บทที่ 263 ตัดไมตรีของเพื่อนพ้องเมื่อวันวาน

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

พ่อของหวังป๋อเป็นคนใหญ่คนโตในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ เรียกได้ว่าควบคุมกิจการสื่อทั้งหมดของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นดาราในวงการบันเทิง คนมีชื่อเสียง หรือว่าขุนนางระดับบิ๊กบางคน ต่างก็ต้องการการป่าวประกาศผลงานการดำเนินการทางการเมืองของพวกเขาในข่าวสารเหล่านี้ ถ้าหากว่าพ่อของคิดไม่ดี จินตนาการได้เลยว่าจะทำให้คนเหล่านี้ต้องพบกับวันเวลาอันยากลำบากขนาดไหน สูญเสียตำแหน่งราชการไปเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจถูกบีบบังคับจนถึงขั้นไม่สามารถรักษาไว้ได้

หวังป๋อในตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินตบจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด นอนสลบอยู่กับพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาเป็นคนที่หยิ่งยโสที่สุด แต่ตอนนี้กลับมีสภาพเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง

พ่อขอเจียงเวยยิ่งแล้วใหญ่ เป็นถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกได้ว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง ตำแหน่งสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่ เป็นตัวตนที่สามารถเคลื่อนย้ายกองทัพได้โดยตรง ถามหน่อยว่าจะมีกี่คนที่กล้าไปหาเรื่อง?

ทว่าเจียงเวยในตอนนี้กลับถูกเย่เทียนเฉินเตะจนกระเด็นออกไป ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เขาดิ้นรนคิดจะลุกขึ้นมา แต่ในที่สุดก็ต้องหมอบลงกับพื้น ชักกระตุกไปทั้งร่าง ฝ่าเท้านี้ของเย่เทียนเฉินมีพลังไม่น้อยเลยทีเดียว

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นทายาทตระกูลใหญ่ เบื้องหลังของแต่ละคนโดดเด่นอย่างหาใดเปรียบ เคยมีใครกล้ามาทำร้ายคนต่อหน้าพวกเขาที่ไหนกัน?

เย่เทียนเฉินในตอนนี้อัดหวังป๋อและเจียงเวยจนมีสภาพเหมือนหมาตาย ความจริงนี้ทำให้ทุกคนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินจะไม่เห็นอำนาจตระกูลของหวังป๋อและเจียงเวยอยู่ในสายตา ทั้งยังกล้าลงมือทำร้ายอย่างรุนแรงอีกด้วย ในตอนนี้ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็คือ สั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ตัวตลกของเมืองหลวงอีกต่อไป ไม่ใช่ลูกหลานไม่เอาไหนที่พวกเขารังแกได้แล้ว นี่ทำให้พวกเขารู้สึกยากที่จะรับไหว จะอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเขาต่างก็เคยเหยียบย่ำเย่เทียนเฉินกันทั้งนั้น ตอนนี้เย่เทียนเฉินพลิกฐานะขึ้นมาแล้ว พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธ เย่เทียนเฉินในตอนนี้ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย แต่เขาก็สามารถกำจัดหวังป๋อและเจียงเวยลงได้ทั้งๆ ที่มีรอยยิ้มเช่นนี้ ทำให้หญิงชายที่เป็นทายาทตระกูลใหญ่กลุ่มนี้ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ตอนนี้พวกเขาเข้าใจกระจ่างชัดแล้วว่า หากต้องการจะใช้อำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาอย่างยโสโอหังต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ก็จะต้องมีจุดจบที่การถูกทำร้ายจนมีสภาพเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง

“นี่…คนคนนี้คือเย่เทียนเฉินเหรอ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง ไอ้หมอนี่เปลี่ยนไปเป็นร้ายกาขขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“หรือว่าข่าวลือในเมืองหลวงจะเป็นจริง? เย่เทียนเฉินได้ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกไปแล้ว ไม่ใช่เศษสวะโง่งมเหมือนเมื่อก่อนอีก?”

“แม้แต่เจียงซานยังไม่กล้าหาเรื่องเขา ดูท่าไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่มีเบื้องหลังจริงๆ สักหน่อย!”

ทายาทตระกูลใหญ่ที่ยังมีความฉลาดอยู่บ้างอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ดูเหมือนต่างก็รับรู้แล้วว่า เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลชั้นสามที่พวกเขาสามารถรังแกได้ตามใจอีกต่อไป กระทั่งไม่สามารถหาเรื่องได้ด้วยซ้ำ

หากจะพูดว่าเย่เทียนเฉินตบหน้าหวังป๋อจนเลือดอาบเพราะไม่รู้จักอำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังหวังป๋อ แต่การเตะเจียงเวยจนกระเด็นออกไป แล้วยังกล่าวเตือนเจียงซานพ่อขอเจียงเวยที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมให้ชัดเจนก่อนด้วยว่า จะอัดลูกของคุณแล้วนะ! นี่จะต้องบ้าอำนาจเอาแต่ใจขนาดไหนกัน? อย่างน้อยก็ไม่มีใครในที่นี้กล้าทำแบบนี้ กระทั่งไป๋อู่เองก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนี้

ความจริงแล้วหลังจากเจียงซานพ่อของเจียงเวยรับโทรศัพท์ ก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ในตอนที่รู้ว่าลูกชายของเขากำลังมีเรื่องกับเย่เทียนเฉิน ปฏิกิริยาแรกของเจียงซานก็คือ จะต้องไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างเด็ดขาด ต่อให้จะต้องทำโทษลูกของตน หรือกระทั่งต้องให้ลูกของตนขอโทษและชดใช้ให้เย่เทียนเฉินก็ไม่เสียดาย

คนที่มีตำแหน่งฐานะเหมือนเจียงซาน ย่อมได้รับข่าวสารที่คนธรรมดาไม่รับรู้ เขาเองก็ต้องเคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง นั่นก็คือการที่เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกกดจนเงียบ โดยที่ไม่ส่งผลกระทบใดๆ เป็นเพราะท่านผู้นำสูงสุดได้พูดคุยกับเย่เทียนเฉินต่อหน้า และเห็นได้ชัดว่าเขามีความชื่นชมต่อตัวเย่เทียนเฉิน จึงได้กดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้เงียบเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นจึงสามารถเรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่คับฟ้า เกรงว่าเขาเจียงซานจะไม่สามารถไปแตะต้องได้ จะอย่างไรนี่ก็เกี่ยวข้องกับท่านผู้นำสูงสุด ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเข้าไปยุ่งด้วยได้

“ยังมีอีกไหม? คนต่อไป…” เย่เทียนเฉินมองไปยังคนที่เหลืออยู่ด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนต่างก็มองไปที่เขาอย่างโกรธแค้น พวกเขาต่างก็เป็นทายาทตระกูลใหญ่ที่ยโสโอหัง เคยได้รับความอัปยศขนาดนี้ที่ไหนกัน เมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ต่างก็อยากจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินให้หนักๆ เพียงแต่น่าเสียดาย มีคนโง่อย่างหวังป๋อและเจียงซานไปสองคนแล้ว มีบทเรียนให้เห็นก่อนหน้านี้แล้ว ถึงไม่มีใครกล้าเสนอหน้าออกมาตามใจอีก

เสนอหน้าออกมายังไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญก็คือหากเย่เทียนเฉินไม่ไว้หน้า เกิดตบหน้าซักหลายครั้งขึ้นมา พวกเขาเหล่าทายาทตระกูลใหญ่ที่รู้จักแต่ตะโกนด่า ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ถ้าถูกตบจนหมอบไปกับพื้นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง แบบนั้นก็จะขายน่าเกินไปแล้ว

ตั้งแต่ต้นไป๋อู่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ในใจของเขารู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันสองปี เขาไป๋อู่ได้กลายเป็นนายท่านสองของพระคุณชายแล้ว มีตำแหน่งสูงขึ้นมาก วันนี้ไม่เหมือนวันวานอีกต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่าไม่เจอเย่เทียนเฉินสองปี เขาจะถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เมื่อเทียบกับตนเองยังดูมีความกล้าหาญทรงอำนาจที่อธิบายไม่ถูกมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

“ไม่มีแล้วเหรอ? ไป๋อู่ แกไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องพูดกับฉันหน่อยเหรอ?” เย่เทียนเฉินจ้องมองไปยังไป๋อู่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ น้องเย่ ไม่เจอกันสองปี หลังจากที่นายไปเป็นทหารฝีมือก็ไม่เลวเลยจริงๆ นับถือๆ!” ไป๋อู่ชะงักไปครูหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็เดินไปนั่งหน้าเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม นักสู้ร่างกำยำสองคนตามก็ตามหลังเข้ามาติดๆ

เมื่อคนอื่นเห็นไป๋อู่ที่เป็นนายท่านสอนของพรรคคุณชายคนนี้ออกหน้า ย่อมหลีกทางไปอยู่ด้านข้าง พวกเขาอยากจะเห็นว่าไป๋อู่จะกำจัดเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ ถ้าจะบอกว่ากระทั่งเขาที่เป็นนายท่านสองยังทำไม่ได้ หรือจะต้องให้นายท่านใหญ่ที่ลึกลับคนนั้นออกหน้ากัน?”

เย่เทียนเฉินมองไป๋อู่ หาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันเห็นว่าแกยุ่งมาก ฉันเองก็ไม่ค่อยมีเวลามากนัก เข้าประเด็นเลยแล้วกัน เรื่องเมื่อปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้น? ฉันอยากจะฟังจะพูดสักหน่อย!”

“ปีนั้น? ปีนั้นมันเรื่องอะไร? คำพูดของนายฉันฟังไม่เข้าใจเลย!”

ไป๋อู่ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดออกมาตรงๆ ขนาดนี้ มาถึงก็ถามเรื่องเมื่อปีนั้นทันที ท่าทางเขาเองก็ต้องการที่จะตรวจสอบให้ชัดเจนจริงๆ และรู้แล้วว่าเรื่องเมื่อปีนั้นมีลับลมคมใน แต่เมื่อได้ยินเย่เทียนเฉินถามแบบนี้ ไป๋อู่ก็วางใจไปเปราะหนึ่ง เนื่องจากเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินยังเป็นไอ้โง่เหมือนเมื่อก่อน ต้องการที่จะตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นให้ชัดเจนก็ไม่รู้จักหาหลักฐานไปช้าๆ คิดว่ามาหาตนจะมีประโยชน์หรืออย่างไร? ตนจะต้องบอกเขาหรือ? โง่จริงๆ

“ไป๋อู่ ปีนั้นพวกเราสองพี่น้อง ถึงแม้จะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่เลว กินดื่มเที่ยวเล่นด้วยกัน ตอนนี้แกได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ฉันก็ไม่ยุ่ง ทำได้แค่ยินดีกับแกเท่านั้น เห็นแก่มิตรภาพในวันวานของพวกเรา ฉันขอเพียงให้แกบอกเรื่องเมื่อปีนั้นกับฉัน ฉันก็จะไม่ทำให้แกลำบากใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังไป๋อู่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ทำให้ฉันลำบากใจ? ฮ่าๆ น้องเย่ นายพูดตลกจริงๆ นายคิดว่านายจะสามารถทำให้ฉันลำบากใจได้เหรอ?” ไป๋อู่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เห็นได้ชัดว่าในสายตาของไป๋อู่ ไม่ได้มองเย่เทียนเฉินเป็นพี่น้องนานแล้ว เขาในตอนนี้มีตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นนายท่านสองของพรรคคุณชาย ส่วนเย่เทียนเฉินยังคงเป็นคุณชายของตระกูลชั้นสามคนหนึ่ง ต่อให้วันนี้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเป็นการดำรงอยู่ที่ห่างชั้นกับไป๋อู่อย่างเขาเราฟ้ากับเหว เขาไม่คิดอย่างเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรเขาได้ กล่าวคือ ถ้ายังมีนายท่านใหญ่แห่งพรรคคุณชายที่ลึกลับยากจะคาดเดาอยู่ เขาไป๋อู่จะต้องกลัวอะไรอีก? อย่างน้อยเขาก็คิดแบบนี้

เย่เทียนเฉินมองไป๋อู่แล้วส่ายหน้า ในใจของเขาไม่อยากจะทำอะไรไป๋อู่จริงๆ จะอย่างไรเมื่อก่อนพวกเขาทั้งสองก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นเหมือนพี่น้อง เย่เทียนเฉินในตอนนั้นก็เป็นคุณชายเสเพลคนหนึ่ง มีเพื่อนเสเพลมากมาย แต่เพื่อนแท้มีน้อยมาก ไป๋อู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เย่เทียนเฉินที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่ใช่คนที่จะต้องแก้แค้นในเรื่องเล็กน้อย เขารู้ว่าไป๋อู่ต้องการปีนป่าย จึงได้ขายตนออกไป ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องการให้ตัวการหลักที่อยู่หลังม่านโผล่หัวออกมา ไป๋อู่ก็นับว่าเป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น เย่เทียนเฉินไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ และต้องการที่จะหักล้างกับความสัมพันธ์ในอดีต แน่นอนว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไป๋อู่ยังสามารถจดจำความสัมพันธ์ในอดีตได้ ถ้าหากไป๋อู่ไม่คิดถึงมิตรภาพที่เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องเมื่อปีนั้นเลยแม้แต่น้อย ถ้าเช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็ไม่มีอะไรจะพูด

“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ขอเพียงแกพูดออกมา ฉันก็จะเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องเมื่อปีนั้นแล้วไม่สืบสาวหาความอีก ฉันแค่ต้องการจะรู้ว่าคนที่วางแผนใส่ฉันเป็นใครกันแน่ มันร้ายกาจขนาดไหนกัน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้น ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆๆๆ เย่เทียนเฉิน แกคิดว่าแกเป็นใคร? แกคิดว่าแกมีความสามารถจริงๆ เหรอ? ฉันไม่บอกแก ต่อให้ฉันบอกแกแกก็ทำได้แค่รนหาที่ตายเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้หรอก!”

ไป๋อู่หัวเราะขึ้นมา ตอนนี้เขาฉีกหน้ากากออกแล้ว ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาอีกต่อไป ไม่คิดมองโดยสิ้นเชิง และจดจำคนที่เป็นเหมือนพี่น้องเมื่อปีนั้นคนนี้ไม่ได้อีก ในเมื่อเมื่อสองปีก่อนเขาสามารถขายเย่เทียนเฉินออกไปได้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงต้องช่วยเย่เทียนเฉินด้วย? กระทั่งต้องการที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้สิ้นซากด้วยซ้ำ ไม่มีความเป็นมนุษย์และมนุษยธรรมเหลืออยู่โดยสิ้นเชิง

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูด…” เย่เทียนเฉินมองไป๋อู่แล้วพูดยิ้มๆ เดินไปยังไป๋อู่ทีละก้าวๆ

ไป๋อู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว มือสังหารสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะปกป้องเจ้านายของตน เนื่องจากพวกเขามองออกว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ ถึงแม้เพิ่งจะมีอายุยี่สิบปี แต่ฝีมือกลับแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก ต้องทราบว่าทั่วทั้งชั้นสามของเทียนซ่างเหรินเจียน มีบอดี้การ์ดถือปืนยืนเฝ้าอยู่ห่างกันทุกสิบเมตร แต่เย่เทียนเฉินยังสามารถเตะประตูห้องส่วนตัวเข้ามาได้อย่างไรซุ่มไร้เสียง ฝีมือระดับนี้มากพอที่จะทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง

“หึ เย่เทียนเฉิน แกสามารถมาถึงที่นี่ได้นับว่าแกมีความสามารถ แต่วันนี้ก็จะต้องตายแน่นอน แกถูกกำหนดให้เป็นแค่คนไร้ค่าที่ต้องถูกผู้อื่นเหยียบย่ำ ส่วนฉันไป๋อู่ไม่ใช่ ฉัน…”

พลั่ก!

คำพูดของไป๋อู่ยังไม่ทันจะพูดจบ บริเวณที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ก็เหลือเพียงเงา มือสังหารชั้นหนึ่งทั้งสองคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร ทุกคนที่อยู่ที่นี่มองไปยังเย่เทียนเฉินจนตาค้าง เนื่องจากเขาเคลื่อนตัวไปอยู่เบื้องหน้าไป๋อู่ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว กำปั้นข้างขวาซัดลงมาที่จมูกของไป๋อู่…

……………….