ตอนที่ 172-2 ตกตะลึงไปทั่วใต้หล้า

ชายาเคียงหทัย

เมืองหงโจว 

 

 

จวนผู้ว่าการแห่งเดิม แต่บรรยากาศภายในกลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ภายในเมืองไม่เหมือนกับเมืองซิ่นหยาง ทั่วทั้งหงโจว นอกจากประตูเมืองบางส่วนแล้ว ภายในเมืองนั้นแทบจะไม่มีความเสียหายใดๆ เลย 

 

 

ที่น่าประหลาดใจคือ การสู้รบภายในเมืองที่ดำเนินไปตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ นั้น ยามที่ทัพเสริมมาถึงเมืองหงโจว กองทัพตระกูลม่อที่เดิมมีอยู่จำนวนสามหมื่นนาย เหลือเพียงหนึ่งหมื่นกว่านายเท่านั้น ส่วนทหารเจ็ดหมื่นนายของซีหลิง ก็เหลืออยู่เพียงไม่ถึงสามหมื่นดี 

 

 

บรรยากาศภายในเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทุกก้าวที่ก้าวเดินไปมีคราบเลือดสีแดงเข้มติดเท้ามาด้วย 

 

 

ศพที่กองอยู่เกลื่อนกลาดถูกเคลื่อนย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว ตามตรอกซอกซอยที่อาบไปด้วยเลือดก็ถูกทำความสะอาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน นอกจากกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศแล้ว ทุกสิ่งก็กลับไปอยู่ในสภาพก่อนเกิดสงครามอย่างไรอย่างนั้น แต่บนกำแพงเมืองและในจวนผู้ว่าการกลับไม่มีร่างของสตรีในชุดสีอ่อนที่มักอยู่ในท่วงท่าสบายๆ แต่กลับทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสบายใจได้อย่างประหลาด ส่วนผู้บัญชาการกองทัพตระกูลม่ออีกคนหนึ่ง ยามนี้กลับยังจมอยู่ในห้วงนิทรา สลบไสลไม่ได้สติ 

 

 

ภายในเรือนหลังที่อยู่ลึกที่สุดของจวนผู้ว่าการ เฟิ่งจือเหยากำลังเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องด้วยความร้อนใจ “ท่านเสิ่น ท่านอ๋องจะได้สติขึ้นมาเมื่อใดกันแน่” 

 

 

ตั้งแต่วันนั้นที่ลงมาจากภูเขา ม่อซิวเหยาที่เดิมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนักอยู่แล้ว ในที่สุดก็รับความเหนื่อยล้าและความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรงไม่ไหว เขากระอักเลือดติดต่อกันหลายทีก่อนจะล้มลงจากหลังม้า จากนั้นก็ยังไม่ได้สติขึ้นมาอีกเลย  

 

 

ส่วนคนที่ออกไปตามหาพระชายา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดพัก ทุกๆ วัน เฟิ่งจือเหยาจะส่งทหารจำนวนเกือบหนึ่งหมื่นนายให้ออกตามหาทั้งตามกระแสน้ำและทวนน้ำ แต่นี่ผ่านมาได้เจ็ดแปดวันแล้ว ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมาเลยแม้แต่นิดเดียว ในใจเฟิ่งจือเหยารู้ดีว่า คงจะไม่มีหวังเสียแล้ว 

 

 

เสิ่นหยางหันมองเขา ก่อนส่ายหน้า 

 

 

เฟิ่งจือเหยาก้าวเข้าไปจับตัวเขาไว้ เอ่ยว่า “ท่านส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไร” 

 

 

เสิ่นหยางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องจะได้สติขึ้นมาเมื่อใดนั้น ข้าไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถตอบได้” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาฝืนหัวเราะ “หมายความว่าอย่างไร ท่านคงมิได้กำลังจะบอกข้าว่าท่านอ๋องไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง” 

 

 

เสิ่นหยางส่ายหน้า “หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากท่านอ๋องคิดอยากตาย เขาก็ไม่สมควรที่จะเป็นบุตรชายของม่อหลิวฟาง ความหมายของข้าคือ สุขภาพของท่านอ๋องในยามนี้ ไม่อำนวยให้เขาได้สติขึ้นมา เดิมทีพิษในร่างกายยังขจัดออกไปไม่หมด สุขภาพอ่อนแอซ้ำยังเจ็บป่วยมานาน ยามนี้เข้าสู่ช่วงวิกฤตเสียแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ท่านอ๋องได้สติขึ้นมา คงอยู่ในอาการโกรธจัดเป็นแน่ ทั้งหมดนี้…ไม่ต้องให้ตัวท่านคิดอันใด ร่างกายของท่านก็คงทรุดลงอย่างแน่นอน” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาไม่สนใจจะรักษากิริยาอีกแล้ว ดึงทึ้งเส้นผมอย่างโกรธจัด “เช่นนั้นยามนี้จะทำเช่นไร แค่เพียงสองหรือสามวันข้ายังพอจัดการได้ สิบวันหรือครึ่งเดือน ก็ยังพอฝืนไปได้ แต่หากนานวันเข้าแล้วท่านอ๋องยังไม่ได้สติ พวกเราจะทำเช่นไร กองทัพตระกูลม่อจะทำเช่นไร ซีเป่ยจะทำเช่นไร” 

 

 

เสิ่นหยางกลอกตาใส่เขา เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าเป็นหมอ เรื่องอื่นๆ เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามผู้ใด” 

 

 

“ม่อซิวเหยายังไม่ตื่นหรือ” หานหมิงซีเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง กวาดตามองคนบนเตียงทีหนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้น 

 

 

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วมองเขา “คุณชายหาน โปรดระวังกิริยาด้วย” 

 

 

หานหมิงซียิ้มเยาะ “ระวังกิริยา? ระวังกิริยากับผีน่ะสิ! เกิดเรื่องขึ้นกับอาหลี แต่เขามาเอาแต่นอนแกล้งตายเช่นนี้หรือ หลบไป…”  

 

 

เฟิ่งจือเหยาขวางหน้าเขาไว้ เอ่ยเสียงขรึมว่า “คุณชายหาน ข้าให้เกียรติท่านที่ท่านเป็นสบายสนิทของพระชายา จึงยอมให้ท่านสามส่วน อย่าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้!” 

 

 

หานหมิงซียิ้มอย่างโกรธจัด “เจ้ายังจำพระชายาของพวกเจ้าได้นี่…ช่างหาได้ยากนัก ม่อซิวเหยา หากเจ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ที่จวินเหวยต้องมาเจอคนอย่างเจ้า ถือเป็นความซวยตลอดแปดชาติของนางแล้ว” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาคิดจะเอ่ยขัด แต่กลับถูกเสิ่นหยางจับไว้เสียก่อน เสิ่นหยางส่ายหน้า เป็นสัญญาณให้เฟิ่งจือเหยายืนอยู่เงียบๆ อย่าเข้าไปยุ่ง 

 

 

หานหมิงซีส่งเสียงหึเบาๆ เดินไปข้างเตียงก้มลงมองใบหน้าที่ขาวซีดประหนึ่งกระดาษของบุรุษที่นอนอยู่ จะมองอย่างไรก็ไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย หากมิใช่เพื่อบุรุษผู้นี้ อยู่ดีๆ จวินเหวยที่เกิดเป็นคุณหนูอยู่ในตระกูลผู้ดีจะต้องมาเสี่ยงตายอยู่ในสนามรบเช่นนี้หรือ ทั้งๆ ที่ตั้งครรภ์อยู่แต่ก็ยังมิอาจดูแลร่างกายให้ดีเช่นนี้หรือ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความไร้ความสามารถของม่อซิวเหยาแท้ๆ! 

 

 

“เจ้านอนต่อไปเลยนะ! นอนให้ตายไปเลยยิ่งดี ความแค้นของจวินเหวย ข้าจะคอยชำระให้เอง หึ! ขี้ขลาด ปัญญาอ่อน เศษสวะ…” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาอ้าปากค้าง มองหานหมิงซีที่ใช้คำด่าทั้งหมดที่เขารู้มาด่าทอม่อซิวเหยาตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งจือเหยาสีหน้านิ่งแข็งอย่างไม่รู้ว่าตนควรมีปฏิกิริยาเช่นไรดี สวรรค์เบื้องบน เกรงว่าตั้งแต่สถาปนาตำหนักติ้งอ๋องขึ้นมานี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าด่าว่าท่านติ้งอ๋องเช่นนี้มาก่อน 

 

 

ดูเหมือนหานหมิงซีจะระบายความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดหลายวันนี้ออกมาจนหมดแล้ว สีหน้าของเขาจึงดูดีขึ้นไม่น้อย เขาปรายตามองม่อซิวเหยา ส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าอยากแกล้งตาย ก็แกล้งต่อไปเถิด ข้าไม่รับใช้เจ้าแล้ว!” พูดจบก็เดินออกไปรวดเร็วประหนึ่งลมหอบทันที 

 

 

เฟิ่งจือเหยากะพริบตาปริบๆ มองเสิ่นหยางด้วยสายตาว่างเปล่า 

 

 

เสิ่นหยางหันมองคนบนเตียง ก่อนส่ายหน้าแล้วหมุนตัวเดินออกไป 

 

 

เช้ามืด เฟิ่งจือเหยาถูกองครักษ์เรียกมายังเรือนของม่อซิวเหยาด้วยความร้อนรน มิใช่ด้วยเหตุผลใด แต่เป็นเพราะ เมื่อเช้าองครักษ์ที่คอยรับใช้ท่านอ๋องเข้ามาในห้อง พบว่า คนที่ควรจะนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียง หายไปเสียแล้ว 

 

 

ภายใต้การอารักขาขององครักษ์ลับนับร้อยนาย ทั้งยังมีกองทัพตระกูลม่อจำนวนหลายแสนนายทั้งในเมืองและนอกเมืองคอยดูแลอยู่เช่นนี้ ท่านอ๋องกลับหายตัวไปได้อย่างไร้ร่องรอย จึงทำให้ทุกคนต่างร้อนรนทำอันใดไม่ถูก 

 

 

เมื่อเข้าไปในเรือน เฟิ่งจือเหยายกขาถีบประตูที่ปิดอยู่ครึ่งบานเข้าไปอย่างไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ชะงักค้าง 

 

 

เดิมทีภายในห้องที่บอกว่าท่านอ๋องหายตัวไป บนเตียงยังคงว่างเปล่า แต่ริมหน้าต่างของห้องโถงข้าง มีร่างที่ผ่ายผอมยืนตัวตรงอยู่แน่วอยู่ แต่ที่ทำให้เฟิ่งจือเหยาตกใจคือ ผมที่ปล่อยยาวลงมาทางด้านหลังกลายเป็นสีขาวประหนึ่งหิมะสะท้อนกับแสงแดดจนเขาแสบตา “ท่าน…ท่านอ๋อง?” 

 

 

เมื่อตั้งสติได้ เฟิ่งจือเหยาก็หันตะโกนออกไปทางหน้าประตูว่า “ไปตามท่านเสิ่นมาที!” 

 

 

ม่อซิวเหยาหันกลับมามอง เมื่อเฟิ่งจือเหยาเห็นชายตรงหน้าก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่งนัก ผมสีขาวที่ตกลงมาปลกมาอยู่ข้างใบหน้าของม่อซิวเหยา ทำให้ใบหน้าที่ซูบผอมอยู่แล้ว ยิ่งดูอ่อนแรงและซีดขาวขึ้นไปอีก แต่สภาพจิตใจของเขากลับดูดีขึ้นอย่างประหลาด ไม่มีร่องรอยของสิ่งที่เสิ่นหยางได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ว่าร่างกายเขาน่าจะทรุดลงจากความโกรธจัด สำหรับเฟิ่งเจือเหยาแล้ว สุขภาพของเขาดูจะดีกว่าก่อนเกิดเรื่องขึ้นกับพระชายาอยู่สักเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพียงแต่ในแววตาที่เคยอ่อนโยนแต่แฝงความเย็นชาไว้นั้น กลับมีประกายคมกล้าเพิ่มขึ้นมา จนทำให้เฟิ่งจือเหยานึกถึงคมดาบที่จุ่มลงไปในบ่อเลือด ประหนึ่งภายใต้ความนิ่งสงบนั้น มีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่น่าหวาดกลัวแฝงกายอยู่ เมื่อใดก็ตามที่ได้รับการปลดปล่อยออกมา…เฟิ่งจือเหยาถึงกับใจสั่นอย่างไม่กล้าคิดต่อ “ท่าน…ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นไร?” 

 

 

ม่อซิวเหยายกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เฟิ่งจือเหยากลับไม่รับรู้ถึงรอยยิ้มเลยแม้แต่นิดเพียว ได้ยินเพียงเขาเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ข้าหลับไปกี่วันแล้ว” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาใจสั่นเล็กน้อย “เก้าวันแล้ว” 

 

 

“มีข่าวอาหลีหรือไม่” 

 

 

“เฟิ่งจือเหยาก้มหน้าลง เอ่ยเสียงขรึมว่า “พระชายามีบุญวาสนามาก จะต้องสามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มี…” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “บุญวาสนามาก…จากร้ายกลายเป็นดี? ข้าไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา ไม่ร้องขอต่อสวรรค์ หากนางตายเสียแล้ว ข้าจะทำให้ใต้หล้านี้ต้องกลายเป็นนรก และเอาแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ มาสังเวยให้กับนาง!” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาชะงักไป ในที่สุดก็ส่ายหน้าอย่างยอมแพ้ หากม่อซิวเหยาคลุ้มคลั่ง เศร้าโศกหรือเจ็บปวด เขายังพอเอ่ยอันใดเพื่อเกลี้ยกล่อมเขาได้บ้าง แต่เมื่อคนตรงหน้า เอ่ยคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องตระหนกตกใจได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ เขาก็ถึงกับพูดอันใดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าจะพูดอันใดได้บ้าง หรือบางทีเขาอาจไม่กล้า 

 

 

ภายในห้องเงียบสนิท ครู่ใหญ่ ม่อซิวเหยาถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เล่าเรื่องอาหลีให้ข้าฟังที” 

 

 

เฟิ่งจือเหยาไม่รู้จะเล่าเรื่องใดดี แต่จะไม่เล่าก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ม่อซิวเหยาออกเดินทางไปทั้งหมดเท่าที่ตนนึกออกให้เขาฟังโดยละเอียด ในยามที่ไม่อาจละเว้นเรื่องเกี่ยวกับบุตรในครรภ์ที่อายุไม่ถึงสองเดือนดีนั้น เฟิ่งจือเหยาลอบเหลือบมองบุรุษผมสีเงินที่เอาแต่หันหน้าออกนอกหน้าต่าง นอกจากเห็นมือเขาที่จับขอบหน้าต่างกำแน่นขึ้นแล้ว ก็ไม่เห็นความวูบไหวบนใบหน้าที่นิ่งสงบของเขาแม้แต่น้อย 

 

 

เสิ่นหยางกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกระเป๋ายา เฟิ่งจือเหยาจึงหยุดพูด แล้วเบี่ยงตัวเปิดทางหน้าประตูให้เขาเข้ามา 

 

 

เสิ่นหยางที่ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็อึ้งไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าภาพตรงหน้ามิใช่สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้เลยแม้แต่น้อย การที่ผมทั้งศีรษะเปลี่ยนเป็นผมขาวได้ภายในชั่วข้ามคืน มิใช่ว่าไม่เคยมีการจดบันทึกไว้มาก่อน แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยตาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  

 

 

อีกด้านหนึ่ง เสิ่นหยางก็พอเข้าใจว่า เหตุใดม่อซิวเหยาถึงได้ได้สติขึ้นมาได้รวดเร็วเช่นนี้ ทั้งยังสามารถลุกยืนได้เอง มิใช่ร่างกายทรุดลงจนต้องนอนอยู่กับเตียง นั่นเพราะความโกรธ ความโศกเศร้าและความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจนั้น มิได้หายไปแม้ในขณะที่เขาไม่ได้สติ นั่นจึงทำให้ผมของเขากลายเป็นสีขาวเหมือนในขณะนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเขาพอปล่อยวางได้บ้างแล้ว ขอเพียงติ้งอ๋องไม่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์และจิตใจ ในยามนี้ถือว่าอยู่ในระยะปลอดภัยเป็นการชั่วคราว ขอเพียงมีเวลา เขาจะต้องสามารถหาตัวยาที่รักษาเขาให้หายสนิทได้อย่างแน่นอน 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสิ่นหยางก็รู้สึกเบาใจไม่น้อย เขาเดินเข้าไปเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านอ๋อง ได้โปรดให้ข้าน้อยได้ตรวจชีพจรท่านดูหน่อยเถิด” 

 

 

ม่อซิวเหยามิได้ขัดขืน นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ริมหน้าต่าง แล้วหงายข้อมือลงบนโต๊ะ 

 

 

เสิ่นหยางก้าวเข้าไปจับชีพจรเขา พิจารณาชีพจรของม่อซิวเหยาด้วยความงงงวยอยู่พักใหญ่ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สุขภาพของท่านอ๋อง…ณ ตอนนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงอันใน แต่ท่านอ๋องก็อย่าได้เหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไป รักษาตัวไว้ก่อนดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ลำบากท่านเสิ่นแล้ว” ม่อซิวเหยาพยักหน้า 

 

 

ครานี้ เสิ่นหยางเริ่มรู้สึกว่าม่อซิวเหยามีบางอย่างแปลกไป ม่อซิวเหยามิใช่คนไข้ที่เอาใจยาก แต่ก็มิใช่คนไข้ที่ยอมฟังคำพูดของหมอ ยามนี้ไม่รู้ด้วยเหตุใด สีหน้าท่าทางที่ดูตั้งใจฟังคำสั่งของเขา กลับทำให้เสิ่นหยางรู้สึกไม่สบายใจ 

 

 

“หลายวันนี้ท่านอ๋อง…เกรงว่าจะกระทบกระะเทือนทางจิตใจ ข้าน้อยจะจัดยาให้ ท่านอ๋องคอยดื่มตามที่องครักษ์ลับจัดให้นะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้ารู้แล้ว” ม่อซิวเหยาพยักหน้า นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจับผมขาวที่เคลียอยู่บนบ่าขึ้นดู “ท่านเสิ่นช่วยเตรียมยาสำหรับปกปิดผมขาวให้ทีเถิด” 

 

 

เสิ่นหยางอึ้งไป พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับบัญชา” 

 

 

“เรียนท่านอ๋อง ด้านนอกเมืองมีทูตมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูเข้ามารายงาน 

 

 

ม่อซิวเหยาหลุบตาลง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “ให้เขาเข้ามา”