ตอนที่ 124 หัวขโมย

พระขี้เรื้อนมาไวไปไว แน่นอนว่าภายใต้การจ้องมองเขม็งของนักพรตเฒ่า เขาจ่ายเงินแล้ว

“คนนี้เป็นบ้าหรือเปล่าเถ้าแก่” นักพรตเฒ่าถามอย่างไม่พอใจ “เมื่อกี้ข้ายืนฟังอยู่ข้างๆ เขามาโน้มน้าวให้เถ้าแก่อย่าไปจับผี ไม่จับผีแล้วเถ้าแก่จะทำผลงานและเอาเงินกระดาษมาจากไหน”

พูดจบ นักพรตเฒ่าก็โบกมือปิดไฟในร้านทั้งหมด ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นตอนกลางวัน แต่หลังจากปิดไฟแล้วแสงในร้านมืดลงมาก จากนั้นเขาก็ตะโกนเหมือนเรียกของล้ำค่าออกมา “เจ้าลิง!”

เจ้าลิงน้อยกระโดดเข้ามาทันที ถือพัดพลาสติกสองอันอยู่ในมือ บนพัดโรยด้วยผงเงิน เวลาที่พัดโบกไปมาดูสวยงามสว่างไสวจริงๆ

นักพรตเฒ่ายืนเป็นแถวเดียวกับเจ้าลิง เจ้าลิงกับนักพรตเฒ่ากระทืบเท้าอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วตะโกนพร้อมกันว่า

“สโลแกนของพวกเราคือ!”

“ขยันๆๆ!” (เจี๊ยกๆๆๆ)

“จิตวิญญาณของพวกเราคือ!”

“ต่อสู้ๆๆ!” (เจี๊ยกๆๆๆ)

“เป้าหมายของพวกเราคือ!”

“เงินกระดาษๆๆ!” (เจี๊ยกๆๆๆ)

“โอเค เลิกแถว!”

เจ้าลิงถอยหลังทันที แล้วกระโดดกลับไปที่เคาน์เตอร์

โจวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

“เงินกระดาษเป็นสิ่งที่ชอบธรรม เงินกระดาษนั้นคือทุกสิ่ง เถ้าแก่ เจ้าอย่าหลงกลคำหลอกลวงของเขาเด็ดขาด”

นักพรตเฒ่ามีแผลเป็นตรงหน้าอก ได้ยินว่าตอนนั้นเขาอาศัยเงินกระดาษจึงสามารถหลบมีดที่คนอื่นจะแทงหัวใจตัวเองมาได้ ดังนั้นเขาจึงมีความยึดติดกับเงินกระดาษอย่างลึกซึ้ง

โจวเจ๋อโบกมือ เพื่อบอกว่าตัวเองรู้แล้ว

“เอ๊ะ เป็นคุณ” ประตูร้านหนังสือถูดเปิด มีคนหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา

โจวเจ๋อรู้จักชายหนุ่มคนนี้ เป็นหมอฝึกหัดที่โรงพยาบาลประชาชน ตอนที่โจวเจ๋อปลอมตัวเป็นหมอไปช่วยดูคนไข้เขาก็อยู่ที่นั่นสองสามครั้ง และโจวเจ๋อก็ถือว่าช่วยเขาแก้สถานการณ์มาสองสามครั้งแล้วเหมือนกัน

“คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ” หมอฝึกหัดหนุ่มสงสัยโจวเจ๋อเป็นอย่างมาก แต่คนที่เอ๋อโดยธรรมชาติอย่างเขากลับไม่เคยถามความสัมพันธ์ของโจวเจ๋อกับหมอหลิน และยังคิดว่าโจวเจ๋อเป็นหมอจริงๆ

แน่นอนว่าเป็นเพราะเห็นฝีมือการรักษาขั้นสูงของโจวเจ๋อ จึงทำให้หมอฝึกหัดหนุ่มแยกแยะไม่ออก

“เป็นหมอไม่มีอนาคต เลยมาทำธุรกิจแทน” โจวเจ๋อพูดแบบขอไปที

“นี่เป็นร้านหนังสือของคุณเหรอครับ”

“จะว่าใช่ก็ได้”

และในเวลานี้ถังซือได้ปรากฏตัวอยู่ที่บันได กำลังมองโจวเจ๋อ

“คุณนั่งก่อน เดี๋ยวผมมา”

หมอฝึกหัดหนุ่มนั่งลงข้างๆ นักพรตเฒ่าเอาน้ำชามาเสิร์ฟอย่างเอาใจมาก ตราบใดที่คุณรับน้ำชาแล้ว ก็เท่ากับต้องจ่ายเงินขั้นต่ำสุดหนึ่งร้อยหยวน

โจวเจ๋อเดินมาตรงหน้าถังซือ “เป็นอะไร”

“วันพรุ่งนี้คุณมีเวลาไหม” ถังซือถาม

“ไม่มี”

“ถ้างั้นวันพรุ่งนี้คุณคิดจะทำอะไร”

“ยังไม่ได้คิดเลย”

ถังซือพยักหน้าเพื่อบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว “อย่างนั้นคืนพรุ่งนี้กินข้าวด้วยกัน”

พอสิ้นเสียง ถังซือกับโจวเจ๋อก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน

วันพรุ่งนี้กินข้าวด้วยกัน สำหรับคนทั่วไปแล้ว เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันตามปกติ แต่สำหรับสองคนนี้ไม่ต่างไปกับการโดนทัณฑ์ทรมานอย่างหนึ่ง

วันพรุ่งนี้กินข้าวด้วยกัน ในหูของพวกเขา สามารถแปลได้ว่า ‘วันพรุ่งนี้ถูกไฟฟ้าช็อตด้วยกัน’

“ดื่มน้ำชาเถอะ” ถังซือเปลี่ยนคำพูด

“มีลูกค้ามาเหรอ”

“จะว่าใช่ก็ได้” ถังซือมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณทำตัวตามสบายได้แล้ว ฉันจะไม่แย่งสาวรับใช้กับคุณอีก”

โจวเจ๋อยิ้มและพยักหน้า

โจวเจ๋อพูดกับถังซือเสร็จแล้ว จึงหมุนตัวกลับมานั่งที่เดิม นักพรตเฒ่ากับหมอฝึกหัดคนนั้นกำลังคุยกันสนุกสนานทั้งสองคนเหมือนเพื่อนต่างวัยที่มีมิตรภาพต่อกันอย่างลึกซึ้ง

แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์ของนักพรตเฒ่า เขาสามารถคุยกับคนได้ทุกระดับ

“เป็นอะไร” โจวเจ๋อถาม

“เถ้าแก่ เขาพูดว่าศพที่ห้องดับจิตของพวกเขามักจะเสียหายหรือไม่ก็หายไป แต่หาไม่เจอว่าใครเป็นคนทำ ข้าเพิ่งจะให้ไม้เด็ดกับเขาไปเมื่อกี้”

ขณะที่พูด นักพรตเฒ่าได้หยิบขวดพลาสติกออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นผงเรืองแสง

“ข้าจะบอกให้นะ รับรองว่าเป็นคนในโรงพยาบาลของเจ้าเป็นคนทำ เจ้าแอบโรยไอ้นี่ไปบนตัวของศพ ถ้าหากเจ้าจับหัวขโมยได้แล้ว ถึงตอนนั้นหมอฝึกหัดอย่างเจ้าก็จะได้เลื่อนเป็นพนักงานประจำแล้ว”

“เปลี่ยนเป็นพนักงานประจำไปอยู่ที่สถานีตำรวจใช่ไหม” โจวเจ๋อมองนักพรตเฒ่า “อย่าออกความคิดให้คนอื่นซี้ซั้ว”

เวลานี้หมอฝึกหัดหนุ่มกำลังรับโทรศัพท์ น่าจะเป็นโรงพยาบาลเร่งให้เขารีบกลับไป พอวางสายจึงยิ้มกับนักพรตเฒ่า แล้วก็จับมือ จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกจากร้านหนังสือ

“เถ้าแก่ ยังมีการขโมยศพจริงๆ เหรอ” นักพรตเฒ่าพูดด้วยความสงสัย เขารู้ว่าชาติที่แล้วโจวเจ๋อเป็นหมอ จึงต้องรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่บ้าง

“มี” โจวเจ๋อตอบ

“เอาไปทำไม ขโมยศพเพื่อเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเหรอ” นักพรตเฒ่าถามทันที

“คุณคิดว่าเปลี่ยนถ่ายอวัยวะมันง่ายนักเหรอ เงื่อนไขของการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะมีความเข้มงวดมาก การขโมยศพออกมาจากห้องดับจิตไปยังสถานที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะนั้นเป็นไปไม่ได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อก่อนสามารถส่งไปที่สถาบันการแพทย์หรือศูนย์วิจัยเพื่อใช้ทดลองผ่าศพ อย่างไรก็ตามศพของคนไม่ใช่หนูขาวตัวเล็ก จึงเป็นสิ่งทดลองที่มีน้อยมาก

และยังมีพวกที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ขโมยศพไปทำพิธีแต่งงานผี นอกจากนี้ก็มีบางคนคิดว่าเอาหัวกะโหลกของคนตายมาบดเป็นผงดื่มสามารถรักษาโรคได้ สรุปคือมีการพูดที่หลากหลาย ดังนั้นการขโมยศพจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก แต่ตอนนี้ประเทศจีนได้ผลักดันให้เผาศพจึงดีขึ้นเยอะแล้ว”

“เอาหัวกะโหลกมาบดเป็นผงดื่ม คิดว่าเป็นผงไข่มุกเหรอ” นักพรตเฒ่าทำท่าเหมือนจะอาเจียนออกมา

โจวเจ๋อกลับไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างเหมือนเดิม รถนิสสันคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูร้านหนังสือ คนที่ลงจากรถเป็นคนที่กลับไปบ้านเกิดก่อนหน้านั้น

“เจ้ากลับมาแล้วเหรอ”

นักพรตเฒ่าเห็นเงาร่างของสวี่ชิงหล่างแล้วดีใจมาก เขากินข้าวข้างนอกจนเบื่อแล้ว ดังนั้นจึงคิดถึงวันเวลาที่สวี่ชิงหล่างอยู่ในร้านเป็นพิเศษ

โจวเจ๋อกลับนิ่งมาก แต่ก็แอบโล่งใจ เพราะน้ำบ๊วยของตัวเองใกล้จะดื่มหมดแล้ว

สวี่ชิงหล่างไม่ได้เดินเข้ามา แต่โบกมือให้โจวเจ๋อ จากนั้นก็นั่งยองๆ ที่หน้าประตูร้าน

ท่าทางเหมือนมีเรื่องหนักใจ

โจวเจ๋อเดินออกมาที่หน้าร้าน ยืนข้างๆ เขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงนั่งยองๆ ลงไป

“เป็นอะไร” โจวเจ๋อถาม

สวี่ชิงหล่างไม่รีบตอบ แต่ยื่นบุหรี่ให้โจวเจ๋อหนึ่งมวน จากนั้นจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “กลับบ้านไปนัดดูตัวมา”

“เรื่องมงคล” โจวเจ๋อพูด

“เฮ้อ”

“ไม่มีคนถูกใจเหรอ” โจวเจ๋อถาม

สวี่ชิงหล่างส่ายหน้า “ถูกใจเร็วเกินไป”

“เร็วถึงขั้นไหน ขึ้นเตียงเหรอ”

สวี่ชิงหล่างเหลือบตามองโจวเจ๋อ แต่ไม่ปฏิเสธ

“เร็วจริง” โจวเจ๋อพูดอย่างทอดถอนใจ

“ผมไม่เหมือนคุณ ผมยังปกติอยู่” สวี่ชิงหล่างพูดเตือน

“อย่างนั้นนายทำหน้าเศร้าทำไม”

“ปัญหาคือ หลังจากทำเสร็จแล้ว เธอวางเงินก้อนหนึ่งให้ผมที่หัวเตียง จากนั้นก็กลับไป”

“นายเจอนักเที่ยวผู้หญิงเหรอ” โจวเจ๋อแปลกใจอยู่บ้าง

สวี่ชิงหล่างเอ่ยด้วยความหดหู่ “เดิมทีนัดดูตัวที่ร้านกาแฟ แต่คู่ที่นัดดูตัวบอกว่ามีธุระมาไม่ได้ แต่ไม่มีใครแจ้งผม จึงนัดดูตัวผิดคน จากนั้นผมก็นั่งคุยกับเธออยู่ที่ร้านกาแฟ จากนั้นผมก็นัดเธอไปดูหนัง จากนั้นก็เดินชอปปิงเป็นเพื่อนเธอ จากนั้นพอถึงตอนเย็น เธอนัดผมไปเปิดห้องที่โรงแรมเพื่อให้ผมดูบทที่เธอเพิ่งเขียนเสร็จ เธอเป็นนักเขียนบท”

“ฉันเดาว่าต้องเป็นบทเรืองแสง ต้องปิดไฟถึงจะเห็น”

สวี่ชิงหล่างรู้สึกจนใจ ยื่นมือขยุ้มศีรษะของตัวเอง “หลังจากเธอไปแล้วให้เงินผมสามพันหยวน ผมมองเธอเป็นคู่ดูตัวของผม ยังรู้สึกแปลกใจมากที่เธอเป็นคนเปิดกว้างและรุกก่อน หรือว่านี่ก็คือรักแรกพบจนลืมความเป็นตัวเอง”

“รักแรกพบส่วนใหญ่ จริงๆ แล้วเพราะเห็นว่าหน้าตาดีจึงอยากมีความสัมพันธ์ด้วย”

“สุดท้ายพบว่าความจริงไม่ได้เป็นแบบนี้” สวี่ชิงหล่างสับสนมาก

“เธอมองนายเป็นเป็ด[1]เหรอ”

“คุณหุบปากได้ไหม” สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อด้วยใบหน้าขุ่นเคือง

“นายรับเงินมาแล้ว และนายก็นอนกับเธอแล้ว นายก็ไม่เสียหายอะไรนี่”

“ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ผมรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตัวเองถูกทำลาย ผมเป็นผู้ชายที่มีห้องชุดกว่ายี่สิบห้อง แต่ถูกผู้หญิงมองเป็นเป็ดแล้วหลอกหลับนอน!”

“จริงๆ แล้วบางเรื่องต้องเปลี่ยนมุมมองในการคิด ถึงจะสบายใจขึ้น”

“อย่างเช่น”

“อย่างเช่น นายเป็นเป็ดที่มีห้องชุดเยอะที่สุด”

“…”

“หรือไม่ก็ ในบรรดาคนที่มีห้องชุดเยอะที่สุด นายหมือนเป็ดมากที่สุด”

“…”

“ขอโทษนะ ฉันปลอบใจคนไม่ค่อยเป็น” โจวเจ๋อตบไหล่ของสวี่ชิงหล่าง แล้วพูดต่อ “สู้ๆ หน่อย เตียงเดิมทีเป็นสถานที่ที่เน่าที่สุดในโลกนี้ ความสัมพันธ์เริ่มจากเตียง แล้วทำไมต้องจริงจังด้วย อ้อใช่ นายกลับบ้านไปครั้งนี้เพื่อไปนัดดูตัวโดยเฉพาะเหรอ”

“ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว หลุมฝังศพของบรรพบุรุษจะถูกรื้อ ผมกลับไปย้ายหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ อ้อใช่ มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง อีกสองสามวันผมจะบอกคุณ ตอนนี้ผมอยากขึ้นไปพักผ่อนก่อน”

สวี่ชิงหล่างลุกขึ้นผลักประตูร้าน หยิบไวน์แดงขวดหนึ่งมาจากเคาน์เตอร์ แล้วเดินขึ้นไปบนห้องของตัวเอง

ตลอดช่วงบ่ายผ่านไปอย่างผ่อนคลายและสบายใจมาก พอถึงเวลาสองทุ่ม โจวเจ๋อจึงเริ่มมีกำลังวังชา โดยปกติแล้วเวลานี้เป็นเวลาที่ลูกค้าตัวจริงน่าจะมาแล้ว

สวี่ชิงหล่างน่าจะกินเหล้าย้อมใจ จึงไม่ลงมา เพราะฉะนั้นข้าวเย็นจึงต้องสั่งมาจากข้างนอกเหมือนเดิม

นักพรตเฒ่ากับเจ้าลิงน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน พ่อลูกนั่งกินถั่วลิสงแกล้มเหล้า เจ้าลิงน้อยดื่มเหล้าเก่งเพราะนักพรตเฒ่าเป็นคนสอน

ประตูร้านหนังสือถูกผลักออก เกิดเสียงดังมาจากม่านประตู คนที่ผลักเข้ามายังเป็นหมอฝึกหัดหนุ่มคนนั้น นักพรตเฒ่าเมาเล็กน้อย กวักมือเรียกหมอฝึกหัดหนุ่มให้มาดื่มด้วยกัน

จะทำอย่างไรได้ เพราะทั้งร้านเขาหาคนอื่นมาดื่มเหล้ากับเขาไม่ได้เลย จึงได้แต่ดื่มเหล้ากับเจ้าลิงน้อย ตอนนี้มีคนเป็นๆ มาแล้ว ดังนั้นเขาจึงดีใจเป็นธรรมดา

“ผมเพิ่งเลิกงาน ลืมไปว่าวันนี้ผมมาที่ร้านยังไม่ได้จ่ายเงินครับ อ้อใช่ ผมต้องให้เงินค่าผงเรืองแสงกับคุณครับ”หมอฝึกหัดหนุ่มเป็นคนซื่อมาก

“ไม่ต้อง แค่เงินค่าน้ำชาหนึ่งร้อยหยวน บวกกับผงเรืองแสงก็แค่หนึ่งร้อยห้าสิบหยวนเอง”

นักพรตเฒ่าแสร้งทำเป็นคนใจกว้าง เมื่ออีกฝ่ายยื่นเงินมาให้ นักพรตเฒ่าจึงรับมาแบบโมโห จากนั้นก็ตบไหล่ของหมอฝึกหัดหนุ่มแล้วพูดว่า

“ถ้าเจ้าอยากขอบคุณข้าจริงๆ ก็พาข้าไปเลี้ยง แล้วเราสองคนก็ดื่มและคุยกัน”

พูดจบ นักพรตเฒ่าแอบมองโจวเจ๋ออย่างใจฝ่อ โจวเจ๋อพยักหน้า ถือว่าอนุญาตแล้ว

หมอฝึกหัดหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธ เขาไม่ใช่คนท้องถิ่น และเพราะนิสัยของเขา อยู่ที่นี่จึงไม่ค่อยมีเพื่อนอะไร ดังนั้นจึงกอดคอกับนักพรตเฒ่าเดินออกจากร้านหนังสือไปหาร้านเหล้าดื่มด้วยกัน

ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่แสงไฟตามถนนยังสว่างจ้า นักพรตเฒ่ากับหมอฝึกหัดหนุ่มเดินมาด้วยกันพักหนึ่งแล้ว ตอนที่ใกล้จะถึงร้านเหล้าข้างหน้า นักพรตเฒ่าเลี้ยวเข้าซอยเล็กและมืดซอยหนึ่ง ปลดเข็มขัดกางเกงแล้วเอ่ยว่า

“ขอโทษด้วยนะ ขอฉี่ก่อน”

หมอฝึกหัดหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร ยืนเป็นแถวเดียวกับนักพรตเฒ่าแล้วปลดเข็มขัดกางเกงเหมือนกัน

“เฮ้ เจ้าเป็นคนติดดิน ข้าชอบ!”

“ฮ่าๆ ดูตื่นเต้นดี ฉี่อึได้ทุกที่” หมอฝึกหัดหนุ่มถูกนักพรตเฒ่าทำเสียคน

“แบบนี้เรียกว่าอะไร เรื่องปกติของมนุษย์ไง อ้อใช่ ตอนกลางวันข้าเอาผงเรืองแสงให้เจ้าเอาไปทาบนตัวศพเจ้าทำหรือยัง” นักพรตเฒ่าถาม

“ทาแล้วครับ แต่วันนี้ศพก็หายไปอีก ที่โรงพยาบาลโทรแจ้งความแล้ว แต่ตำรวจยังหาเบาะแสไม่เจอ”

“ไม่ได้ผลเหรอ” นักพรตเฒ่าพูดขอโทษ

“ครับ ไม่ได้ผล” หมอฝึกหัดหนุ่มพยักหน้า

“งั้นก็ช่างมัน ดื่มเหล้านี้คืนนี้พวกเราหารกันเถอะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเลี้ยงคุณเอง” หมอฝึกหัดหนุ่มกล่าว

“ว้าว เจ้าหนุ่มหน้าตามีราศี เจ้าต้องมีอนาคตที่ดีแน่!” ขณะที่พูด นักพรตเฒ่าที่ไม่ได้ล้างมือตบไหล่ของอีกฝ่ายโดยตรงเพื่อให้กำลังใจ!

“คุณอายุมากกว่า สมควรแล้วครับ”

หมอฝึกหัดหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย นักพรตเฒ่าตกตะลึง ก่อนหน้านั้นไม่รู้ตัว เพราะในร้านหนังสือยังมีไฟอยู่ และบนถนนก็มีไฟสว่าง ทว่าในซอยเล็กและมืดแบบนี้ นักพรตเฒ่าพลันมองเห็นว่าตอนที่หมอฝึกหัดหนุ่มยิ้ม บนฟันของเขามีการเรืองแสงเป็นชั้นจางๆ

…………………………………………………………………………

[1] เป็ด ในที่นี้หมายถึงชายขายบริการ