บทที่ 74 พบสหายเก่า
บทที่ 74 พบสหายเก่า

มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ลูกนี้ ถูกปรับแต่งมาจากเทือกเขาสัมฤทธิ์ที่มีความสูงราวหนึ่งพันสองร้อยจั้ง และมีน้ำหนักถึงสองแสนห้าหมื่นจิน อีกทั้งยังมีปราณหมอกสีม่วงบริสุทธิ์เก็บสะสมอยู่ภายในภูเขา ยามสำแดงพลัง มันสามารถทำให้เกิดสนามแรงโน้มถ่วงขนาดมหึมาที่ทรงพลังยิ่งนัก หากมีผู้ใดอยู่ภายในสนามแรงโน้มถ่วง ก็จะรู้สึกเหมือนกับถูกภูเขาขนาดมหึมากดทับ และแรงกดทับจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นผู้ที่มีพลังการบ่มเพาะที่ไม่มากพอ พวกเขาก็จะถูกบดขยี้ให้กลายเป็นโจ๊กในทันที

“สมบัติวิเศษระดับกึ่งสมบูรณ์ กลับครอบครองพลังของสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นยอดได้ หากได้รับการขัดเกลาจนสู่ระดับสมบูรณ์แล้ว ระดับและขั้นของมันจะสูงไปถึงระดับใดกัน?” เฉินซีจ้องมองไปที่ภูเขาลูกเล็กที่มีความสูงเพียงสิบสองชุ่นบนฝ่ามือ

ชายหนุ่มรู้สึกถูกใจมันยิ่งนัก “เอาเถอะ เพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับข้า ไม่สิ อันที่จริงนับว่าโชคดีด้วยซ้ำที่มันเป็นแค่สมบัติวิเศษกึ่งสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นหากมันทรงพลังยิ่งกว่านี้ ตัวข้าเกรงว่าจะไม่อาจควบคุมมันได้เช่นกัน”

ระดับทั่วไป ระดับมนุษย์ ระดับล้ำลึก ระดับปฐพี และระดับสวรรค์ บรรดาสมบัติวิเศษระดับต่าง ๆ ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งมีเงื่อนไขในการใช้สอยที่สูงขึ้นตามลำดับเพราะพวกมันต้องการปราณแท้ของผู้เป็นนายมาหล่อเลี้ยง หากผู้เป็นนายไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่อาจใช้งานมันได้ ยกตัวอย่างเช่น สมบัติวิเศษระดับปฐพีจำเป็นต้องมีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเป็นอย่างน้อยเพื่อทำพันธสัญญา สมบัติวิเศษระดับสวรรค์จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะขอบเขตจุติเป็นอย่างน้อยเพื่อทำพันธสัญญา การครอบครองสมบัติวิเศษที่มีระดับและขั้นที่สูงมากนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ผู้บ่มเพาะระดับต่ำกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานได้

“อืม ตำหนักขนาดมหึมาที่อยู่ด้านข้างของหน้าผานั้นควรจะเป็นรังของราชาเหยี่ยวสายฟ้า มันอาจมีสมบัติชิ้นอื่นอยู่ในที่แห่งนั้นก็ได้” หลังจากเก็บมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ลงในแหวนมิติ เฉินซีก็มองไปยังตำหนักอันวิจิตรงดงามหลังโตที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ก่อนเขาจะทะยานกลายเป็นเส้นแสงไปยืนอยู่เบื้องหน้าตำหนักแห่งนั้น

“ตำหนักทะยานนภา? ช่างเป็นการตั้งชื่อที่โอหังเกินตัวของไอ้ราชาเหยี่ยวสายฟ้าผู้นี้ซะจริง” เฉินซีเหลือบมองไปที่แผ่นป้ายปิดแผ่นทองขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ใจกลางตำหนัก จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะผ่านประตูเข้าไป

หลังจากการตายของราชาเหยี่ยวสายฟ้าเซวี่ยอวี้ บรรดาอสูรที่อยู่ภายใต้คำสั่งของราชาอสูรได้หลบหนีไปหมดแล้ว ปัจจุบันภายในตำหนักนั้นเงียบสงัดมาก ราวกับสุสานอันหรูหราที่สร้างขึ้นหลังการสวรรคตของกษัตริย์และองค์ชายที่ตายจากไปแล้ว

เฉินซีใช้ญาณตระหนักรู้ค้นหาอย่างระมัดระวังตลอดทาง แต่หลังจากวนเป็นวงกลมผ่านศาลาอันคดเคี้ยวมากมาย และผ่านเนินเขาเทียมจำนวนมากที่มีธารน้ำใสไหลผ่านเขากลับไม่ได้พบสมบัติล้ำค่าเลยแม้แต่ชิ้นเดียวที่พอจะทำให้เขาสั่นคลอนได้ เฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน “ช่างแปลกนัก ตำหนักของราชาเหยี่ยวสายฟ้านั้นอลังการยิ่ง แต่เหตุใดกลับไม่มีของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว”

ในขณะนั้นเอง สุ้มเสียงทุ้มต่ำและโรยรินก็ดังขึ้นเข้าหู “การเคลื่อนไหวที่ภายนอกหยุดลงแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าราชาเหยี่ยวสายฟ้าตายแล้ว?”

เฉินซีแยกแยะแหล่งที่มาของเสียง และตามไปถึงหลังภูเขาเทียมในทันที ภายใต้การปกคลุมของหญ้าเขียวขจีและตะไคร่น้ำ ช่างเป็นทางเข้าที่น่าตกตะลึงยิ่ง ทางเดินนี้เล็กและแคบทำให้ผ่านไปได้ทีละคนเท่านั้น มีขั้นบันไดวนราวกับนำพาไปสู่ส่วนลึกของพื้นดิน ส่วนทิศทางของเสียงนั้นดังมาจากด้านใน

“ตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นที่ด้านข้างของหน้าผา จากการคาดการณ์ ทางเดินนี้ควรนำไปสู่ภายในเชิงเขา” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เขาต้องการเห็นถึงสิ่งที่อยู่ด้านล่าง ว่าผู้ที่กล่าวก่อนหน้านี้เป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูรกันแน่

หลังจากเดินไปสักหนึ่งก้านธูปในเส้นทางแคบ ๆ ที่มืดสลัวและเปียกชื้น เฉินซีก็มาถึงสถานที่โล่งกว้างอันมืดมิด โดยมีตะเกียงน้ำมันทรงปลาฉลามเพียงไม่กี่อันส่องไฟสลัวแขวนอยู่บนผนัง

มันมืดมิด เปียกชื้น และอบอ้าว พื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่น่าสะอิดสะเอียน มีกลิ่นเลือดเข้มข้นคาวฉุนผสมอยู่ภายใน ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง

ที่แห่งนี้มันเรือนจำชัด ๆ!

สายตาของเฉินซีกวาดมองไปรอบ และเขาก็พบเห็นว่ามีห้องหินคับแคบจำนวนมากเรียงรายอยู่บนทางเดินที่ทอดยาวราวร้อยจั้งเศษ ประตูของห้องหินแต่ละห้องถูกสร้างเป็นลักษณะซี่กรงเหมือนคุกทั่วไป แต่โลหะที่ใช้สร้างนั้นดูแล้วไม่ใช่เหล็กธรรมดา มันเป็นซี่กรงเหล็กสีเข้มซึ่งหนาพอ ๆ กับท่อนขาของมนุษย์ ประตูเหล่านั้นปิดผนึกห้องหินไว้อย่างแน่นหนา

“บัดซบ! ราชาเหยี่ยวสายฟ้าช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนักหากไม่ใช่เพราะมันใช้ไอ้ภูเขาสีม่วงบ้านั่นอย่างกะทันหัน พวกเราจะถูกกักขังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? มันจะเป็นการดีที่สุดถ้ามันตายไปแล้ว และบางทีเราอาจได้รับการช่วยเหลือด้วยซ้ำ!”

“พี่ใหญ่ไฉ่กล่าวได้ถูกต้อง ทว่าข้าสงสัยยิ่งนักว่าเป็นผู้ใดที่กำลังต่อสู้กับราชาเหยี่ยวสายฟ้าอยู่? หากเขาสามารถช่วยเหลือเราสองคนด้วยความชอบธรรม มันก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”

ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของเฉินซี เสียงของการสนทนาที่เบาก็ดังขึ้นอยู่ภายในห้องหินที่มืดมิด เฉกเช่นเสียงกระซิบของหนูใต้ดิน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีได้ยินเสียงทั้งสอง เขาก็รู้สึกตกตะลึงในใจก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “ไฉ่เล่อเทียน อวี้ฮ่าวไป๋?”

“ผู้ใดกัน!?”

“ผู้ใด? เจ้าจำข้าไฉ่เล่อเทียนได้? หรืออาจจะเป็นสหายเต๋า?” เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจทั้งสองครั้งดังออกมาจากภายในห้องหิน ดูเหมือนจะตื่นเต้นอย่างยิ่ง

‘มันคือไอ้ลูกหมาสองคนที่ข้าสาปแช่งจริง ๆ!’

แสงเย็นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของเฉินซี ยามที่พวกเขาอยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ไฉ่เล่อเทียนมักจะสร้างปัญหาให้แก่เขาอยู่เสมออีกทั้งยังลอบจู่โจมเขาจากด้านหลัง เมื่อถูกคว้าจับโดยไม่ทันระวังเฉินซีก็ถูกโยนลงไปในหุบเหวลึกของแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาบรรลุขอบเขตก่อกำเนิด เขาอาจจะกระแทกพื้นกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปนานแล้ว

เขาเก็บงำความแค้นนี้ไว้ในใจเสมอ แล้วเขาจะลืมมันไปได้อย่างไร ทันทีที่เขาตกลงไปในหุบเหวลึก เขาสาบานกับตัวเองว่า ในช่วงชีวิตนี้จะต้องฆ่าเจ้าคนที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจผู้นี้อย่างแน่นอน

ในขณะนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับไฉ่เล่อเทียนซึ่งถูกกักขังอยู่ภายในห้องหิน มันก็เหมือนกับได้รับของขวัญจากสวรรค์ ทำให้เฉินซีต้องทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์โล่งใจ วิถีธรรมชาติก็หมุนเวียนอย่างนี้ ผู้กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษและผู้ที่มีใจเอื้ออาทรย่อมได้รับการตอบแทน

“ระยำเอ๊ย! เจ้านั่นคือเฉินซี!”

“อา ไม่แปลกใจเลย ที่น้ำเสียงเขาฟังดูคุ้นเคย… ฮ…ฮะ เดี๋ยวก่อน เฉินซี!? เหตุใดถึงเป็นเขา!”

ภายในห้องหินไฉ่เล่อเทียนและอวี้ฮ่าวไป๋ดูเหมือนจะจำเสียงของเฉินซีได้แล้ว และอุทานออกมาเสียงดัง ในตอนนี้พวกเขาสวมชุดราวกับผ้าขี้ริ้วและมีสีหน้าซีดเซียว ตามร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนและยังถูกมัดด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่หนาและยาวส่องประกายแสงสีม่วง รูปลักษณ์ของพวกเขาขณะนี้ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก

เมื่อเฉินซีก้าวมาถึงเบื้องหน้าห้องหินที่คนทั้งคู่ถูกขังและเห็นสารรูปคนทั้งสองชัดเจน ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ในบรรดาสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นศิษย์สายตรงของพระราชวังข่ายดารามีบรรพบุรุษเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนทางตอนใต้ ทำให้เขามีสถานะเป็นที่น่านับถือและมีภูมิหลังที่น่าเกรงขาม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นศิษย์ผู้มีใบหล่อเหลาของหนึ่งในสามสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเมืองทะเลสาบมังกรนั่นคือสำนักเมฆาอนันต์ อวี้ฮ่าวไป๋เป็นอัจฉริยะผู้ที่โดดเด่นในหมู่คนเยาว์ ทว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งสองกลับถูกกักขังอยู่ในคุกที่มืดมิดแห่งนี้ อีกทั้งยังมีสภาพเลวร้ายไม่ต่างกับขอทาน แล้วจะไม่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เหตุผลนั้นมันคนละส่วน เจตนาฆ่าในหัวใจของเฉินซีกำลังก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ เขาย่อมอาศัยโอกาสนี้เพื่อสังหารพวกมัน เมื่อพวกมันประสบกับความยากลำบาก เขาจะไม่มีวันพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน

หมับ!

เฉินซีกำกระบี่ไผ่ทองคำนิลไว้ในมือและฟันประตูเหล็กกล้าขาดสะบั้นราวกับตัดเต้าหู้ก่อนจะก้าวเดินเข้าไป

“เจ้าต้องการสิ่งใด!? เฉินซี พวกเราเป็นสหายเต๋ากัน ก็ควรจะคุยกันก่อนไม่ได้หรือ?” สีหน้าของอวี้ฮ่าวไป๋ซีดลงในทันทีและเขาก็ตะโกนออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ฮึ่ม! เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้ เจ้าเป็นแค่ขยะจากตระกูลที่ยากไร้ หากเจ้าฆ่าข้า ไม่เพียงแค่เจ้าจะต้องตาย แต่ยังรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าจะต้องตายตกไปด้วย ทว่าหากเจ้าช่วยพวกเราในตอนนี้ ข้าจะปล่อยให้เรื่องในอดีตผ่านไป และยังจะให้รางวัลมากมายแก่เจ้าด้วย เจ้าว่าเป็นอย่างไร?” จนถึงขณะนี้ ไฉ่เล่อเทียนยังคงแสดงท่าทางเย่อหยิ่ง และน้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นความมั่นใจและเหยียดหยามยิ่งนัก

เฉินซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเขามองไปยังไฉ่เล่อเทียนด้วยความรู้สึกแปลกใจ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเจ้าคนนี้ยังคงเย่อหยิ่งและจองหองแม้ในเวลาเช่นนี้ นี่นับเป็นความโง่เขลาใช่หรือไม่? หรืออีกฝ่ายเพียงแค่แกล้งโง่เพื่อให้ตายไวกว่าเดิม?

“เฉินซี สิ่งที่สหายเต๋าไฉ่กล่าวนั้นถูกแล้ว เจ้าควรคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ บรรพบุรุษของสหายเต๋าไฉ่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาและตัวข้าเองก็มาจากสำนักเมฆาอนันต์ มันไม่คุ้มเลยที่เจ้าจะเป็นศัตรูกับพวกเราจริงหรือไม่?” อวี้ฮ่าวไป๋เข้าใจว่าเฉินซีรู้สึกเกรงกลัว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย

เฉินซีนิ่งเงียบไปจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้คิดจะกล่าวอันใดเลย ชายหนุ่มเพียงตวัดกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเขาตัดข้อมือของไฉ่เล่อเทียน!

ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนอันเจ็บปวดของไฉ่เล่อเทียนพลันดังสนั่น จากนั้นเฉินซีก็ยัดข้อมือที่ถูกตัดเข้าไปในปากของไฉ่เล่อเทียน และเสียงร้องของความทุกข์ทรมานกลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญ เลือดไหลออกจากปากของเขาและเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งหน้าอก เขาเจ็บปวดจนถึงขั้นทิ้งตัวดิ้นกับพื้นและสั่นสะท้านไปมา รูปร่างหน้าตาของเขาตอนนี้ช่างน่าสยดสยองอย่างยิ่ง

“เจ้า… เจ้า…” ในใจของอวี้ฮ่าวไป๋รู้สึกสับสนยิ่งนักเพราะการกระทำอันเหี้ยมโหดของเฉินซี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นสภาพที่น่าสยดสยองของไฉ่เล่อเทียนขณะจับข้อมือที่ขาดด้วน อวี้ฮ่าวไป๋จึงอดไม่ได้ที่จะครวญครางออกมาเสียงดังเพราะเกรงว่าเฉินซีจะตัดมือแล้วยัดเข้าไปในปากของเขาเช่นเดียวกัน

“ข้าถามเจ้าตอบ มิฉะนั้นข้าจะถามไฉ่เล่อเทียนเองหลังจากที่ข้าฆ่าเจ้าแล้ว” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

อวี้ฮ่าวไป๋พยักหน้ารับราวกับลูกไก่จิกเม็ดข้าว เขาเข้าใจความโหดเหี้ยมและดุร้ายของเฉินซีอย่างชัดเจนและไม่ลังเลใจ เมื่อเฉินซีเคลื่อนไหวก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ

“ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ อยู่ที่ใด” เฉินซีถาม เดิมทีเขาคิดว่าตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ อาจอยู่ที่นี่ แต่หลังจากที่เขาใช้ญาณตระหนักรู้ตรวจสอบอย่างละเอียดเขาก็รับรู้ว่าที่นี่ไม่มีใครอื่นนอกจากไฉ่เล่อเทียนและอวี้ฮ่าวไป๋

“พวกเขาถูกราชาอีกาทมิฬจับไป มันต้องการใช้พวกเขาเพื่อกลั่นเม็ดยาบางอย่าง” อวี้ฮ่าวไป๋รีบตอบในทันที และเขาต้องก็รู้สึกใจสั่นไหว เมื่อสังเกตเห็นท่าทางไม่พอใจของเฉินซี เขาจึงรีบชิงกล่าวต่อ “นี่เป็นความจริง แต่พวกเขาควรจะยังมีชีวิตอยู่เพราะการกลั่นยานั้นดูเหมือนว่าจะต้องรวบรวมผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอีกจำนวนหนึ่ง ในตอนนี้พวกเขาจับได้เพียงแปดคนและพวกเขาดูเหมือนจะยังขาดอยู่อีก”

“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าสองคนถึงถูกขังแยกอยู่ที่นี่?” เฉินซีซักถามรายละเอียด เนื่องจากคำตอบของอวี้ฮ่าวไป๋นั้นคลุมเครือยิ่งนัก และรู้สึกเชื่อถือได้เพียงครึ่งเดียว

“ราชาเหยี่ยวสายฟ้าตั้งใจจะใช้ดวงวิญญาณและเลือดของเราเพื่อขัดเกลาภูเขาสมบัติวิเศษของเขา ดังนั้นเขาจึงกักขังเราไว้ที่นี่เพื่อทรมานทุกวัน เป้าหมายของเขาคือดึงเอาความคับแค้นของเราไปเพิ่มพูนพลังของสมบัติวิเศษของเขา” อวี้ฮ่าวไป๋ดูเหมือนจะระลึกถึงความทรงจำที่ไม่อาจทานทน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ยิ่งในขณะที่เขากัดฟันตอบกลับ

“แล้วกลุ่มของซูเจียวล่ะ?”

“ข้าไม่รู้เกี่ยวกับพวกของนาง แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนจากกลุ่มของซูเจียวที่ราชาอีกาทมิฬจับตัวไปขังไว้ด้วย”

“ว่าแต่พวกเจ้าทั้งหมดถูกราชาอสูรจับได้อย่างไร? เท่าที่ข้าทราบมา พวกเจ้าทุกคนอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล หากพวกเจ้าทั้งหมดร่วมมือกันมันก็น่าจะต่อกรกับพวกราชาอสูรได้”

“พวกเราแยกย้ายกันหลังจากออกมาจากดินแดนรกร้างใต้พิภพ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดข้าจึงถูกส่งตัวมายังส่วนลึกของเทือกเขา จากนั้นก็ถูกราชาเหยี่ยวสายฟ้าจับ และก็ได้พบกับสหายเต๋าไฉ่”

ไล่บดขยี้คนเหล่านี้ทีละคน? มันควรจะเป็นเช่นนั้น… เฉินซีจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด ‘ในตอนนี้ราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่สองในเจ็ดถูกข้าสังหารทว่ายังคงมีราชาอสูรเหลืออยู่อีกห้าตน ข้าสงสัยว่าการบ่มเพาะของราชาอีกาทมิฬนี้จะสูงล้ำถึงระดับใดกัน แต่ตามที่มู่ขุยเคยกล่าวไว้ ความแข็งแกร่งของอสูรผู้นี้ดูเหมือนจะด้อยกว่าราชาเต่าเฒ่าที่ลึกลับ ทว่ามันก็ยังเป็นตัวตนแข็งแกร่งระดับเดียวกับราชาจิ้งจอกเก้าหาง…’

“ข้าบอกเจ้าทุกอย่างเท่าที่ข้าทราบแล้ว เฉินซีข้าขอร้องเจ้า ปล่อยข้าไปได้หรือไม่?” อวี้ฮ่าวไป๋คุกเข่าลงบนพื้นและกล่าวด้วยท่าทางที่น่าสงสารอย่างยิ่ง “พวกเราหาใช่ศัตรูกัน หากจะฆ่าก็ฆ่าแค่เพียงไฉ่เล่อเทียนที่เป็นคนโยนเจ้าลงไปในหุบเหว ข้าไม่เคยทำให้เจ้าขุ่นเคืองแต่อย่าง… อ๊ะ!”

ฉัวะ!

คมกระบี่ส่องประกายวาบและศีรษะของอวี้ฮ่าวไป๋ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ แม้กระทั่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเขายังไม่อยากเชื่อว่าเฉินซีจะกล้าทำอย่างนี้จริง ๆ

“หากข้าไม่ฆ่าเจ้าทิ้งเสียตอนนี้ เจ้าอาจจะวางแผนทำร้ายข้าในอนาคตก็ได้ใครจะรู้” เฉินซีส่ายศีรษะ อวี้ฮ่าวไป๋พลิกลิ้นไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อเห็นแก่ชีวิตตน โดยเฉพาะการผลักความผิดทุกอย่างให้แก่ไฉ่เล่อเทียน การกระทำราวกับคนเหยียบเรือสองแคมนี้นับว่าน่าชิงชังที่สุด และเป็นประเภทที่ไม่อาจปล่อยให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

“คุ! แค่ก! แค่ก! แค่ก!” ที่ด้านข้าง ไฉ่เล่อเทียนเค้นกำลังทั้งหมดในร่างกายของเขา ในที่สุดเขาก็สามารถถ่มมือของเขาออกจากปากได้ เขาเหลือบมองไปที่ซากศพไร้ศีรษะของอวี้ฮ่าวไป๋ แล้วใบหน้านั้นก็หม่นหมองลง เขาไออย่างรุนแรงก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! เมื่อใดที่เจ้าฆ่าข้า บรรพบุรุษตระกูลไฉ่ของข้าก็จะรู้ว่าเป็นเจ้าที่…”

ฉัวะ!

พริบตาถัดมาหลังจากเสียงตวัดกระบี่ คุกที่มืดมิดและเปียกชื้นภายในภูเขาก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง