ตอนที่ 44 คิดเล็กคิดน้อย

หลังจากจ้าวเหวินเทาขายของเสร็จเขาก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน ทว่าตอนที่กลับมากลับได้ยินเสียงโทรโข่งขนาดใหญ่จากบ้านของหัวหน้าฝ่ายผลิต อีกฝ่ายกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งลงข่าวในวันนี้ ในนั้นระบุว่าทางใต้มีหนึ่งครอบครัวที่รับเหมาสร้างเตาเผาอิฐจนกลายเป็นครัวเรือนหมื่นหยวน

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งครอบครัวที่เลี้ยงไก่ และกลายเป็นครัวเรือนหมื่นหยวนเช่นกัน

ครั้นได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาจึงเป็นประกาย รีบเข้าไปฟังที่บ้านของหัวหน้าฝ่ายผลิตโดยเร็ว ซึ่งในเวลานี้ที่นี่มีคนมายืนมุงจำนวนมาก

ในปีนี้ครอบครัวที่มีเงิน 100 หยวนก็นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยแล้ว ครัวเรือนหมื่นหยวนเลยนะ นั่นมันแนวคิดอะไรเนี่ย?

ตอนที่จ้าวเหวินเทามาถึง จ้าวเหวินจื้อก็อยู่ด้วย

“เหวินจื้อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?” จ้าวเหวินเทาถาม

“ที่หัวหน้าทีมเฒ่าอ่านอยู่ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่ฉันเอากลับมา ฉันเองก็ได้ยินมาจากอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่บอกว่าสองวันนี้จะมีข่าวยืนยันออกมา เมืองข้าง ๆ ก็เริ่มดำเนินการระบบสัญญารับผิดชอบ [1] แล้วนะ” จ้าวเหวินจื้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเหวินเทากล่าว “ไม่เลวเลย ๆ นายยังไม่ลืมคนในหมู่บ้าน มีข่าวดีก็รีบเอากลับมาแจ้งให้ทราบทันที!”

คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินต่างก็แสดงความเห็นว่าจ้าวเหวินจื้อนั้นไม่เลวเลย

 

คุณพ่อจ้าวและพวกพี่ชายต่างก็กำลังฟังการประกาศอยู่ เรื่องสำคัญแบบนี้ทำให้พวกเขาต่างรีบมาในทันที

ผ่านไปครู่หนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านก็ออกมาพลางกล่าวว่า “เชื่อว่าทุกคนคงได้ยินข่าวบนหนังสือพิมพ์กันหมดแล้ว หมู่บ้านขนาดเล็กจะได้เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่กันแล้ว ดังนั้นพวกเราทางนี้ก็คงต้องลองกันสักหน่อย สถานการณ์เป็นยังไงทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ บนหนังสือพิมพ์ที่ประกาศออกมาไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน”

แต่คำพูดนี้เพิ่งจะกล่าวจบ ก็มีคนพูดขึ้นมา

คนคนนั้นคือภรรยาของเหล่าหวังสามที่อยู่บ้านติดกัน “หนังสือพิมพ์ประกาศไม่ใช่เรื่องโกหกอะไรกัน ก่อนหน้านี้ก็ประกาศผ่านดาวเทียมใหญ่โตว่าจะมีแปลงที่ดินสร้างผลผลิตหมื่นชั่ง มีหัวไชเท้าน้ำหนักหนึ่งพันชั่งต่อหัวไม่ใช่เหรอคะ? นั่นก็ประกาศอยู่บนหนังสือพิมพ์เหมือนกัน!”

  

หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับสะอึก เขาจ้องมองพลางพูดว่า “ตอนนี้มันยุคสมัยไหนแล้ว จะไปเทียบกับก่อนหน้านี้ได้ยังไง? ตอนนี้ต่างก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว ปีที่แล้วภาคใต้ก็มีการปฏิรูปและเปิดเสรี หรือว่ายังเป็นเรื่องโกหกอีก?”

ภรรยาของเหล่าหวังสามมองเขาด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

คนอื่น ๆ ต่างพากันเงียบเสียง เห็นได้ชัดว่ามีความคิดที่หลากหลาย

“พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปในเมืองไปถามให้แน่ใจ แต่ในใจของทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่แน่อาจจะไม่สามารถทำงานแบบชักช้าอืดอาดและกินร่วมกันได้อีกแล้วนะ” หัวหน้าหมู่บ้านพูดเยาะเย้ย

  

เป็นเพราะต่างก็ทำงานร่วมกัน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เอาแต่ทำงานชักช้าอืดอาดเพื่อให้ผ่านไปวัน ๆ ฝั่งนี้พวกเขาแบ่งอาหารกันแบบอ้างตามครัวเรือนห้าส่วนและทำงานอีกห้าส่วน

ถ้าหากคนในหมู่บ้านสามารถแบ่งได้ ก็จะได้แต้มค่าแรงเยอะขึ้น แต่พวกที่ได้แต้มค่าแรงน้อยก็ยังได้ส่วนแบ่งอยู่ดี

 

มีบางคนชอบกินแต่ขี้เกียจทำงาน ก็ทำให้คนที่ขยันต้องเสียเปรียบ

หากมีระบบความรับผิดชอบแบบนี้ ถึงเวลานั้นก็ไม่สามารถทำงานแบบชักช้าอืดอาดได้แล้ว

หลายครอบครัวจึงเห็นชอบ ขณะที่หลายครอบครัวต่างโศกเศร้า

ยกตัวอย่างเช่นตระกูลจ้าวทางฝั่งนี้ คุณพ่อจ้าว จ้าวเหวินเทาและพวกพี่ชายกำลังนั่งพูดคุยกัน

 

“เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปรึกษาหรอก ผมไม่ลงนาแน่นอน ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าผมไม่ได้ทำนามาตั้งแต่เล็ก ๆ ถึงเวลานั้นถ้าหากมีระบบความรับผิดชอบก็ไม่ต้องนับผมเข้าไป แน่นอนว่า อาหารส่วนนั้นผมก็ยังต้องการ แต่ขอไม่เยอะหรอก เพราะผมปลูกเองกินเองได้” จ้าวเหวินเทาพูด

“เจ้าหก นายทำสิ่งที่มันน่าเชื่อถือหน่อยสิถึงจะดี นายไปทำค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร? หนึ่งวันก็ได้มาแค่ไม่กี่เหมา นายจะเลี้ยงน้องสะใภ้หกกับลูกของนายในภายภาคหน้ายังไง? เลี้ยงลูกต้องใช้อาหารเยอะมากเลยนะ!” พี่รองจ้าวเอ่ยขึ้น

“แต่ก็ไม่หรอก เจ้าหกคนแบบนายน่ะเขาเรียกตาบอดซ้ำ ๆ ซาก ๆ!” พี่สามจ้าวกล่าว เขาเองก็กังวลว่าถึงเวลานั้นเจ้าหกไม่ได้เงิน แล้วจะมาหยิบยืมเงินและอาหารของตัวเอง ไม่ต้องพูดหรอก เรื่องนี้เจ้าหกทำแน่นอนอยู่แล้ว!

 

อีกอย่างเขาก็ออกไปขายถั่วแค่ไม่กี่วัน วันนี้ก็ซื้อเนื้อกลับมาอีกครึ่งชั่งอย่างไม่เสียดาย เจ้าหกนี่มันจริง ๆ เลย!

“เจ้าหก นายเชื่อพี่สองกับพี่สามเถอะ ภาระเลี้ยงดูครอบครัวมันหนักนะ!” พี่สี่จ้าวก็โน้มน้าวใจอีกเสียง ตอนนี้เขารู้ซึ้งถึงภาระที่หนักอึ้งแล้ว เพราะปีนี้เขาก็อายุยี่สิบแปดแล้ว แต่ก็มีลูกสาวสองคน ไม่มีลูกชายสักคนเลย

 

ต่อให้ปีหน้าโชคดีให้กำเนิดลูกชายออกมา แต่ก็อายุจะสามสิบแล้ว ต้องเลี้ยงอีกตั้งสิบกว่าปี ภาระบนร่างกายของเขาไม่ได้ผ่อนคลายลงเลยจริง ๆ!

“อย่าให้ถึงเวลานั้นนายคนเดียวเลี้ยงลูกเมียไม่ไหว แล้วยื่นมือมาขอความช่วยเหลือคนอื่นก็แล้วกัน” พี่สามจ้าวพูดเสริมหนึ่งประโยค

จ้าวเหวินเทาเดิมทีก็มีสีหน้าดี ๆ อยู่ คิดว่าพวกพี่ ๆ เป็นห่วงตนเอง ภายในใจจึงรู้สึกมีความสุขมาก แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็พลันมีสีหน้าอึมครึมลง “จ้าวเหวินเทาคนนี้ขอพูดไว้ตรงนี้เลย ทุกคนไม่ต้องกังวลหรอก ถึงเวลานั้นต่อให้ผมหิวตาย ผมก็จะพาภรรยาไปหาของกิน ไม่แบมือขอทุกคนหรอก!”

พูดจบ เขาก็เดินออกไป ไม่คงไม่คุยมันแล้ว

“เจ้าสามทำไมนายพูดแบบนี้?” พี่รองจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูด

พี่สามจ้าวเบ้ปาก “ผมพูดผิดตรงไหน? หมอนั่นทำงานไม่เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ หลังจากนี้มีเรื่องอะไรก็ต้องให้พวกเราช่วยอีก มีสิทธิ์อะไรล่ะ?”

 

“พี่สามอย่าใจแคบไปหน่อยเลย นี่ก็พี่น้องนะ ช่วยเหลือกันและกันก็เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว” พี่สี่จ้าวพึมพำ

 

เขาไม่มีลูกชาย เขาเองก็คิดไว้ว่าถ้าหากพวกพี่ ๆ มีอนาคตแล้ว จะช่วยเหลือเขาสักหน่อย อีกอย่างแม้ว่าจะแยกบ้านไปแล้ว แต่ปากกาก็เขียนว่าตระกูลจ้าวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

คุณพ่อจ้าวเหล่ตามองเจ้าสามที่เป็นคนใจแคบอยู่เสมอ “เจ้าหกไม่เคยเป็นตัวถ่วงให้กับที่บ้านมาตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นเพราะเขาทำให้เราได้มีเนื้อกินมากขนาดไหนพวกแกก็น่าจะรู้ดี คำพูดที่บอกว่าหลังจากนี้ถ้าเจ้าหกไม่มีข้าวกินก็อย่ายื่นมือมาขอความช่วยเหลือ ฉันว่าแกพูดเร็วเกินไปนะเจ้าสาม”

พี่สามจ้าวเถียงคอเป็นเอ็น “ที่บอกว่าพูดเร็วเกินไปก็ไม่รู้หรอกครับว่าใครกันแน่ ถ้าเขาไม่ทำตามระบบสัญญา ถึงเวลานั้นจะทำยังไง?”

“พอแล้ว เรื่องนี้พอแค่นี้ก่อน ไหน ๆ ก็แยกบ้านไปแล้ว ถึงเวลาพวกแกก็ใช้สถานะหัวหน้าครอบครัวไปเหมาส่วนของตัวเองก็พอ ส่วนครอบครัวเจ้าหกถึงเวลานั้นก็ค่อยมารวมกับฉันแล้วก็แม่ของพวกแก” คุณพ่อจ้าวโบกมือ

คำพูดนี้แน่นอนว่าเป็นคำพูดที่ลำเอียง แต่พ่อกับแม่ก็ลำเอียงมาหลายปีจนเคยชินแล้ว จึงไม่ได้คิดว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม

ตอนนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเลี้ยงดู ต่างก็ออกแรงเองทั้งหมด

อีกอย่างคุณพ่อจ้าวก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร ใครใช้ให้ครอบครัวเจ้าหกอายุน้อยกันล่ะ? พี่ ๆ คนอื่นมีลูกมีเต้ากันหมดแล้ว แต่เจ้าหกยังไม่มีสักคน

เป็นพ่อแม่ให้การช่วยเหลือลูกสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?

เรื่องนี้ย่อมถูกพูดจากปากลูกชายไปถึงหูของพวกลูกสะใภ้ในบ้านอยู่แล้ว

ตอนที่พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินว่าพ่อกับแม่จะเหมาร่วมกับครอบครัวเจ้าหก ภายในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาจริง ๆ

หลังจากนี้พ่อกับแม่ก็ต้องมาอยู่ที่บ้านใหญ่ของหล่อนเพื่อให้เลี้ยงดูยามแก่ แต่ตอนนี้อายุยังไม่มากกลับคิดจะไปช่วยบ้านเจ้าหก รอจนกระทั่งแก่แล้วค่อยมาให้บ้านหล่อนเลี้ยงดู แบบนี้จะไม่ให้กระอักเลือดได้อย่างไรกัน?

 

แต่อาศัยว่าตอนนี้อยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ หล่อนจึงไม่สามารถโวยวายได้ เพราะภายในหมู่บ้านเรื่องการลำเอียงแบบนี้พบเห็นได้ไม่น้อยเลยจริง ๆ

แต่คนแก่ก็คือมังกรตัวหนึ่ง ชี้ไปทางใครคนนั้นก็จะไม่เจริญ โดยปกติภายในหมู่บ้านก็เป็นแบบนี้ หล่อนเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าบ้านเจ้าหกจะเจริญขึ้นมาได้อย่างไร!

พี่สะใภ้สามจ้าวได้ยินคำพูดของพี่สามจ้าวก็ถึงกับบ่นเขา “อย่าพูดว่าน้องหกไม่เคยพึ่งพาพวกเราเลยค่ะ ต่อให้ต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็ไม่สามารถนั่งมองเฉย ๆ ได้ แต่คุณกลับพูดแบบนั้นออกไปเนี่ยนะ?”

“ทำไมผมถึงได้แต่งงานกับเมียโง่แบบนี้นะ?” พี่สามจ้าวถลึงตามอง ถ้าหากเจ้าหกไม่ทำตามระบบสัญญาถึงเวลานั้นก็ต้องขอความช่วยเหลือจากพี่น้องไม่ใช่เหรอ? เหล่าพี่น้องต้องช่วยเหลือเขาไปถึงเมื่อไรกัน?

“ฉันไม่ได้โง่ ฉันก็แค่เป็นคนใจกว้าง เป็นเพราะคุณขี้งกเกินไปแม่ถึงได้ให้ฉันมาปรับความสมดุลให้คุณ ความใจแคบคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ของคุณเมื่อไรจะแก้ได้สักที? น้องสามีหกกินข้าวของคุณสักเม็ดไหม หรือว่าเคยดื่มน้ำของคุณสักอึกหรือเปล่า?” พี่สะใภ้สามพูดอย่างไม่สบอารมณ์

พี่สามจ้าวโมโหขึ้นมาแล้ว “คุณนี่วอนโดนตบแล้วนะ”

“คุณก็ลองตบฉันดูสิ ดูสิว่าฉันจะกลับไปหาพวกพี่ ๆ ให้มาอัดคุณให้ตายหรือเปล่า!” พี่สะใภ้สามจ้าวสวนกลับไป

…………………………………………………………………………………

[1] ระบบสัญญารับผิดชอบ (承包制) หมายถึง การที่ครัวเรือนต้องรับผิดชอบต่อผลกำไรและขาดทุนขององค์กร ในการผลิตทางการเกษตร เกษตรกรสามารถทำสัญญากับที่ดินส่วนรวมและใช้วิธีการผลิตขนาดใหญ่อื่นๆ รวมถึงดำเนินการผลิตและจัดการได้อย่างอิสระตามสัญญา

สารจากผู้แปล

ไม่ต้องห่วงบ้านเจ้าหกหรอก ห่วงบ้านตัวเองก่อนเลยพี่สาม

ไหหม่า(海馬)