ตอนที่ 185 ผู้เยาว์ของราชวงศ์หย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 185 ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู

“วันนี้ได้พบปะกับทุกท่าน เพียงคำพูดอย่างตรงไปตรงมาคงมิอาจบรรยายถึงความรู้สึกได้ แน่นอน จะมิกล่าวถึงความขุ่นเคืองใจในกาลก่อน ในตอนที่พี่ซีเหวินได้กล่าวขึ้นมา ข้าจึงคิดได้ว่าทุกคนล้วนเป็นผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู เช่นนั้นก็เอาผู้เยาว์เป็นหัวข้อเถอะ”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบ บรรยากาศพลันเงียบสนิทขึ้นมาทันที

เยี่ยนเสี่ยวโหลวรีบเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี เยี่ยนซีเหวินกับคนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นกัน เจ้าหมอนี่ไม่แต่งกลอนแต่กลับจะเขียนบทร้อยแก้วเยี่ยงนั้นรึ…ร้อยแก้วนั่นจะออกมาเป็นเช่นไรหนอ ?

ซูซูที่กำลังหยิบกุ้งก็มองรอบ ๆ อย่างมึนงง ไอหยา คนพวกนี้จ้องฟู่เสี่ยวกวนทำไม ? ก็แค่บทร้อยแก้วเองมิใช่หรือ ? แล้วทำไมพวกเขาถึงแสดงท่าทีตกตะลึงเช่นนี้ หรือว่าเมื่อก่อนฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเขียนร้อยแก้ว ?

คนเหล่านั้นพากันวางจอกเหล้าลง คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เช่นนั้นกุ้งนี้ข้าควรจะกินดีหรือไม่ ?

ซูซูคิดในใจอย่างลังเล ก่อนจะวางกุ้งลงในถ้วย แล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างสนใจ เขาจะเขียนร้อยแก้วแบบไหนออกมากันนะ ?

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ “ข้าจะฝนหมึกให้คุณชายเอง”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เดินหน้าไปสองสามก้าว ยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าท่องแล้วท่านเขียนเถอะ”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจ “เช่นนั้น…เสี่ยวโหลวมิเกรงใจ”

ฟู่เสี่ยวกวนเหม่อมองไปยังหิมะตกหนักที่โปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง หิมะเข้าปกคลุมทะเลสาบเว่ยยางจนขาวโพลน ผ่านไปสามอึดใจ จึงเปิดปากท่องออกมา

“โลกากว้างใหญ่ไพศาล ฟ้าดินไร้ซึ่งขอบเขต”

ฉับพลันบรรยากาศก็เดือดพล่านขึ้นมา เหล่าชายหนุ่มต่างก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มีเพียงเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ตวัดปลายพู่กัน บนกระดาษนั้นมีเสียงดังครืดคราดอย่างต่อเนื่อง

ฟู่เสี่ยวกวนยกสองมือไพล่หลังก้าวเดินสองก้าว แล้วท่องต่อ

“ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู ความรับผิดชอบของผู้เยาว์ราชวงศ์หยู

ความรับผิดชอบในวันนี้ มิได้อยู่ที่ใคร แต่ล้วนอยู่ที่เราเหล่าผู้เยาว์ทั้งสิ้น

ผู้เยาว์ฉลาดแคว้นฉลาด ผู้เยาว์แข็งแกร่งแคว้นแข็งแกร่ง

……”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับมา มองไปยังผู้เยาว์ที่นั่งอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม แววตาจริงจัง สองมือยกขึ้นเหนือหัว แล้วกล่าวเสียงสูง

“อาทิตย์ยามสนธยาลอยสูงเด่น สาดแสงส่องไปทั่วหล้า ธารบาดาลนิ่งไหลลึก ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

มังกรซ่อนธารา กางเล็บขึ้นโผบิน พยัคฆ์หนุ่มกู่ร้อง ร้อยสรรพสัตว์ตื่นกลัว

พญาอินทรีย์ลองกางปีก บังเกิดลมพายุพัดกวาด มวลผกาแรกแย้ม งดงามตระการตา

กานเจี้ยงแรกฝนใบ ส่องประกายแหลมคม นภาสวมฟ้าคราม ปฐพีย่ำดินเหลือง

ตั้งตระหง่านตลอดกาล หยัดยืนไปทั่วแปดทิศ อนาคตดุจห้วงสมุทร ทอดยาวไปไกลชั่วกัลป์”

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดลงชั่งครู่ แล้วชี้นิ้วไปทางกลุ่มรุ่นเยาว์ พร้อมกล่าวว่า

“เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูอันงดงาม ยืนยงดั่งท้องฟ้ามิแก่เฒ่า !

เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูผู้แข็งแกร่ง แว่นแคว้นไร้ซึ่งพรมแดน ! ”

……

ผ่านไปหลายอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ข้าพูดจบแล้ว”

ทว่าบรรยากาศก็ยังคงเงียบสงัด

ใบหน้าทุกคนเผยร่องรอยความตกตะลึง แม้กระทั่งซูซูก็รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่มีความสามารถจริง ๆ ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายของร้อยแก้วนี้ก็เถอะ แต่เมื่อฟังแล้วกลับดังก้องอยู่ในหู ทั้งทำให้เลือดเนื้อเดือดพล่านขึ้นมา

ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงถือพู่กันไม่วาง และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างไม่ละสายตา ในใจคิดว่า…นี่แหละคือวีรบุรุษในดวงใจของข้า !

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เยี่ยนซีเหวินก็ปรบมือขึ้นมา จากนั้นจัวหลิวหวินก็ปรบมือตาม ตามมาด้วยฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่ ปิดท้ายด้วยพวกชืออีหมิงทั้งสี่คน

เสียงปรบมือดังขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นยืน ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เยี่ยนซีเหวินคำนับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเลื่อมใส

“เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูอันงดงาม ยืนยงดั่งท้องฟ้ามิแก่เฒ่า ! เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูผู้แข็งแกร่ง แว่นแคว้นไร้ซึ่งพรมแดน ! พรสวรรค์ของพี่ฟู่นั้น ซีเหวินมิอาจเทียบได้เลย ร้อยแก้วนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ย่อมต้องนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูรู้จักแบกรับความรับผิดชอบของตนเอง ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูคือร้อยแก้วที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

เขาถอนสายตาจากฟู่เสี่ยวกวนแล้วมองไปทางชืออีหมิงกับคนอื่น ๆ แย้มยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ แต่ตอนนี้เมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงตนเองในอดีตแล้ว…” เขาส่ายหน้า “นั่นคือความไร้สาระแบบเด็ก ๆ ! ”

เขายกนิ้วชี้ไปทางคนเหล่านั้น “ข้าไม่อาจจะสั่งสอนพวกเจ้า เพราะข้ามิมีคุณสมบัติที่จะสั่งสอน ได้ฟังร้อยแก้วบทนี้แล้ว พวกเจ้าคิดอย่างไรบ้าง ? พวกเจ้าลองถามใจตนเองเถิด รวมถึงข้าด้วยที่ต้องถามใจตนเอง ข้าคิดว่าแม้แต่เด็กถือรองเท้าของฟู่เสี่ยวกวน ข้าก็มิคู่ควร ! ”

เยี่ยนซีเหวินพลันตื่นเต้นถึงขีดสุด เขากล่าวเสียงดังว่า “พวกเจ้าสามารถเขียนบทกวีอย่างท่วงทำนองแห่งสายน้ำได้รึไม่ ? เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยล่ะ ? หรือแม้กระทั่งเขียนร้อยแก้วอย่างผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูได้หรือไม่ ? ”

เขาเงยหน้าทอดมองไปยังทะเลสาบเว่ยยาง พลางสูดหายใจเข้า ชืออีหมิงกับคนอื่น ๆ พากันก้มหน้าลง

“ผู้เยาว์ฉลาดแคว้นฉลาด ผู้เยาว์แข็งแกร่งแคว้นแข็งแกร่ง เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้ว แค่แต่งบทกวีออกมาเพียงบทเดียวก็ภาคภูมิใจกันนักหนา หรือสามารถเขียนบทความดีดีออกมาสักหนึ่งบทก็พากันปลาบปลื้มจนจุกอก พวกเรามิเคยครุ่นคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในแคว้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยคิดหาหนทางแก้ไขปัญหา เบื้องหลังของพวกเรามีต้นไม้ใหญ่ มิเคยเกรงกลัวลมฝนหรือแดดร้อน ชีวิตผ่านไปอย่างสุขสบาย จากนั้นก็พากันหลงลืมปณิธานของตนไป”

“นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าใจของพวกเรา คือเรื่องที่น่าเศร้าใจของราชวงศ์หยู ! ”

“วันนี้ได้ฟังบทร้อยแก้วของพี่ฟู่ ข้าถึงได้เข้าใจหน้าที่ของตนเอง ถึงได้ชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายที่ข้ากำลังพยายามอยู่ อาทิตย์ยามสนธยาลอยสูงเด่น สาดแสงส่องไปทั่วหล้า ธารบาดาลนิ่งไหลลึก ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ! มามามา ดื่มเพื่อร้อยแก้วนี้ หากมิเมามายก็ไม่กลับ ! ”

เยี่ยนซีเหวินคล้ายกับคลุ้มคลั่งไปแล้ว

“เสี่ยวเอ้อ รินเหล้า ! ”

“พี่ฟู่ ท่านเป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหายของข้า ซีเหวินผู้นี้สามารถกล่าวได้ว่าพวกเรารู้จักกันช้าเกินไปแล้ว รู้จักกันช้าเกินไป ! มามามา จอกแรกนี้ ซีเหวินขอคารวะท่าน ได้รับการชี้แนะจากท่าน ทำให้ซีเหวินรู้แจ้งในฉับพลัน ! ต่อจากนี้ ซีเหวินจะยกท่านเป็นเหมือนหัวม้า ไม่ว่าท่านไปทางไหน ข้าก็จะพุ่งตามไปทันที ! ดื่ม ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่คาดว่าเยี่ยนซีเหวินจะตื่นเต้นขนาดนี้เพราะบทร้อยแก้ว…จอกเดียวยังมิพอ เยี่ยนซีเหวินยังดื่มกับเขาถึงสามจอกติดต่อกัน

และรู้สึกอึดอัดใจเพิ่มขึ้นอีก เมื่อจู่ ๆ ชืออีหมิงก็ถือจอกเหล้าลุกขึ้นยืน เขาหันมาทางฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็พูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “อันที่จริงแล้วข้าก็ยังไม่ชอบเจ้าอยู่ดี แต่ร้อยแก้วนี้ข้าชื่นชอบมาก สามจอกนี้ถือว่าเป็นการขออภัยจากข้า ! ”

ตามมาด้วยเซวี๋ยตงหลิน สีส่วง เฟ่ยเชียน ฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ หวงเฉิง สุดท้ายก็จัวหลิวหวิน

ทุกคนต่างก็คารวะฟู่เสี่ยวกวนอย่างเลื่อมใส จากนั้นก็ยกดื่มถึงสามจอก พวกเขาพากันเดินไปทางโต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อคัดลอกบทร้อยแก้วนี้

ดวงตาของซูซูเบิกกว้างอย่างตกใจ ยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์โดดเด่นในสำนักเต๋าก็ได้รับความเคารพจากผู้อื่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มีความสามารถในด้านวรรณกรรมของโลกมนุษย์จะได้รับการยกย่องจากผู้อื่นเช่นกัน

ชายผู้นี้…เป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ !

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเห็นฟู่เสี่ยวกวนดื่มเหล้าไปสองสามจนถึงสิบจอก ในใจก็แอบเป็นห่วงมิได้ เขาจะเมามายรึไม่ ? ร้อยแก้วบทนี้ยังมิมีชื่อเลยนะ

ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามออกมาว่า “คุณชาย ร้อยแก้วนี้มีชื่อว่ากระไรหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนที่เมามายถึงเจ็ดส่วน ก็เดินที่โต๊ะหนังสือ จากนั้นก็รับพู่กันจากเยี่ยนเสี่ยวโหลวมา เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก “ให้ชื่อว่าผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู ! ”

ตัวอักษรทั้งห้าคำบนกระดาษนี้ ยังคงดูมิได้เช่นเคย แต่ในสายตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวและคนอื่น ๆ แล้ว ตัวอักษรนี้กลับดูกล้าหาญและดุดัน

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหยิบร้อยแก้วบทนี้ขึ้นมาเป่าให้แห้งอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บเอาไปในอกเสื้อ เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง หมุนร่างแล้วเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้หน้าแดงก่ำเพราะความเมามาย

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 วันที่สองของเดือนแรก ฟู่เสี่ยวกวนเมามายอยู่ในหอซื่อฟาง

ในวันเดียวกันนั้น 《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ก็ได้เผยแพร่ออกไป เริ่มต้นจากหกตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพล จากนั้นก็แพร่สะพัดออกไปประหนึ่งคลื่นน้ำขยายเป็นวงกว้าง ลอยไปยังจวนฉิน จวนชางกวนเหวินซิ่ว จวนต่ง สุดท้ายก็ลอยเข้าไปในวังหลวง

ตกค่ำ ในวังหลวงยังคงคึกคักมีชีวิตชีวา

แม้ว่าวังเตี๋ยอี๋ของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะชื่นชอบความเงียบสงบ แต่ตอนนี้กลับมีบรรยากาศรื่นเริงยินดี

องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างเตา ในมือกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้

หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ด้านข้างคอยนวดขาให้เขา ส่วนหยูเวิ่นเต้าก็นั่งอยู่อีกด้านคอยต้มชา

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง ขณะมองภาพอันอบอุ่นตรงหน้า แล้วคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด

“กุ้ยเฟย…เจ้าเด็กนี่ แย่จริง ๆ ! ”

“หากฝ่าบาทตรัสว่าเขาแย่ งั้นเขาก็แย่จริง ๆ ”

“ความรับผิดชอบในวันนี้ มิได้อยู่ที่ใคร แต่ล้วนอยู่ที่เราเหล่าผู้เยาว์ทั้งสิ้น…ประโยคนี้ กุ้ยเฟยคิดว่าอย่างไร ? ”

ซั่งกุ้ยเฟยกล่าวยิ้ม ๆ “ตอนอ่านครั้งแรกหม่อมฉันคิดว่า อาจจะหมายถึงหวังว่าผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูจะออกมาแบกรับหน้า แทนที่จะหลีกหนี”

“อืม…ล้วนเป็นคนของราชวงศ์หยู ถ้าหากผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูสามารถตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ ราชวงศ์หยูของข้าคงมิต้องกังวลสิ่งใด ! ”

“แน่นอนเพคะ ดังนั้นท่อนหลังของร้อยแก้วนี้จึงใช้คำเปรียบเปรยหลายอย่างเพื่อกระตุ้นคนรุ่นเยาว์ โดยเฉพาะสองประโยคสุดท้าย เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูอันงดงาม กับเราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูผู้แข็งแกร่ง”

หยูยิ่นชำเลืองมอง พลางใคร่ครวญอีกครั้ง ทั้งเอ่ยถามอีกว่า “กานเจี้ยงแรกฝนใบ…กานเจี้ยงคืออะไร ? ”

“หม่อมฉันเองก็มิทราบเพคะ แต่ตามความหมายแล้ว มันน่าจะเป็นชื่อของศาตราวุธบางชนิด อาจจะเป็นดาบหรือไม่ก็กระบี่”

“อ้อ…” หยูยิ่นพยักหน้า จากนั้นก็วางกระดาษแผ่นนี้ลง “เจ้าช่วยข้าจำเสียหน่อยเถอะ ร้อยแก้วบทนี้ข้าจะให้ชางกวนเหวินซิ่วนำเข้าบทเรียน และให้กั๋วจื่อเจี้ยนเผยแพร่ร้อยแก้วนี้ไปทั่วแคว้น ข้าอยากให้รุ่นเยาว์ทั่วแคว้นได้อ่านมัน และทำความเข้าใจบทร้อยแก้วนี้อย่างลึกซึ้ง”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยพยักหน้า หยูเวิ่นหวินอมยิ้มขึ้นมา แล้วถามว่า “เสด็จพ่อ ในเมื่อเขาเขียนร้อยแก้วให้แรงบันดาลใจที่ดีเช่นนี้ออกมา ก็ควรที่จะตบรางวัลให้เขาใช่หรือไม่ ? ”

หยูยิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง พลางส่ายหน้า ว่ากันว่าเมื่อบุตรสาวเกิดจัดหันหน้าไปด้านนอก นี่ยังมิได้อภิเษกสมรสเลยแท้ ๆ แต่ก็คิดเผื่อเจ้าเด็กนั่นเสียแล้ว

“แม้นี่จะถือว่าเป็นคุณงามความดี แต่คุณงามความดีนี้กลับมิชัดเจนนัก ร้อยแก้วบทนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อรุ่นเยาว์เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้น…ไว้รอหลังจากเทศกาลฤดูหนาวสิ้นสุดลงก็ค่อยว่ากันอีกที”

หยูเวิ่นหวินกำลังจะแย้ง แต่กลับเห็นสายตาของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่มองมา ดังนั้นนางจึงกลืนคำพูดกลับเข้าไป

“พรุ่งนี้ในวังหลวงก็มิมีเรื่องใหญ่อันใด เจ้าก็ออกไปหาเขาเถอะ”

หยูเวิ่นหวินพลันดีใจขึ้นมา “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ ! ”

“เจ้ามิจำเป็นต้องขอบใจข้า ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าออกจากวังอีก เรื่องงานแต่งงานระหว่างต่งชูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”

“อ่า…” จู่ ๆ หยูเวิ่นหวินก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา “พวกเขา…กำลังจะหมั้น ? ”

“เหอะ รอให้ราชสำนักเปิดเสียก่อนเถอะ ข้าจะเรียกต่งคังผิงเข้าเฝ้า เรื่องต่งชูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนสามารถเป็นไปได้ แต่ไม่อาจจะข้ามหน้าองค์หญิงเก้าของข้า ! เจ้าเด็กนั่นนับวันก็ยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ ปีที่แล้วข้าก็เคยเอ่ยกับเขาอย่างอ้อม ๆ แต่เขากลับแกล้งทำเป็นหูหนวก ทั้งที่เคยกล่าวแล้วว่าพ้นปีใหม่นี้ฟู่เสี่ยวกวนจักต้องมาสู่ขอ เจ้าเด็กนี่ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ! ”

หยูเวิ่นหวินยิ่งรู้สึกว้าวุ่น นางกล่าวอย่างขมขื่น “หม่อมฉันเคยตรัสกับเสด็จพ่อแล้ว ถ้าหากไม่อยากทำผิดกฎของวัง ก็ควรยกหม่อมฉันให้เป็นบุตรบุญธรรมของจวนต่ง เช่นนั้นหม่อมฉันจึงจะสามารถแต่งกับฟู่เสี่ยวกวนได้…แต่เสด็จพ่อมิทรงเห็นด้วย”

“ไม่มีทาง ! ข้ามิยอมให้ต่งคังผิงได้หน้าก่อนข้า ! กฎ….กฎสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ! ฟู่เสี่ยวกวนจักต้องมาสู่ขอกับข้าก่อน จากนั้นค่อยถึงตาต่งคังผิง ! ”