ตอนที่ 186 นกของศิษย์พี่ใหญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 186 นกของศิษย์พี่ใหญ่

เดิมทีชางกวนเหวินซิ่วกำลังต้อนรับแขกอยู่ในบ้าน แต่หลังจากร้อยแก้ว《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ถูกส่งมาในมือของเขา ทันใดนั้นเขาก็ลืมไปว่าในห้องโถงนั้นยังมีแขกเป็นจำนวนมาก

เขาอ่านบทร้อยแก้วอย่างละเอียด สองตาพลันเปล่งประกายวิบวับ ยกมือทุบโต๊ะชาดังปึงแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมอุทานออกมาสามคำติด ๆ กัน “ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยม ! ”

จากนั้นก็ทิ้งแขกไว้ในห้องโถงส่วนตัวเองก็เดินจากไปพร้อมกับบทร้อยแก้ว ปล่อยให้แขกที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ

ชางกวนเหวินเดินทางไปยังจวนของฉินปิ่งจง

บทร้อยแก้วที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องแบ่งปันกับคนสนิทถึงจะคุยกันถูกคอ !

ก็เหมือนกับคนรักชา เมื่อมีชาดีอยู่ในมือ ก็อยากที่จะลิ้มรสชานี้ไปพร้อม ๆ กับคนที่รักชาด้วยกัน

คนธรรมดาเหล่านั้นจะรู้ถึงความยอดเยี่ยมของร้อยแก้วนี้ได้อย่างไร ในเมืองหลวงอันใหญ่โต มีเพียงอาจารย์ฉินที่สามารถแบ่งปันความสุขนี้ได้

ขณะเดียวกัน หกตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงก็ทราบถึงบทร้อยแก้วนี้แล้ว หลังจากบรรดาหัวหน้าตระกูลอ่านร้อยแก้วนี้จบแล้ว บางคนก็ครุ่นคิด บางคนก็ถึงกลับทำจอกชาร่วงหล่น และมีบางคนได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง

ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากร้อยแก้วนี้ เขาถูกเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ส่งกลับจวนฟู่ จากนั้นก็นอนยาวมาตลอดจนถึงยามฟ้ามืด

เมื่อเขาลืมตาขึ้น ก็พบว่าข้างกายนั้นมีต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ทั้งสองคน

“ร้อยแก้วบทนั้นเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ชอบมันมาก โดยเฉพาะเสด็จแม่ หลังจากที่ได้อ่านร้อยแก้วนี้แล้วก็ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า…สุดท้ายข้าก็มิเคยมองพลาด ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ต่อจากนี้จะกลายเป็นหินหลักกลางกระแสชลของราชวงศ์หยู ! หึหึ เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจจริง ๆ ”

ต่งชูหลานวางร้อยแก้วลง ในใจก็รู้สึกยินดีเช่นกัน แต่ปากกลับเปล่งวาจาออกมาว่า “เขาผู้นี้ มีความสามารถ แต่กลับไม่รู้จักประมาณตนเอง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ดื่มเหล้าจนเมามายเช่นนี้ ในเมื่อมิสามารถดื่มเหล้าได้มาก แล้วจักยังฝืนดื่มทำไม ได้ยินมาว่าหลังจากที่ท่องร้อยแก้วจบ เขาก็ถูกพวกเยี่ยนซีเหวินเทเหล้าให้ดื่มสามสิบกว่าจอก ! จึงเมาจนกลายเป็นเช่นนี้ เฮ้อ ต่อจากนี้คงต้องเข้มงวดเสียหน่อย”

“ได้อย่างไรกัน เมาแล้วเจ็บตัวเช่นนี้ เขายังสติดีอยู่หรือไม่ หวังว่าอาการคงมิกำเริบหนักนัก ข้าจะไปตุ๋นซุปโสมให้เขาสักชาม”

หยูเวิ่นหวินกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ต่งชูหลานเงยหน้ามองนางด้วยความตกใจ “เดี๋ยวก่อน…เจ้าจะตุ๋นซุปรึ ? แต่เจ้าตุ๋นซุบได้แย่มาก ข้าจะไปด้วย”

หยูเวิ่นหวินเลิกคิ้วสวย ใบหน้าแสดงความภูมิใจออกมา “ข้าเรียนรู้การตุ๋นซุปจากเสด็จแม่มาหลายวันแล้ว มั่นใจได้ว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน เจ้ารอนี่เถอะ”

ต่งชูหลานคิดเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้หยูเวิ่นหวินไป นางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หันหัวกลับมา ก่อนจะเห็นฟู่เสี่ยวกวนกำลังจ้องนางตาแป๋วอยู่บนเตียง

“ปวดหัวหรือไม่ ? ” ต่งชูหลานเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วเอ่ยถาม

“หัวไม่ปวด แต่ปวดใจ”

ต่งชูหลานตื่นตกใจ ดื่มเหล้าแล้วปวดใจได้ด้วยหรือ ? จะทำเช่นไรดีนะ ?

“อ่า…ข้าจะไปเรียกหมอมา”

“อย่า ! ” ฟู่เสี่ยวกวนรีบจับมือของต่งชูหลานไว้ ใบหน้าเผยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา “แค่เจ้าช่วยนวดข้าก็พอแล้ว”

พูดพลางยกมือที่จับมาวางไว้ที่หน้าอก อืม ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เลย จากนั้นเขาก็ยัดมือน้อย ๆ เข้าไปในเสื้อ ต่งชูหลานยังคงเชื่ออย่างจริงจัง นางนวดหน้าอกของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเบามือ พลางเอนร่างก้มลงมา นวดไปพลางถามไปพลาง “สบายหรือไม่ ? ”

“อืม สบายมาก…อย่าหยุดนะ”

ใบหน้าต่งชูหลานกับเขายิ่งใกล้กันเรื่อย ๆ ลมหายใจดุจดอกกล้วยไม้ รินรดบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็กระตุกมือดึงร่างของต่งชูหลานลงมากอด แล้วดึงผ้านวมขึ้นมาคลุม

ต่งชูหลานหน้าแดงก่ำ เสียงกระซิบอย่างเขินอายดังขึ้นว่า “เจ้ามันคนเลว ! เวิ่นหวินก็อยู่นะ ปล่อยมือ ! ”

“ไม่ปล่อย ! ”

“นี่…อย่า…อื้อ…”

ผ่านไปสิบลมหายใจ ต่งชูหลานกลืนน้ำลายแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเขินอาย นางจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน อารมณ์ที่พุ่งขึ้นมานั้นยากที่จะสงบลงได้

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่า เขาเชยคางต่งชูหลาน “ ท่านหมอ อาบน้ำด้วยกันหรือไม่ ? ”

“ไปให้พ้น ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินไปอาบน้ำ ต่งชูหลานหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ นางรีบเดินออกจากห้องไป ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา เกล็ดหิมะตกกระทบลงใบหน้านาง ปลิวไปที่หว่างคิ้วนาง และละลายซึมเข้าไปในใจ

เย็นสบายจนซึมซับเข้าไปถึงหัวใจ แต่สุดท้ายความเย็นนี้ก็คล้ายกับจะถูกหัวใจที่รุ่มร้อนแผดเผาจนละลาย

คนเลว ข้าเกือบจะตกหลุมเจ้าไปแล้ว ต้องระวังมากกว่านี้ !

โคมไฟที่ศาลาชิงซินพลันสว่างขึ้นมา ผู้คนต่างมารวมตัวกันที่โต๊ะเพื่อทานอาหารเย็นด้วยกัน

ดวงตาสุกสกาวของซูซูเหลือบมองไปทางหยูเวิ่นหวินบ้าง มองไปทางต่งชูหลานบ้าง จากนั้นก็นึกถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ได้รู้จักเมื่อตอนเที่ยง ตอนฟู่เสี่ยวกวนเมามายจนไม่ได้สติ หญิงสาวที่ชื่อเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็กังวลจนเกือบจะร้องไห้ออกมา หลังจากที่พาฟู่เสี่ยวกวนกลับมาส่ง ณ จวนฟู่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวผู้นั้นก็เป็นคนคลายผ้าคาดที่รัดแน่นออกเพื่อให้เขาสบายตัวขึ้น

ตอนแรกนางคิดว่าระหว่างฟู่เสี่ยวกวนกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวอาจจะมีอะไรบางอยาง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมิเป็นเช่นนั้น หยูเวิ่นหวินบ้างคล้ายกับว่าจะสนิทกับฟู่เสี่ยวกวนมาก นางถึงกับลงมือทำซุปเพื่อฟู่เสี่ยวกวนด้วยตัวเอง มิเพียงตักข้าว แต่ยังตักกับให้เขาถึงสามครา

เป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาว !

ส่วนพี่ชูหลานก็มิมีท่าทีตอบสนองใดใด หรือว่า…สตรีสองนางนี้จะรู้จักเป็นการส่วนตัว ?

หากฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ชายของตนล่ะก็ หึหึ ! ซูซูคิดต่อไปว่า นางคงจะพุ่งเข้าไปไล่พวกผีเสื้อให้พ้นจากฟู่เสี่ยวกวน !

ชายผู้นี้มีเสน่ห์มาก พี่สาวชูหลานที่งดงามขนาดนี้ แล้วยังจะหยูเวิ่นหวินที่เพิ่งโผล่มาก็งดงามมิแพ้กัน ยังมีเยี่ยนเสี่ยวโหลวคนนั้นด้วย เหอะ เจ้าผู้ชายหน้าเหม็น อาศัยเพียงบทกวีที่ฟังไม่เข้าใจเหล่านั้นก็สามารถคว้าหัวใจของพวกนางได้แล้ว โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง !

ซูเจวี๋ยทานข้าวอย่างเรียบร้อย แม้แต่สายตาของเขาก็จดจ้องแต่เพียงชามของตน ส่วนซูโหรวก็เงยหน้ามองศิษย์น้องหก สายตาของศิษย์น้องหกจับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน เป็นไปไม่ได้น่า แม้ศิษย์น้องหกจะอายุ 14 ปีแล้ว แต่นางก็ไร้เดียงสามากหากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน ไหนเลยจะรู้จักคำว่ารักได้

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ใส่ใจสิ่งใด เขาหิวมาก จึงกินอาหารไปพลางดื่มซุปไปพลางด้วยท่าทีมีความสุข แต่จู่ ๆ เขาก็เงยหน้ามองออกไปด้านนอก

มีนกสีดำตัวหนึ่งบินฝ่าลมหิมะเข้ามาจากด้านนอก มันบินไปเกาะไหล่ของซูเจวี๋ย ฟู่เสี่ยวกวนจ้องนกตัวนั้นตาเขม็ง เขามิเคยเห็นมันมาก่อน แต่ก็รู้จักมัน นี่คืออีกา !

ซูเจวี๋ยวางตะเกียบลง พลางยืดแขนข้างหนึ่งออกมา อีกาตนนั้นจึงกระโดดเกาะแขนของเขา เขาหยิบกระบอกขนาดเล็กที่ผูกขาอีกาออกมา จากนั้นก็ถอดหมวกออก อีกาตัวนั้นจึงบินเข้าไปในหมวก และซูเจวี๋ยก็สวมหมวกอีกครั้ง พร้อมยกสองมือขึ้นมา เขาดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระบอกขนาดเล็กนั่น เมื่อก้มหน้าอ่าน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาทันที

ฟู่เสี่ยวกวน หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานพากันจ้องมองไปที่หมวกของซูเจวี๋ย พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นี่มันอะไรกัน ใช้หมวกใบนั้นเป็นรังของนกได้ด้วยรึ !

ซูเจวี๋ยมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วอธิบายออกมาประโยคหนึ่ง “เพื่อความสะดวกนะ เจ้าลองอ่านนี่”

ฟู่เสี่ยวกวนอยากถามว่าอีกาตัวนี้ดื่มกินอย่างไร แต่สุดท้ายก็มิพูดและรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน จู่ ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว

ในกระดาษเขียนไว้บรรทัดหนึ่ง : จากการตรวจสอบ นอกจากหลู่เฟิงจินกังจะตายแล้ว ลูกสมุน 3 คนที่เหลือก็ตายเช่นกัน ทั้งหมดถูกฆ่าในครั้งเดียว แต่สภาพบาดแผลมิใช่รอยกระบี่ แต่เป็นหลุม คาดว่าน่าจะเป็นไม้ไผ่ เพราะจู้กานก็อยู่ที่เมืองหลวงด้วย ส่วนจู้กานและนายหญิงสิบสามได้หายตัวไป กำลังสืบหาอยู่

“เที่ยงวันที่สามสิบ ข้ากับซูซูได้ไปทานอาหารที่เผิงแห่งหนึ่งตรงฝั่งประตูทิศใต้ หลู่เฟิงจินกังผู้นี้ถูกซูซูทำร้ายจนบาดเจ็บ ส่วนลูกสมุนอีก 3 คนได้หลุดปากกล่าวว่าที่มาเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะช่วยหลิวซานเปี้ยน หลิวซานเปี้ยนผู้นี้มีบุตรสาวนามว่าหลิวจิ่วเม่ย์ คนเจียงหูเรียกนางว่าจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์ นางมีวรยุทธ์ที่สูงส่งและจิตใจโหดเหี้ยม นายหญิงสิบสามเคยติดหนี้บุญคุณหลิวจิ่วเม่ย์ หากนางกับจู้กานเดินทางมาที่เมืองหลวง ข้าคิดว่าพวกเขาคงมาเพื่อเรื่องนี้ เพียงแต่…ทำไมจู้กานถึงได้สังหารพวกจินกัง ? ”

ซูเจวี๋ยอธิบายอย่างตั้งใจ ฟู่เสี่ยวกวนก็ฟังอย่างละเอียด

ซี่โหลวมิมีข้อมูลนี้ แล้วซูเจวี๋ยทราบได้อย่างไร ?

เขามองซูเจวี๋ยอย่างแปลกใจ ซูเจวี๋ยยิ้มจาง ๆ “ใต้หล้าจะเกิดความวุ่นวาย ท่านอาจารย์จึงได้วางหมากไว้ก่อนแล้ว”

“ความหมายของเจ้าคือ…ใต้หล้ากำลังจะโกลาหล ? ”

“มิใช่ความหมายของข้า แต่เป็นความคิดของท่านอาจารย์”

“แล้วเขาคิดว่าอย่างไร ? ”

“…เขาคิดว่าแค่แหงนหน้ามองฟ้ากว้าง”

“…” ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวเช่นไรดี ซูเจวี๋ยคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เชื่อ จึงกล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยค “แต่…ความคิดของท่านอาจารย์มิเคยพลาด”

ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มสนใจผู้สังเกตของสำนักเต๋าขึ้นมา คนผู้นี้มิใช่คนธรรมดา ใต้หล้าจะเกิดความโกลาหลฟู่เสี่ยวกวนก็เพิ่งจะทราบ เพราะว่าฝ่าบาทจะทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ พระองค์มิเสียดายที่จะปล่อยให้ราชวงศ์หยูวุ่นวายไปอีกสองสามปีเพื่อที่จะกำจัดภัยร้ายที่ซ่อนเร้นของราชวงศ์

ผู้สังเกตคงจะมองออกนานแล้ว ดังนั้นจึงได้วางหมากของตนทิ้งไว้ หมากนี่คาดว่าคงจะมีลักษณ์เหมือนกับหอชิงเฟิงซี่หยู่

“เจ้าคิดว่าเป้าหมายของพวกเขาคือข้า ? ”

ซูเจวี๋ยพยักหน้า “ต้องรู้ก่อนว่าการจะช่วยพวกหลิวซานเปี้ยนออกมานั้นมิง่ายนัก แต่ถ้าหากจับตัวเจ้าได้ ก็สามารถบังคับฝ่าบาทได้ อย่างไรเสียฝ่าบาทคงมิยอมใช้ชีวิตเจ้าแลกกับชีวิตพวกนักโทษ ด้วยวิธีนี้อัตราความสำเร็จจะสูงมาก”

“ทางการทราบหรือไม่ว่าสี่คนนี้ตาย ? ”

ซูเจวี๋ยพยักหน้า “หนิงหยู่ชุน ผู้ว่าเขตจินหลิงคนใหม่ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตาลง ผ่านไปชั่วสามอึดใจจึงกล่าวว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าออกไปข้างนอกตามลำพัง ส่วนพวกเจ้าก็ติดตามข้าห่าง ๆ เถอะ”

“ไม่ได้ ! ”

ต่งชูหลานปฏิเสธทันที

“นี่อันตรายเกินไป จะเป็นอย่างไรถ้าหากพวกเขาไม่ได้คิดจะลักพาตัวเจ้า แต่ลอบสังหารเจ้า ? ”

ซูเจวี๋ยพยักหน้าและกล่าวว่า “พวกเราต้องวิเคราะห์กันให้ดี นี่น่าจะเป็นกับดัก บางทีพวกนั้นอาจจะจงใจทำให้เจ้าคิดว่าพวกเขาอยากจะลักพาตัวเจ้าเพื่อนำไปแลกกับพวกหลิวซานเปี้ยน หากเจ้าตัดสินใจพลาดโดยการใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ซึ่งถ้าหากพวกเราอยู่ห่างจากเจ้า นักฆ่าก็จะมีโอกาสอย่างมากที่จะสังหารเจ้าสำเร็จ และบางทีนี่อาจจะเป็นเป้าหมายของมัน”

หยูเวิ่นหวินตื่นตระหนก อันตรายถึงเพียงนี้เชียวเหรอ? “มิเช่นนั้น ข้าจักขอให้เสด็จพ่อส่งองค์รักษ์มาคุ้มครองเจ้าดีหรือไม่ ? ”

ซูซูเพิ่งรู้ว่าหญิงสาวคนนี้แท้จริงแล้วเป็นธิดาขององค์ฮ่องเต้ ดังนั้นนางจึงยิ่งไม่เข้าใจ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้…หรือว่าอาจจะเป็นโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิบางแคว้น ?

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า ครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้กังวลไป ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ข้าจะทำตัวโอ้อวดในเมืองหลวง ถ้าหากพวกเขาคิดจะลักพาตัวข้า นั่นหมายความว่าพวกเขาคือคนของหลิวจิ่วเม่ย์ แต่ถ้าหากพวกเขาคิดสังหารข้า แสดงว่าพวกมันเป็นคนของขุมกำลังอื่น”

“ณ เวลานี้ข้าทราบขุมกำลังบางส่วนแล้ว แต่ตอนนี้จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบว่ายังมีขุมกำลังอื่นอีกรึไม่”

“ข้าไม่ชอบถูกคนอื่นจับจ้องในมุมมืด ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดทำเรื่องหนึ่งให้แก่ข้า ให้คนของท่านตรวจสอบวัดร้างที่อยู่เหนือวัดฟูจื่อขึ้นไป ! ”