บทที่ 266 ดวล 1-1
บทที่ 266 ดวล 1-1

ฟังจากคำพูดของคนทั้งสอง มันแน่นอนชัดว่าวันนี้ไม่มีใครยอมใครแน่นอน พวกเขาพร้อมที่จะเข่นฆ่ากันได้ทุกเมื่อ!

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด คนทั้งคู่ก็สังเกตเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังเดินเข้ามาหา

หลิ่วอวี้จิงหันไปหาผู้มาใหม่ และเอ่ยขึ้นทักอย่างรวดเร็ว

“แกคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นภาพถ่ายของอวี้ฮ่าวหรานมาแล้ว แต่เมื่อเจอตัวจริง เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับหน้าตาที่อ่อนเยาว์ของอวี้ฮ่าวหรานซึ่งสวนทางกับความแข็งแกร่งที่มี

ไอ้เด็กนี่มันบ่มเพาะตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ของมันหรือไง?

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน และตอบกลับเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“ฉันเอง…อวี้ฮ่าวหราน ทำไม? แกคิดว่าจ้องฉันแบบนี้แล้วฉันจะตายงั้นเหรอ?”

หลิ่วอวี้จิงรู้สึกโมโหมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนดูหยอกล้อของอวี้ฮ่าวหราน

“ฆ่าแก? แกไม่ตายง่ายแบบนั้นหรอก! ฉันจะถลกหนังแกก่อน จากนั้นฉันค่อยฆ่าแกทิ้งเพื่อชดใช้กับที่แกดูถูกฉันไว้!”

เขารู้สึกแค้นต่ออวี้ฮ่าวหรานเป็นอย่างมาก แก๊งของเขาไม่เคยโดนใครทำให้เสียหน้ามากขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นวันนี้เขาจึงตั้งใจมาฆ่าอวี้ฮ่าวหรานให้ได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจกับรังสีฆ่าฟันที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมา เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดล้อเล่นกับคำที่ว่าจะฆ่าเขาวันนี้ให้ได้ แต่จะต้องสนใจอะไรในเมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอราวกับมดเมื่อเทียบกับเขา?

“เอาล่ะ ฉันขี้เกียจพูดมากและไม่อยากจะเปลืองแรงโดยไม่จำเป็นด้วย การทำลายแก๊งแกไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฉันสักเท่าไหร่ ดังนั้นตราบใดที่แกส่งตัวกัวหย่งซินมา ฉันจะยอมให้อภัยพวกแก”

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานจะฟังดูจริงจัง แต่คำพูดนี้ของเขามันกลับทำให้หลิ่วอวี้จิงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ให้อภัยงั้นเหรอ? ฮ่า ๆๆๆ!!”

หลิ่วอวี้จิงหัวเราะเสียงดังอยู่พักหนึ่งก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างฉับพลัน!

“มุขตลกของแกนี่มันทำให้ฉันยิ่งอยากฆ่าแกมากกว่าเดิมจริง ๆ! ฉันสาบานเลยว่าวันนี้ฉันจะเยี่ยวใส่หน้าแกก่อนที่ฉันจะฆ่าแกแน่นอน!”

ในขณะเดียวกันนี้ โจวเฟยหู่ก็หมดความอดทน

“หลิ่วอวี้จิง! ฉันบอกแกไปแล้วไง ถ้าแกกล้าแตะต้องน้องอวี้ล่ะก็ วันนี้แกกับฉันต้องตายกันไปข้าง!”

วันนี้โจวเฟยหู่ตั้งใจว่าจะมีส่วนร่วมให้มากที่สุดเพื่อเอาใจอวี้ฮ่าวหราน ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว ในใจของเขานั้นไม่ได้ห่วงเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานจะมีอันตราย

แก๊งนักเลงที่ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าแก๊งของเขาจะไปมีปัญญาทำอะไรคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานได้ยังไง ไอ้พวกโง่นี่มันรนหาที่ตายชัด ๆ!

“แล้วไง? ตายก็ตายสิวะ! ฉันบอกเอาไว้เลย ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันจะต้องฆ่าไอ้อวี้ฮ่าวหรานให้ได้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องตายกันหมดก็ตาม ฉันไม่ยอมให้ใครมาหยามฉันได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย!”

หลิ่วอวี้จิงตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินเช่นนี้ บรรดาคนของโจวเฟยหู่ต่างก็ตะโกนโห่ร้องอย่างดูถูก

“ถุย! แกคิดว่าแกทำอะไรพวกเราพยัคฆ์เวหาได้เหรอวะ? มีแต่พวกแกเท่านั้นที่จะตายวันนี้!”

“น่าหัวเราะว่ะ! ไม่นึกเลยว่าจะมีพวกโง่ที่คล้ายกับแก๊งมังกรครามโผล่มาอีกพวก!”

“…”

ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนและบรรดาหัวหน้าสาขาของแก๊งพยัคฆ์เวหาก็ก้าวออกมาที่แถวหน้าเตรียมพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่แก๊งวาฬยักษ์ทุกเมื่อ

ส่วนทางด้านของแก๊งวาฬยักษ์ก็ไม่หวาดกลัวเช่นกัน บรรดาหัวหน้าสาขาของหลิ่วอวี้จิงต่างก็ก้าวออกมาเตรียมพร้อมสู้ตายเช่นกัน

สถานการณ์ในตอนนี้มันเหมือนภูเขาไฟที่ใกล้จะปะทุอยู่เต็มทน

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานที่ยืนดูอยู่กลับหัวเราะออกมาเบา ๆ

เขารู้สึกประทับใจในความทุ่มเทของโจวเฟยหู่ ที่พยายามจะปกป้องเขา แต่อดีตจักรพรรดิเทพอย่างเขาเนี่ยนะจำเป็นต้องให้มนุษย์ปกป้อง?

และไอ้อีกพวกหนึ่งก็คิดว่าจะสามารถฆ่าเขาได้ง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกมันไม่รู้เลยว่าพวกมันเป็นเหมือนกระต่ายที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งเป็นพญาราชสีห์

คิดได้แบบนี้ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ในเมื่อแกอยากฆ่าฉันมากนักทำไมแกไม่ลงมือเองตอนนี้เลยล่ะ? ฉันยืนอยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง เข้ามาสิ! แกกับฉันมาดวลกันตัวต่อก็ได้”

เสียงของอวี้ฮ่าวหรานดึงดูดความสนใจของหลิ่วอวี้จิงทันที

“แกพูดจริงงั้นเหรอ?”

หลิ่วอวี้จิงไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเสนอการดวลตัวต่อตัวออกมาแบบนี้ เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเพราะเขาเองก็ไม่อยากจะปะทะกับแก๊งพยัคฆ์เวหาซึ่ง ๆ หน้า เนื่องจากแก๊งของเขาคงเสียหายอย่างใหญ่หลวงหลังจากนี้

ถ้ามันเป็นการดวลกัน 1-1 พวกแก๊งพยัคฆ์เวหาจะไม่เหลือข้ออ้างใด ๆ ในการฆ่าฟันกับพวกเขา หากเขาฆ่าอวี้ฮ่าวหรานไป!

เขามั่นใจว่าตัวเขาเองสามารถฆ่าอวี้ฮ่าวหรานได้สำเร็จอย่างแน่นอน อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กอายุยี่สิบต้น ๆ ต่อให้จะมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ก็คงสู้กับเขาที่บ่มเพาะมามากว่าสามสิบปีไม่ได้หรอกจริงไหม?

การมาท้าดวล 1-1 กับเขา มันไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย ไอ้เด็กนี่มันโง่จริง ๆ!

“หึหึ ดีเลยที่แกทำเรื่องทุกอย่างให้มันง่ายขึ้น แต่ฉันบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าแกไม่มีทางได้ตายอย่างสบายแน่นอน!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับคำท้า อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ที่ฉันท้าแก 1-1 มันเป็นเพราะฉันไม่อยากจะให้บริษัทชิวเฮิงนองไปด้วยเลือดต่างหาก”

“ก็ดี งั้นถือว่าเอาชีวิตของแกมาแลกก็แล้วกัน!” หลิ่วอวี้จิงตอบกลับอย่างดูถูก

หลังจากตกลงกันได้เรียบร้อย คนของทั้งสองแก๊งต่างก็ค่อย ๆ ถอยเว้นพื้นที่ว่างให้กับอวี้ฮ่าวหรานและหลิ่วอวี้จิง

โจวเฟยหู่มองดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

ไอ้หลิ่วอวี้จิงไม่รู้ตัวซะแล้วว่ารนหาที่ตาย! เฮอะ คิดจะสู้กับอวี้ฮ่าวหรานงั้นเหรอ? ต่อให้แกให้คนทั้งแก๊งรุม แกก็เอาชนะไม่ได้หรอกไอ้โง่!

เนื่องจากรู้จักกับอวี้ฮ่าวหรานมานาน โจวเฟยหู่จึงรู้ดีว่าอวี้ฮ่าวหราน นั่นคือบุคคลที่อันตรายที่สุดในเมือง!

ในขณะเดียวกันเมื่อเห็นว่าทุกคนถอยเว้นที่ว่างออกไปหมดแล้ว หลิ่วอวี้จิงก็ยิ้มราวกับเขาเป็นผู้ชนะเรียบร้อยและตะโกนขึ้น

“หึหึ ถ้าแกตายก็อย่ามาหาว่าฉันโหดร้ายนะโว้ย อย่าลืมว่าแกโง่ท้าฉันเอง!”

“ดูเหมือนแกจะมั่นใจมากจริง ๆ นะ?”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ขบขัน

“มั่นใจงั้นเหรอ? ฮ่า ๆ ฉันยิ่งกว่ามั่นใจอีก ฉันแน่ใจว่าไม่ถึง 1 นาทีแกจะต้องร้องขอความเมตตาและฉี่ราดกางเกงขอให้ฉันไม่ฆ่าแกแน่นอน แกคิดว่าการที่แกมีโจวเฟยหู่หนุนหลังมันจะทำให้แกรอดไปได้งั้นเหรอ ฮ่า ๆ!”

หลังจากพูดจบ หลิ่วอวี้จิงก็โคจรพลังและพุ่งเข้าใส่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่าทันที!