อของเจียงเวยไม่ใช่คนโง่ สามารถขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้ ความคิดจะต้องไม่ถูกคนอื่นชักจูง ต่อให้ลูกชายของตนเองขอให้เขาไปทำเรื่องอะไร เขาก็จะต้องถามให้ชัดเจน จะอย่างไรกว่าที่จะได้ตำแหน่งนี้มานั้นไม่ง่ายเลย ตำแหน่งฐานะจึงสำคัญที่สุด

“พ่อครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ไอ้โง่เย่เทียนเฉินมันกล้ามาก่อเรื่องต่อหน้าพวกเรา ผมต้องการให้มันรู้ว่าอะไรคือความร้ายกาจ ต้องการให้มันรู้ว่าตระกูลเย่ก็เป็นแค่ขี้หมา แค่ขาเดียวของผมก็ทำให้มัน…”

ไหนเลยจะรู้ว่า คำพูดดุดันเหล่านี้ของเจียงเวยยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงด่าของพ่อดังขึ้นมา “แกสิขี้หมา ไอ้โง่ เย่เทียนเฉินอยู่ที่นั่นใช่ไหม? ส่งโทรศัพท์ให้เขาซะ ฉันต้องการพูดกับเขาสักหลายประโยค!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อตัวเอง เจียงเวยก็มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจ ตอนนี้เย่เทียนเฉินนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อยู่ อีกทั้งยังจิบเหล้าอยู่เป็นระยะ ท่าทางสบายอุราเป็นอย่างมาก รอให้ทายาทตระกูลใหญ่พวกนี้แสดงออกมาให้หมด ในเมื่อไม่ได้มากันบ่อยๆ ก็ควรจะเก็บกวาดให้ดี หากไม่พูดถึงแค้นในวันเก่าๆ ก็ถือซะว่าเป็นการหาความสุข และแสดงให้ไป๋อู่เห็นสักหน่อย ให้เขาได้รู้ว่าถ้าไม่พูดความจริงใครก็ปกป้องเขาไม่ได้

“พ่อครับ…ไม่มีอะไรต้องคุยหรอก ไอ้โง่นี่ ผมกำจัดมันได้ด้วยตัวเอง พ่อก็แค่…” เจียงเวยกระซิบออกมาอย่างกระอักกระอ่วน

“ไร้สาระ ส่งโทรศัพท์ให้คุณชายเย่เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะไล่แกออกจากตระกูลเจียง ฉันก็แค่ขาดแกที่เป็นลูกชายไปคนเดียว!” พ่อของเจียงเวยตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความโกรธ

ความกระอักกระอ่วนนี้ ความขมขื่นนี้ ทำให้เจียงเวยหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นี่เป็นการตบหน้าอย่างแรง เมื่อครู่นี้เขาต้องการจะประกาศศักดาตระกูลของตน ให้ทุกคนรู้ว่าตนเองร้ายกาจขนาดไหน การกำจัดเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ขอเพียงแค่โทรศัพท์ไปเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่โทรหาพ่อก็จงใจเปิดลำโพง ให้ทุกคนได้ยินกันอย่างทั่วถึง หากต้องการที่จะกำจัดตระกูลเย่พี่เป็นตระกูลเล็กๆ ต้องการกำจัดเย่เทียนเฉินที่ไม่สำคัญ ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง

แน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้ยินบทสนทนาของเจียงเวยกับพ่อหมดแล้ว และได้ยินคำพูดของพ่อเจียงเวยด้วย ทำให้รู้สึกสงสัย ในใจคิดว่า ตอนที่พ่อของเจียงเวยที่คิดว่าเจียงเวยไปทำเรื่องชั่วช้ามา ก็ยังไม่โกรธขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังให้เย่เทียนเฉินมารับโทรศัพท์อีก น้ำเสียงดูเคารพนอบน้อมเป็นอย่างมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เจียงเวยชะงักไป มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้ จึงทำได้เพียงส่งโทรศัพท์ไปให้เย่เทียนเฉินอย่างหน้าด้าน เขาเองก็รู้สึกแปลกใจ ก่อนหน้านี้พ่อของตนไม่ได้เป็นแบบนี้ หากตนขอร้องก็จะทำให้ วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว? เมื่อคิดสักนิดก็รู้สึกหวาดกลัว จะอย่างไรตระกูลเจียงก็ไม่ได้มีเขาเป็นลูกหลานคนเดียว มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกล้างออกจากตระกูล

“ทำอะไร? พูดกับพ่อของแกหรือยัง? รีบมาจับคนตระกูลเย่ของฉันไปสิ!” เย่เทียนเฉินเห็นเขายื่นโทรศัพท์มาให้ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แก…ไอ้คนไม่รู้จักดีชั่ว…”

“คุณชายเย่ เป็นคุณหรือเปล่าครับ? ผมคือเจียงซาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่ได้สั่งสอนเจียงเวยให้ดี ทำให้คุณโกรธแล้วใช่ไหมครับ? ถ้ากลับบ้านมาผมจะต้องหักคาเขาแน่นอน จะทำโทษเขาให้หนักๆ แน่ครับ!” คำพูดของเจียงเวยยังไม่ทันจบ เสียงของพ่อเขาก็ดังขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจจนชะงักไป

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นั่นเป็นตัวตนแบบไหนกัน? คนที่สามารถทำให้เขาปฏิบัติตัวอย่างเคารพนอบน้อมแบบนี้ และยังทำให้เขาขอโทษต่อหน้าผู้คนจะร้ายกาจขนาดไหนกัน? โดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นเย่เทียนเฉิน เป็นคนพี่เกรงว่ายังไม่ถึงเวลาให้เขาพลิกฐานะขึ้นมาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้เขาพัฒนาไปได้สุดยอดอย่างหาใดเปรียบแล้ว

“ท่านรัฐมนตรีเจียง สวัสดีครับ ลูกชายของคุณเจียงเวยบอกว่าจะจับคนตระกูลเย่ทั้งหมด แล้วให้ผมคุกเข่าขอร้อง ผมอยากจะถามคุณสักหน่อยว่า ผมจะต้องไปคุกเข่าให้คุณเมื่อไหร่?” เย่เทียนเฉินเลยถามด้วยรอยยิ้ม

“นี่…ฮ่าๆ คุณชายเย่ล้อเล่นแล้ว ล้อเล่นใช่ไหมครับ ไอ้ลูกทรพีมันไม่รู้เรื่องรู้ราว คุณก็อย่าโกรธไปเลย ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับลูกหลานไม่เอาไหนคนนี้ คุณสั่งสอนมันไปก็พอแล้ว!” เจียงซานรีบพูดออกมาแล้วหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน

“ในเมื่อรัฐมนตรีเจียงพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกสนใจมาบ้าง จะตบรางวัลเป็นลูกเตะให้เขาสักครั้ง ดูสิว่าจะรอดไปได้หรือเปล่า…”

พลั่ก!

เจียงเวยถูกเย่เทียนเฉินจนกระเด็นออกไป…

…………………..