ตอนที่ 173-1 ปฏิกิริยาต่อราชโองการ

ชายาเคียงหทัย

“ข้าน้อยซื่อหลาง แห่งกระทรวงขุนนาง หลิ่วฉงอวิ๋นคารวะติ้งอ๋อง”

 

 

ครานี้ ทูตที่มาถ่ายทอดราชโองการต่างกับใต้เท้าที่โชคร้ายเมื่อคราก่อนอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆ เพียงดูจากความยิ่งใหญ่ที่มาแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นซื่อหลางกระทรวงขุนนาง เกิดในตระกูลหลิ่ว คณะที่ตามมาด้วยถึงขั้นมีขุนนางสายบู๊ถึงสามสี่คน นี่ยังไม่รวมทหารจำนวนสามพันกว่านายและองครักษ์อีกหลายร้อยนายที่ถูกกันไว้อยู่ด้านนอก

 

 

เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ ถึงกับกระตุกมุมปาก ในดวงตามีประกายยิ้มเยาะ ม่อจิ่งฉีทำเช่นนี้หมายความเช่นไร

 

 

บนเก้าอี้ ใบหน้าม่อซิวเหยายังคงขาวซีด แต่กลับดูไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้เขายังนอนซมอยู่บนเตียงไม่รับรู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น เส้นผมที่ก่อนหน้านี้เคยขาว ก็ได้ยาจากเสิ่นหยาง ทำให้กลับไปดำขลับเช่นเดิม เมื่อรวมกับรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าอันหล่อเหลา สภาพของม่อซิวเหยาดูดีเสียจนไม่เหมือนกับคนที่ภรรยาแสนรักเพิ่งตกหน้าผาหายตัวไปเลยแม้แต่น้อย

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นมองติ้งอ๋องที่นั่งอยู่ด้านบน แล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ท่าทางของติ้งอ๋องที่เกินการคาดการณ์ของเขาไปมากนก ทำให้เขารู้สึกประหม่าไม่น้อย ด้วยเพราะเหตุนี้ ถึงแม้เขาจะถือราชโองการลงอาญาม่อซิวเหยาอยู่ในมือ แต่กลับยังคงก้าวขึ้นไปทำความเคารพเขาด้วยความนอบน้อม

 

 

“ใต้เท้าหลิ่วไม่ต้องมากพิธี” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ โบกมือก่อนชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง “ใต้เท้าหลิ่ว เชิญนั่ง”

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นเหลือบมองม่อซิวเหยาด้วยความระมัดระวัง แต่กลับพบเพียงว่า ในแววตาที่ราบเรียบของอีกฝ่ายนั้น ดูไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง จึงทำได้เพียงยืนขึ้นเอ่ยขอบคุณ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยากวาดตามองไปยังเฟิ่งจือเหยาที่อยู่ข้างๆ

 

 

เฟิ่งจือเหยายิ้มอย่างเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี ก่อนนั่งลงตรงข้ามหลิ่วฉงอวิ๋น

 

 

ไม่นาน แม่ทัพที่ประจำการอยู่ในเมืองหงโจวทั้งหลายก็ทยอยมาถึง และนั่งลงถัดกันลงมา

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นเมื่อเห็นดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งดูแข็งขืนขึ้น

 

 

ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาลงด้วยท่าทีสบายๆ หันไปเอ่ยกับหลิ่วฉงอวิ๋นยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าหลิ่ว ช่วงนี้สุขภาพร่างกายข้าไม่ค่อยดีนัก มิอาจออกไปต้อนรับราชโองการที่หน้าประตูเมืองได้ โปรดอภัยด้วย”

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มของม่อซิวเหยาที่ดูเป็นกันเองเช่นนั้น หลิ่วฉงอวิ๋นเพียงรู้สึกขนลุกไปหมด รีบเอ่ยกลั้วหัวเราะตามว่า “ท่านอ๋องล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องของพระชายา…พระชายาถือเป็นสตรีที่แปลกประหลาดไม่เหมือนผู้ใดในใต้หล้า คนดีย่อมมีสวรรค์คอยคุ้มครอง ท่านอ๋องโปรดทำใจให้สบาย”

 

 

ม่อซิวเหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว พยักหน้าเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิ่วพูดถูกแล้ว อาหลีของข้าเป็นสตรีแปลกประหลาดที่ไม่เหมือนผู้ใดในใต้หล้าจริงๆ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยชมพระชายาขึ้นบ้างว่า นางเป็นสตรีที่มีคุณธรรมดีเลิศเพียงใด มีทั้งความสามารถและความงามอย่างไรบ้าง และวางแผนนำทัพกองทัพตระกูลม่อจนสามารถปราบทัพซีหลิงได้อย่างไม่มีผู้ใดเทียม

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นจึงทำได้เพียงยิ้มตามพร้อมเอ่ยชื่นชมความสามารถและความดีความงามของเยี่ยหลีมิได้หยุด จนไม่รู้จะเอ่ยธุระของตนขึ้นมาอย่างไรดี

 

 

แต่ยังโชคดีที่ ที่ม่อซิวเหยามิได้นั่งอยู่ที่นี่เพราะต้องการทให้คนมานั่งชื่นชมความดีงามของชายาตนเอง ในขณะที่หลิ่วฉงอวิ๋นกำลังคิดไม่ออกว่าจะพูดสิ่งใดต่อนั้นเอง เขาก็ช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้ “ข้าจำได้ว่าใต้เท้าหลิ่ว เป็นหลานชายสายหลักคนโตของเสนาบดีหลิ่ว? เสนาบดีหลิ่วสบายดีหรือไม่”

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นตอบอย่างระมัดระวังว่า “ท่านปู่สุขภาพแข็งแรงดีพ่ะย่ะค่ะ ยังเอ่ยถึงท่านอ๋องบ่อยๆ ที่ต้องลำบากกรำศึกอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ยามข้ายังเด็กก็เคยได้รับคำชี้แนะจากเสนาบดีหลิ่วมาไม่น้อย ท่านเสนาบดีผู้เฒ่าสุขภาพแข็งแรงดี ข้าก็วางใจ จริงสิ ที่ฝ่าบาทให้ประมุขตระกูลหลิ่วในอนาคตอย่างใต้เท้าหลิ่วมาด้วยตนเองเช่นนี้ เชื่อว่าคงมีเรื่องสำคัญมากเป็นแน่ หวังว่าข้าคงไม่ได้ทำให้ธุระของใต้เท้าหลิ่วล่าช้าลงกระมัง”

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นรีบเอ่ยว่ามิกล้าๆ อย่างไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไรดี บรรยากาศในยามนี้เป็นไปด้วยดีเสียจนเขาไม่รู้จะนำราชโองการของฝ่าบาทออกมาเช่นไรดี เกรงว่าหากม่อซิวเหยาไม่เอ่ยปากถามขึ้นก่อน แล้วคุยยาวไปเรื่อยๆ เขาคงไม่รู้จะหาโอกาสนำราชโองการออกมาประกาศได้อย่างไร

 

 

แน่นอนว่าเขาสามารถประกาศราชโองการได้ทันทีที่มาถึง แต่ถึงอย่างไรหลิ่วฉงอวิ๋นก็เป็นหลานชายสายหลักคนโตของตระกูลหลิ่ว จึงได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างทายาทที่จะขึ้นมาเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป จึงไม่ใช่คนที่มีความสามารถทั่วๆ ไปจะสามารถเทียบเคียงได้

 

 

หากว่าการตายของหวังจิ้งชวนดูไม่น่าสงสัยแล้ว หลิ่วฉงอวิ๋นไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ตัวเขาเองรู้จักนิสัยหวังจิ้งชวนและการวางตัวของเขาเป็นอย่างดี ด้วยเพราะเหตุนี้ เขาจึงยิ่งระมัดระวังในการมาทำหน้าที่ที่เขาไม่คิดอยากมาทำนี้แต่แรก และจึงไม่กล้าแสดงท่าทีได้ใจต่อหน้าติ้งอ๋องแม้แต่น้อย

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นยืนขึ้น หันไปประสานมือคารวะม่อซิวเหยา เอ่ยว่า “ข้าน้อยมาพร้อมกับราชโองการของฝ่าบาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านติ้งอ๋องรับราชโองการ”

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มตอบรับ แต่หลังที่นั่งเอนอยู่กับเก้าอี้เล็กน้อยนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะขยับแม้แต่น้อย อย่าว่าจะยืนขึ้นรับราชโองการเลย แม้แต่จะลุกขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อแสดงความเคารพสักเล็กน้อยก็ยังไม่มี ผู้บัญชาการทหารที่นั่งอยู่ทั้งหมดเองก็ไม่แสดงความเคารพให้เห็นเช่นเดียวกัน

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นกระตุกมุมปากเล็กน้อย แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เขามาเพื่อประกาศราชโองการ มิได้มาเพื่อปกป้องอำนาจบารมีของฮ่องเต้ ขอเพียงมีชีวิตรอดกลับเมืองหลวง จะกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์เช่นไรก็ได้ แต่ก่อนเอื่นเขาจะต้องประกาศราชโองการให้จบและยังมีชีวิตรอดกลับไปเสียก่อน

 

 

เขาหันกลับไปหยิบม้วนผ้าสีเหลืองทองในกล่องผ้าไหมในมือบ่าวผู้ติดตามมากางออก แล้วหลิ่วฉงอวิ๋นก็อ่านเสียงก้องว่า “ด้วยโองการฟ้า ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า ติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยา กระทำการสังหารผู้บริสุทธิ์โดยพลการ ถือเป็นการละเมิดอำนาจการปกครองของผู้เป็นประมุข ข้าเห็นแก่คุณงามความดีที่เคยทำไว้ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ละเว้นโทษประหาร ลดขั้นจากซื่อสีอ๋องเป็นจวินอ๋อง พร้อมริบเบี้ยหวัดเป็นเวลาสามปี!”

 

 

ภายในห้องโถงใหญ่เงียบกริบ หลิ่วฉงอวิ๋นรับรู้ได้ถึงสายตาโดยรอบที่มองมายังตนอย่างไม่เป็นมิตร มือที่ถือราชโองการอยู่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ หลิ่วฉงอวิ๋นพยายามรักษาสีหน้าของตนให้สงบราบเรียบ หลิ่วฉงอวิ๋นพับราชโองการในมือ ก่อนก้าวขึ้นหน้ามาพร้อมเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง โปรดรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาสะบัดแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่แขนเสื้อม้วนขึ้น ราชโองการสีเหลืองอร่ามก็ลอยมาตกอยู่ในมือของเขาทันที

 

 

ม่อซิวเหยาเปิดออกอ่านข้อความที่เขียนขึ้นด้วยลายมือที่คุ้นตา ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ รอยยิ้มที่มุมปากดูชัดเจนขึ้นแต่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นไปอีก

 

 

เฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดถึงกับกระถดตัวเข้าไปในเก้าอี้ ส่วนผู้บัญชาการทหารที่เหลือ ต่างก็พากันก้มหน้าก้มตา ทำประหนึ่งไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น

 

 

“ลดตำแหน่ง…เป็นจวินอ๋อง ริบเบี้ยหวัดเป็นเวลาสามปี?” มีเพียงเสียงม่อซิวเหยาที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องโถงใหญ่ ภายในน้ำเสียงฟังดูเจือแววขบขันอย่างประหลาด “ฝ่าบาทมีรับสั่งเท่านี้เองหรือ หือ?”

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นลอบปาดเหงื่อในใจ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า ”เรียนท่านอ๋อง ฝ่าบาทมิได้มีความหมายเป็นอื่น เพียงแต่…เรื่องในครานี้อย่างไรก็ต้องอธิบายให้คนทั้งใต้หล้าได้รับรู้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฝ่าบาทมิได้เอ่ยถึงเรื่องเช่นว่า อำนาจบัญชาการกองทัพตระกูลม่อ…ตำหนักติ้งอ๋อง อ้อ ไม่สิ…ตำหนักติ้งจวินอ๋องที่มีทรัพย์สมบัติเกินกว่าที่จวินอ๋องพึงมีหรือ”

 

 

หลิ่วฉงอวิ๋นใจเต้นขึ้นทันที ฮ่องเต้มีรับสั่งถึงเรื่องเหล่านี้จริงๆ ซ้ำยังเอ่ยเป็นนัยๆ กับเขาว่า ทางที่ดีให้เขาหาทางนำสิ่งเหล่านี้จากติ้งอ๋องกลับไปด้วย และถึงขั้นรับปากว่าจะเลื่อนขั้นให้เขาเป็นเจ้ากรมขุนนางเลยทีเดียว

 

 

แต่อย่างไรก็ดี หลิ่วฉงอวิ๋นไม่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับติ้งอ๋องอยู่แล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว ตำแหน่งเจ้ากรมที่เขาสามารถได้มาไม่ช้าก็เร็วแล้ว การไม่ยั่วโมโหติ้งอ๋องและมีชีวิตรอดกลับไปดูจะสำคัญกว่าเล็กน้อย ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลหลิ่วจะจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แต่สำหรับหลิ่วฉงอวิ๋นแล้ว การขออภัยโทษจากฝ่าบาทที่จัดการหน้าที่ไม่ได้ตามพระประสงค์นั้น ดูจะง่ายกว่าการยั่วให้ติ้งอ๋องโกรธมากนัก