บทที่ 75 ชี้กระบี่ไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 75 ชี้กระบี่ไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน
บทที่ 75 ชี้กระบี่ไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน

หลังจากที่ลงมือฆ่าไฉ่เล่อเทียนและอวี้ฮ่าวไป๋ เฉินซีก็หยุดพักผ่อนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกลับไปที่เทือกเขาวงจันทรา

‘ราชาอีกาทมิฬปรารถนาที่จะกลั่นเม็ดยาโดยใช้ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ เป็นวัตถุดิบ แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ แต่สถานการณ์ของพวกเขาก็นับว่าอันตรายอย่างยิ่งและอาจตายได้ทุกเมื่อ… ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด’ เฉินซีครุ่นคิดตลอดทางที่กลับมายังขุนเขาวงจันทราโดยใช้เวลาไม่นาน

ภายในที่พำนัก เมื่อมู่ขุยเห็นเฉินซีกลับมาถึง เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็กลับมา! ข้าผู้ต่ำต้อยกังวลถึงท่านเหลือเกิน!”

“เจ้ายังจะกังวลถึงสิ่งใดอีก? ข้าได้สังหารราชาเหยี่ยวสายฟ้าไปแล้ว ที่นี่คงจะสงบสุขไปอีกสักระยะ” เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะพลางเอ่ยขึ้น “ข้าต้องการฟื้นฟูความแข็งแกร่ง จงเฝ้าระวังให้ข้าไว้”

“ผู้อาวุโส โปรดบ่มเพาะตามสบายเถิด ข้าผู้ต่ำต้อยคนนี้จะออกไปเฝ้าระวังเอง”

ฟิ้ว!

มู่ขุยรีบออกจากที่พำนักด้วยอารมณ์ที่พวยพุ่งจนแทบจะอ้าปากค้าง ผู้อาวุโสเฉินซีฆ่าราชาเหยี่ยวสายฟ้าไปแล้ว?

‘เมื่อข้าต่อสู้กับราชาวานรทมิฬ ข้อได้เปรียบของข้าคือความเชี่ยวชาญในทักษะยุทธ์ที่เหนือล้ำกว่าเขา แต่การบ่มเพาะของข้าก็ยังด้อยกว่าเขานัก หากไม่ใช่เพราะกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ข้าครอบครองสามารถตอบโต้วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นได้ ข้าเกรงว่าผลของการต่อสู้คงคาดเดาได้ยากยิ่ง’

‘การบ่มเพาะของราชาเหยี่ยวสายฟ้านั้นเหนือล้ำกว่าราชาวานรทมิฬก็จริง แต่น่าเสียดายที่เขาหมกมุ่นในอุบายมากเกินไป เขาต้องการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบโดยขาดความกล้าในการเผชิญหน้า แม้ว่าเขาจะวางค่ายกลพันพญาเหยี่ยวและมีมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์อยู่ในครอบครอง ภายใต้การลอบโจมตีที่ไม่ทันตั้งตัวของวิชารัศมีไร้ร่องรอยของข้า พวกมันหามีประโยชน์อันใด ดังนั้นจึงพ่ายแพ้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย’

‘อย่างไรก็ตาม หากข้าสามารถสร้างค่ายกลกระบี่ที่เลิศล้ำด้วยกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มได้ ต่อให้ข้าจะไม่ลอบจู่โจมราชาเหยี่ยวสายฟ้าแบบไม่ทันตั้งตัว ข้าก็ยังสามารถจัดการกับมันได้อย่างไม่ยากลำบาก’

เฉินซีนั่งสมาธิอยู่บนเบาะนั่งสมาธิและคิดทบทวนเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งสองครั้งที่เกิดขึ้นในวันนี้และร่องรอยของความเข้าใจก็เกิดขึ้นในใจของเขา

การต่อสู้จริงเป็นหินลับคมที่ขัดเกลาการฝึกฝนของผู้บ่มเพาะได้ดีที่สุด

ยิ่งอันตรายมากเท่าไร ผลตอบแทนที่ได้ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนต่างผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนับไม่ถ้วน ผ่านการต่อสู้ที่อับจนหนทางและต้องต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อชัยชนะเพียงเท่านั้น จึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

การฆ่าราชาวานรทมิฬและราชาเหยี่ยวสายฟ้าติดต่อกัน ทำให้เฉินซีรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันเขายังสังเกตเห็นถึงข้อบกพร่องอีกด้วย นั่นก็คือระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขายังคงต่ำเกินไป

หากเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญทักษะยุทธ์เท่ากันก็คงทำได้แต่ต้องหลบหนีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากเฉินซีต้องการแก้ไขข้อบกพร่องนี้ นอกเหนือจากการบ่มเพาะขัดเกลาลมปราณอย่างหมั่นเพียรและยากลำบากแล้ว การเรียนรู้วิธีการโจมตีที่ทรงอานุภาพก็นับเป็นอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

‘กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มล้วนเป็นศัสตราวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงสุด ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไตร่ตรองเต๋าแห่งค่ายกลยันต์อักขระยามที่ข้ามีเวลา ถ้าสามารถเข้าใจทักษะในการวางค่ายกลกระบี่ ความแข็งแกร่งของข้าก็จะยกระดับขึ้นไปอีก’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงค่อยส่ายศีรษะละทิ้งความคิดที่วอกแวกทั้งหมดของเขาก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะต่อไป

อึก! อึก!

วารีวิญญาณภายในขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมถูกเฉินซีกระดกกลืนเข้าไปและไหลเข้าสู่ภายในพื้นที่อันไร้ขอบเขตของตำหนักอินทนิลของเขา

เฉินซีได้โคจรเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ควบคู่ไปด้วย กระแสปราณแท้ที่ใสราวกับธารสวรรค์ไหลรินสู่ทะเลสาบของตำหนักอินทนิล เหนือทะเลสาบนั้น ดวงดาราของปราณแท้ที่มืดสลัวค่อย ๆ สว่างขึ้น มันใสราวกับผลึกแก้วและโปร่งแสง อีกทั้งยังเปล่งแสงเย็นจาง ๆ

หลังจากก้าวสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้วทุก ๆ ระดับที่เพิ่มขึ้นจะควบแน่นปราณแท้ให้เป็นดวงดาราภายในตำหนักอินทนิล ดวงดาราของปราณแท้เหล่านี้สอดคล้องกับทะเลสาบ และความสว่างของดวงดาราของปราณแท้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าปราณแท้นั้นบริสุทธิ์เพียงใด

จากนั้น เมื่อหลอมรวมดาราทั้งเก้าเข้าด้วยกันแล้ว พวกมันจะก่อให้เกิดเหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่มีดาราทั้งเก้าดวงเชื่อมโยงเข้าหากันอยู่เหนือทะเลสาบของตำหนักอินทนิล ราวกับสะพานโค้งที่สร้างขึ้นในทะเลสาบ เมื่อถึงขั้นนั้น ก็เตรียมพร้อมสำหรับก้าวผ่านไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำ

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลยังสัมพันธ์กับเคล็ดวิชาที่บ่มเพาะอย่างยิ่ง

เคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในชั้นยอดสามารถขยายขนาดทะเลสาบของตำหนักอินทนิลได้อย่างมาก ยิ่งทะเลสาบของตำหนักอินทนิลกว้างใหญ่และลึกเพียงใด ปราณแท้ก็จะยิ่งหนาแน่นขึ้นและอานุภาพของปราณแท้ที่แสดงออกมาก็จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวทวีคูณ

ปราณแท้ที่กลั่นด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในทั่วไปนั้นไม่บริสุทธิ์ยามควบแน่น ยิ่งกว่านั้น มันยังสร้างผลกระทบต่อการขยายตัวของทะเลสาบของตำหนักอินทนิลและอานุภาพที่แสดงออกมานั้นจะเป็นเพียงระดับทั่วไป สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อบ่มเพาะปราณภายในด้วยเคล็ดวิชาระดับทั่วไป เวลาก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น การรุดหน้าจะเต็มไปด้วยความยากลำบากทำให้ก้าวไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ตามการบ่มเพาะเคล็ดวิชาปราณภายในระดับสูงต้องใช้วารีวิญญาณจำนวนมหาศาล ท้ายที่สุดหากทะเลสาบของตำหนักอินทนิลกว้างใหญ่และลึกขึ้นเท่าไร ปราณแท้ที่ต้องถูกกลั่นไปเติมเต็มก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ที่เฉินซีบ่มเพาะอยู่ เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณภายในที่จี้อวี๋เลือกให้แก่เขา แม้ว่ามันจะบ่มเพาะได้ไปถึงแค่ระดับเก้าดาราของขอบเขตตำหนักอินทนิล แต่ก็ยังถือว่าเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะปราณชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหรือปริมาณของปราณแท้ที่บ่มเพาะได้มา ทั้งสองสิ่งก็ยังเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไป

หนึ่งวันต่อมา

เฉินซีลืมตาตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะเนื่องจากวารีวิญญาณราวห้าร้อยจินที่เหลืออยู่ในขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมได้ถูกกลั่นไปจนหมดสิ้น ในปัจจุบันดวงดาราแห่งปราณแท้ที่อยู่ในพื้นที่ว่างภายในตำหนักอินทนิลของเขานั้นสว่างไสวและแพรวพราวยิ่งนัก ราวกับว่ามันถูกแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็งและหยก

วารีวิญญาณ… วารีวิญญาณ… วิถีแห่งการบ่มเพาะไม่อาจหลุดพ้นจากคำว่า ‘ความมั่งคั่ง’ บรรดาศิษย์ของตระกูลและนิกายใหญ่มักจะครอบครองทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะเอาไว้มากมาย ดังนั้นการบ่มเพาะของพวกเขาจึงรุดหน้าเร็วกว่าคนปกติและทิ้งห่างผู้บ่มเพาะพเนจรทั่วไปที่ไม่มีผู้ใดเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง

‘หากข้าต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้รวดเร็วกว่านี้ คงจะต้องรวบรวมวารีวิญญาณให้มากขึ้น…’

การบ่มเพาะมาตลอดหนึ่งวันได้สูญเสียวารีวิญญาณไปถึงห้าร้อยจินแต่กลับรุดหน้าไปเพียงเล็กน้อย ทำให้เฉินซีต้องถอดทอนหายใจด้วยเสียดาย ในวิถีแห่งการบ่มเพาะ ความมั่งคั่ง มิตรสหาย เคล็ดวิชา และสถานที่ มีเพียงสี่คำนี้เท่านั้นที่สำคัญ และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจลบล้างได้นับตั้งแต่สมัยโบราณ

“มู่ขุย!” เฉินซีเดินออกจากถ้ำและร้องเรียก

“มีอะไรหรือขอรับ ท่านผู้อาวุโส” มู่ขุยที่นั่งบ่มเพาะอยู่ใต้ต้นสนรีบลุกขึ้นถามด้วยความเคารพ

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าอยากไปที่หุบเขาจันทราโหยหวนและจะเดินทางไปในทันที หากข้าไม่กลับมาภายในเวลาสามวันจงห้ามรั้งอยู่เด็ดขาด”

มู่ขุยพลันตกตะลึงและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านผู้อาวุโสต้องการไปฆ่าราชาอีกาทมิฬหรือ”

เฉินซีส่ายศีรษะ “ข้าแค่จะไปช่วยชีวิตผู้คน” หลังจากที่กล่าวจบเฉินซีก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ช้าก่อนท่านผู้อาวุโส! สมบัติที่ราชาวานรทมิฬทิ้งไว้ยังอยู่กับข้า ท่านโปรดรับไปก่อนเถิด!” ดูเหมือนมู่ขุยจะนึกอะไรบางอย่างได้จึงหยิบกระเป๋าเก็บของออกมาก่อนที่จะร้องเรียกอย่างเร่งรีบ

“เก็บไว้ที่เจ้านั่นแหละ หากการเดินทางของข้าประสบความสำเร็จ ข้าจะไปจากส่วนลึกของเทือกเขา จงเก็บสมบัติเหล่านั้นไว้เพื่อปกป้องตัวเจ้าเอง” เสียงนั้นห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ จนร่างของเฉินซีได้หายลับไปในขอบฟ้าแล้ว

‘เหตุใดถึงเป็นอย่างนี้? เขาจากไปแบบนี้เนี่ยนะ?’ มู่ขุยตกอยู่ในภวังค์ขณะที่เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาไม่อยากจะปล่อยเฉินซีไป ตลอดช่วงเวลาที่มีส่วนร่วมกับเฉินซี เขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างจริงใจ และยึดถือชายหนุ่มเป็นเจ้านายที่เขาจะคอยรับใช้ไปตลอดชีวิต

‘ไม่! ข้าจะไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ ข้าต้องบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียรและเมื่อข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ข้าจะไปพบกับผู้อาวุโสเฉินซีอีกครั้ง และต้องทำให้เขายอมรับในตัวข้าให้จงได้!’

มู่ขุยจ้องมองไปยังจุดที่เฉินซีหายตัวไป ในขณะที่เขากำหมัดแน่นและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ยามเย็น

ภายใต้แสงตะวันอัสดง หุบเขาจันทราโหยหวนเป็นเทือกเขาสูงตระหง่านราวกับมีสัตว์โบราณตัวมหึมาถูกฝังไว้ อีกทั้งยังถูกย้อมไปด้วยสีโลหิตอันเข้มข้น แม้มันจะดูรกร้างและคล้ายกับถูกย้อมไปด้วยเลือดแต่ก็งดงามยิ่งนัก

ฟุ้บ!

เฉินซีร่อนลงมายังพื้นห่างจากหุบเขาจันทราโหยหวนราวสองลี้ เมื่อชายหนุ่มเพ่งพินิจไปทางหุบเขาจันทราโหยหวน เขาก็เห็นปราณอสูรสามสายที่โดดเด่นที่สุดพวยพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าบดบังท้องฟ้าและเผยให้เห็นความมืดมนไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

เมื่อเทียบกับปราณอสูรที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งเลือนรางราวกับหมอกควัน มันแตกต่างกันราวกับไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ และดวงจันทร์ที่เจิดจ้า

‘ราชาอสูรสามตน? เป็นปัญหาแล้วสิ!’

‘ราชาวานรทมิฬและราชาเหยี่ยวสายฟ้าถูกข้าฆ่าไปแล้ว ราชาเต่าเฒ่าที่ลึกลับที่สุดนั้นล่องลอยเตร่ไปมาไม่อาจคาดเดา และราชาจิ้งจอกเก้าหางที่ระดับเดียวกับราชาอีกาทมิฬ คงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเหลือเพียงราชามังกรทมิฬแห่งทะเลสาบจันทร์ฉายและราชาอสรพิษอินทนิลของพงไพรอัสดง’

‘ความแข็งแกร่งของราชามังกรทมิฬและราชาอสรพิษอินทนิลนั้นด้อยกว่าราชาเหยี่ยวสายฟ้า แต่เหนือกว่าราชาวานรทมิฬ หากอสูรสองตนนี้ร่วมมือกับราชาอีกาทมิฬ โอกาสในการประสบความสำเร็จของข้าย่อมลดน้อยลง’

‘ข้าควรทำอย่างไรดี?’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจซุ่มดูอยู่เงียบ ๆ แล้วรอโอกาสที่จะเคลื่อนไหว

เขาไม่อาจนิ่งเฉยในขณะที่พวกตู้ชิงซีกำลังเผชิญกับคราวเคราะห์ มิฉะนั้นความรู้สึกผิดจะก่อขึ้นในหัวใจและมันย่อมจะกลายเป็นมารภายในใจ ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อการบ่มเพาะของเขาในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน

จี้อวี๋ปรากฏตัวขึ้นและถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าอยากไปช่วยพวกเขาจริง ๆ หรือ?”

เฉินซีตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าจี้อวี๋จะปรากฏตัวในเวลานี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

“เพราะเหตุใด?” จี้อวี๋ยังคงซักไซ้ต่อไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเพียงเฝ้าดูเมื่อเจ้าพบกับคราวเคราะห์โดยไม่สอดมือช่วยในทันที? อย่างมากที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าทุกคนก็เป็นแค่คนรู้จักธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”

“ตอนที่ข้าอยู่ในที่พำนักเซียนกระบี่ ข้าทำให้พวกเขาตกอยู่ในการต่อสู้อันโกลาหลที่ข้าจงใจก่อขึ้นเพื่อฆ่าไฉ่เล่อเทียน เหตุนี้จึงทำให้ข้ารู้สึกผิดเสมอมาและข้าต้องการชดใช้มัน” เฉินซีกล่าวช้า ๆ

“หากเจ้าตายล่ะ?” จี้อวี๋ยังคงถามต่อไป

เฉินซีดูเหมือนจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ เขาก็ได้ตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวว่า “ข้าคิดว่าไม่สำคัญว่าจะเป็นเต๋าแห่งสวรรค์หรือเต๋าแห่งมนุษย์ มันทั้งคู่ต่างชี้ไปยังหัวใจ หากใจไม่อาจสงบ มารในใจของข้าจะเติบโตอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล้มตายข้าก็ยังคงกระทำเช่นนี้ ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่ได้กล่าวก่อนหน้านี้หรือว่าเส้นทางของการบ่มเพาะคือการเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์และจงยึดมั่นในหัวใจที่แท้จริงของตนเอง?”

ความรู้สึกชื่นชมที่ยากจะพบเห็นปรากฏขึ้นในดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ของจี้อวี๋ เมื่อชายชราได้ยินประโยคนี้

ท้ายที่สุดเขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้แม้จะต้องเผชิญกับอันตราย เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติอันร้ายแรง เขาก็ยังคงยึดมั่นในหัวใจที่แท้จริงของตนเองและก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ การบ่มเพาะจิตใจในระดับนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะได้มา จี้อวี๋ได้เห็นคนที่โดดเด่นมากมายในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา เช่นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซึ่งบ่มเพาะกายาเทพ เซียนกระบี่ผู้ไร้ต้าน… พวกเขาคนใดกันที่ไม่ได้ครอบครองพรสวรรค์และมีร่างกายอันยอดเยี่ยมโดยกำเนิด? แต่ถ้าในแง่ของความแน่วแน่และความดื้อรั้นของจิตใจ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงเฉินซีได้

ท้ายที่สุดแล้ว หากจิตแห่งเต๋าไม่มั่นคงและโลเล ไม่ว่าพรสวรรค์โดยกำเนิดของบุคคลนั้นจะสูงล้ำเพียงใดก็ไม่อาจก้าวไปสู่จุดสิ้นสุดของมหาเต๋าได้!

“ด้วยสภาวะจิตใจเช่นนี้มหาเต๋าย่อมสามารถบรรลุได้” จี้อวี๋ได้ทิ้งประโยคสั้น ๆ นี้ไว้ก่อนที่จะหายตัวไป

‘มหาเต๋าย่อมสามารถบรรลุได้? อืม เรามาดูกันว่าข้าจะหลบหนีจากสถานที่อันตรายอย่างนี้ได้หรือไม่…’

เฉินซีบ่นพึมพำกับตัวเอง จากนั้นร่างของเขาก็หายไปราวกับอากาศธาตุ ขณะที่เขาเข้าใกล้หุบเขาจันทราโหยหวน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสองลี้

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

ด้วยการใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานที่ลึกล้ำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เฉินซีได้หลีกเลี่ยงเหล่าสัตว์อสูรที่ลาดตระเวนที่เชิงเขาอย่างปลอดภัย และรีบวิ่งไปตามเส้นทางเล็ก ๆ อันเงียบสงบไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน

ทันทีที่เขามาถึงกลางเขา ทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับว่ากลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนในทันใด และสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เต็มไปด้วยหมอกอสูร ทำให้เขาแยกแยะภูมิประเทศได้เพียงเล็กน้อย

วูบ! วูบ! วูบ!

เสียงแหลมของสายลมที่พัดแรงราวกับเสียงกรีดร้องและเสียงเห่าหอนดังก้อง อีกทั้งเสียงดังกล่าวยังแฝงไปด้วยพลังประหลาดที่ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกปั่นป่วน

‘นี่มันค่ายกล!’

ญาณตระหนักรู้ของเฉินซีได้บรรลุในระดับที่สูงมากตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวการรบกวนจากเสียงนั้น ขณะที่เขามองไปโดยรอบ เขาก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองในทันที และหัวใจของเขาก็จมดิ่งลงอย่างช่วยไม่ได้