แม้ว่าหมี่จีจะใจเย็นอยู่เสมอ ก็ยังเขินอายกับคำพูดที่ไม่เหมาะสมนี้จนหน้าแดง
ซ่งชูอีเพียงพูดไปส่งเดชเท่านั้น ทว่าดูจากปฏิกิริยาของหมี่จีแล้ว กล้าพนันได้เลยว่าเขาไม่ได้ใส่อะไรจริงๆ!
ในฐานะขุนนางและเจ้านายของจวนหลังนี้ จะต้องไปขอขมาตอนนี้หรือเปล่านะ…
“ท่าน…” หมี่จีรออยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่มีคำตอบ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
“ไม่มีปัญหา เขาไม่ใช่คนที่เจ้าอารมณ์เพียงนั้น” ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา ยิ้มเอ่ย “ไปทำงานเถิด”
สาเหตุหลักที่หมี่จีไม่สบายใจเพราะกลัวว่าซ่งชูอีจะเข้าใจผิด แขกผู้สูงส่งเพิ่งเข้ามาในจวน กลับถูกนาง “ชน” เข้าโดยบังเอิญ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนกับรีบโผตัวเข้ากอด ทว่าซ่งชูอีมิได้เอ่ยมันขึ้นมา หากนางร้อนตัวอธิบาย มันจะเหมือนยิ่งพยายามปกปิดหรือเปล่า?
ซ่งชูอีหมุนตัวจัดเรียงกระดานหมากต่อ ไม่ต้องการพูดอะไรอีก
ในลานของหมี่จีไม่มีห้องอาบน้ำ หลังจากนางจัดของในห้องเก็บของแล้วก็ออกมาอาบน้ำที่ห้องน้ำใหญ่ ที่นั่นมีเพียงสระน้ำพุร้อนแกะสลักหยกแห่งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่านางไม่กล้าลงไปอาบน้ำกลางสระ จึงตักน้ำมาเช็ดตัวที่ห้องข้างๆ ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกเลย
หลายวันนี้ทุกพฤติกรรมของหมี่จีล้วนอยู่ในสายตาของซ่งชูอี การเจอกับอิ๋งซื่อเกรงว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น หากนางไม่มีความสามารถแม้แต่การแยกแยะผิดถูกในจุดนี้ จะคุยเรื่องการวางกลยุทธ์ของรัฐได้อย่างไร? เพียงแต่นางตั้งใจที่จะสังเกตอุปนิสัยของหมี่จีต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่เปิดเผยท่าทีของตน
หมี่จีออกมาจากห้องหนังสือ ยืนอยู่ตรงทางเดิน หมอกร้อนๆ ผุดขึ้นในดวงตา นางไม่รู้ว่าเพราะวาสนาในชาติใดที่ทำให้มีโอกาสกลับตัวเช่นนี้ แต่เกือบจะสูญเสียมันไปเพราะความประมาท
นิ่งสักพัก นางก็เก็บน้ำตาของตัวเองกลับเข้าไป ไปที่ห้องหนังสือเล็กที่ลานด้านหน้า จัดเก็บสิ่งของในห้องเก็บของทีละรายการ
ตอนที่หมี่จียังเป็นเด็กเคยเรียนตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัว จำได้ไม่มาก ทว่านางหาทางของตัวเองโดยใช้วงกลมและจุดต่างๆ ในการแสดงแต่ละตัวอักษร จึงสามารถจำได้จำนวนหนึ่ง ในจวนมีบ่าวที่รู้หนังสือชื่อว่าสวีไป่ นางกำหนดปริมาณที่ระบุโดยวงกลมเหล่านี้และบอกให้สวีไป่รู้ จากนั้นก็ให้เขาถอดความเป็นบัญชีที่คนอื่นเข้าใจได้
“วันนี้ก็สอนนางเขียนหนังสืออีกรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
หนิงยาตอบด้วยความนอบน้อม “สอนแล้วเจ้าค่ะ นางเรียนรู้เร็วมาก ใช้ความพยายามเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็สามารถจำตัวอักษรทั้งหมดใน ‘กกอ้อ’ ได้แล้ว”
‘กกอ้อ’ คือเพลงพื้นบ้านในสมัยหล่งซีซึ่งปัจจุบันถูกบันทึกรวมอยู่ใน ‘บทกวี’ รวมกับเพลงพื้นบ้านอีกสิบชิ้นเรียกรวมกันว่า ‘ฉินเฟิง (บทกวีโบราณแห่งฉิน)’ บทกวีกกอ้อไม่ยาว มีทั้งหมดหนึ่งร้อยคำ ทั้งยังมีประโยคซ้ำกันมากมาย ทว่าการที่หมี่จีสามารถเรียนรู้ได้ภายในไม่กี่วันก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอี
“พี่หมี่จีฉลาดดกว่าหนิงยาอีก” หนิงยาเอ่ยด้วยความอิจฉา ตอนนั้นซ่งชูอีสอนนางด้วยตัวเอง นางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนจึงจะอ่านออกเขียนได้ทั้งหมด
“วันหนึ่งเจ้าอ่านออกสองคำก็ฉลาดมากแล้ว จะอิจฉาคนอื่นไปทำไม” ซ่งชูอีส่งสัญญาณให้นางนั่งลงตำแหน่งตรงข้าม “นั่งเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะสอนเจ้าเดินหมาก”
“เจ้าค่ะ!” หนิงยากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด นับตั้งแต่หมี่จีดูแลงานบ้านภายในจวน สภาพยุ่งเหยิงของหยิงยาก็ผ่อนคลายลงมาทันใด ทุกวันสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือป้อนอาหารให้กับไป๋เริ่นและจินเกอ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจริงๆ
ในขณะที่ซ่งชูอีกำลังวางตัวหมากลงบนกระดานว่างเปล่าก็เอ่ยว่า “ข้าให้หมี่จีเตรียมชุดสวยๆ ให้เจ้า พอถึงฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็พาพวกแม่นางสองสามคนในจวนออกไปเดินเล่น อย่าเลียนแบบแม่นางสกุลเจินที่วันๆ เอาแต่หมกอยู่ในบ้าน สมองอุดอู้จนพังไปหมดแล้ว”
หนิงยาช่วยแยกตัวหมาก ได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมส่ายหัวเอ่ย “พวกเราออกไปเที่ยวกันหมดแล้วใครจะดูแลท่านล่ะเจ้าคะ?”
ซ่งชูอีดีดหน้าผากของนาง กล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่เฉยๆ เช่นนี้ได้ทั้งวันรึ? ไม่ต้องห่วง”
หนิงยาหัวเราะแหะๆ หนิงยาได้เห็นด้านที่เย็นชาของซ่งชูอีเนื่องจากเหตุการณ์ของจื๋อหย่า ดังนั้นจึงกลัวนางเป็นพิเศษ เมื่อได้ใกล้ชิดกับซ่งชูอีอีกครั้งในช่วงนี้ ก็ค่อยๆ เข้าใจนิสัยของนาง…ตราบใดที่ไม่ทำให้นางหมดความอดทน นางก็เป็นคนที่อ่อนโยนมากคนหนึ่ง
ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะกัน แต่แล้วก็ได้ยินขันทีเถารายงานอยู่หน้าประตู “เซ่าซ่างเจ้า”
ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย ลุกขึ้นออกไปรับหน้า เห็นเพียงขันทีเถาผู้เดียว
“ขันทีเถา เชิญเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย
ขันทีเถารีบค้อมคำนับ ตอบว่า “บ่าวไม่เข้าไปดีกว่า ฝ่าบาทต้องการจะงีบสักครู่ ให้บ่าวมารายงานท่าน”
ไปนอนที่ไหนเล่า? ซ่งชูอีอ้าปาก กลืนคำพูดที่ต้องการเอ่ยลงไป องค์จวินแห่งรัฐมาถึงนี่จะให้นอนห้องเล็กหรืออย่างไรกัน! นางคิดว่าเขาจะต้องไปนอนที่ห้องนอนใหญ่เป็นแน่…ที่นั่นเป็นรังของนางเชียวนะ!
“หากเซ่าซ่างเจ้าไม่มีอะไรแล้ว บ่าวจะกลับไปปรนนิบัติฝ่าบาท” ขันทีเถาเอ่ยด้วยความนอบน้อม
“ได้” ซ่งชูอีพยักหน้า
มองขันทีเถาลับตา ซ่งชูอีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หมุนตัวกลับไป
กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้น อีกทั้งพอผ่านช่วงบ่ายไปแล้วตรงทางเดินก็หนาวจนทนไม่ไหว ซ่งชูอีจึงให้หนิงยาเก็บของแล้วกลับห้องไปก่อไฟ
เจียนกล่าวราวงาน “ท่านขอรับ ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาให้คนส่งเอกสารม้วนหนึ่งมาให้ท่าน”
ซ่งชูอีกวักๆ มือ ส่งสัญญาณให้เขาเอามา
สองมือของเจียนยื่นม้วนไผ่ให้
ซ่งชูอีเปิดออกอ่าน ตกอยู่ในความเงียบ นี่คือข่าวขององค์รัชทายาทเว่ยและองค์ชายทุกคนที่ชูหลี่จี๋ส่งมาให้นางโดยเฉพาะ
อิ๋งซื่อเห็นใจที่ร่างกายของซ่งชูอีอ่อนแอ จึงไม่ได้ให้นางเข้าร่วมกลยุทธ์ต่อต้านรัฐเว่ยด้วย อย่างไรก็ดีการที่นางบีบให้หมิ่นฉือติดอยู่ในรัฐเว่ยก็เพื่อรอโอกาสนี้ไม่ใช่หรือ? บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว นางจะปล่อยไปได้อย่างไร?
นิ้วของซ่งชูอีลูบคลำแผ่นไผ่ กระตุกยิ้มจางๆ
กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้น พระอาทิตย์ตกดินโดยไม่รู้ตัวแล้ว
หลังจากซ่งชูอีกินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็เอนตัวอยู่บนฟูกในห้องหนังสือครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใดก็ได้ยินเสียงเอะอะในลาน จึงตะโกนขึ้น “หนิงยา?”
“ท่าน” หนิงยาวิ่งเหยาะเข้ามาจากนอกห้อง
ซ่งชูอีลุกขึ้นคลุมเสื้อตัวนอก “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อครู่ท่านแม่ทัพกลับมา บุกเข้าไปในห้องนอน ตอนนี้ข้างในกำลังสู้กันใหญ่เลยเจ้าค่ะ!” หนิงยาดูไม่เป็นกังวลเลย ทั้งยังมีท่าทีตื่นเต้นที่จะได้ดูเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งชูอีมองดูสีหน้าไร้กังวลของนาง ก็จ้องนางด้วยความดุดัน รีบเดินออกไปข้างนอกพลางเอ่ยว่า “เจ้ามองดูความครึกครื้นโดยไม่จัดลำดับความสำคัญ นั่นเป็นองค์จวินเชียวนะ จะสู้กันส่งเดชได้เยี่ยงไร!”
“ท่านกล่าวว่าฝ่าบาทใจกว้างมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” หนิงยาตามไป
ใจกว้าง…กับสาวงามที่ประมาทเลินเล่อกับชายหนุ่มที่แลกหมัดกัน มันเหมือนกันด้วยรึ!
ซ่งชูอีไม่มีแรงอธิบายกับนาง พุ่งไปที่ประตูห้องนอนทันที เห็นบ่าวไพร่สองสามคนยืนมองอยู่ที่หน้าประตู ไม่กล้าเข้าไป ขันทีเถาถูกตีจบสลบไปกับพื้นแล้ว ภายในห้องเสียงดังโครมครามครึกครื้นเป็นพิเศษจริงๆ
“เจ้าอี่โหลว! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ซ่งชูอีเข้าห้องไป เห็นเงาของสองคนพัวพันอยู่ด้วยกันก็ตะโกนขึ้นทันที
หากอิ๋งซื่อเอาความเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นการปลงพระชนม์เชียว! ซ่งชูอีมีเหงื่อซึมบนหน้าผาก
เจ้าอี่โหลวได้ยินเสียงของนางแล้วก็หยุดกะทันหัน อิ๋งซื่อยังไม่ได้ดึงหมัดกลับ ฟาดหน้าอกเขาไปเต็มแรง แรงสั่นสะเทือนทำให้เขาถอยหลังไปสามสี่ก้าว
“ยังไม่รีบขออภัยโทษจากฝ่าบาทอีก!” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก
เจ้าอี่โหลวเหลือบมองอิ๋งซื่อด้วยความเย็นชา หมุนตัวกำลังจะก้าวออกไป ซ่งชูอีพูดขึ้น “หากออกไปจากประตูนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาอีก!”
ซ่งชูอีรู้ว่าเมื่อก่อนเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจได้รับการเทิดทูนจากผู้คน หลังจากเร่ร่อนอยู่ในป่าเขาแล้วก็ค่อยๆ แปลกแยกจากทางโลกมากขึ้น ทว่าในเมื่อตอนนี้เลือกที่จะยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ต้องจัดการกับอารมณ์ร้ายนั้นให้ได้ ลักษณะเช่นนี้จะต้องไม่ดำเนินต่อไป!
“ไม่ต้อง” อิ๋งซื่อหยิบเสื้อคลุมจากเตียงขึ้นมาสวมใส่ ก้าวออกจากห้องก่อนแล้วเดินออกไปจากจวนโดยตรง
ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งใจเล็กน้อย หันไปเห็นเส้นเอ็นเขียวปูดบนหน้าผากของเจ้าอี่โหลวและดวงตาแดงก่ำ แข็งใจทำสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าสามารถก้มหัวให้กับซย่าเฉวียนได้ แล้วเหตุใดจึงเอาแต่ใจต่อหน้าจวินแห่งรัฐเล่า! นี่มันเรียกว่าอะไร? วางแผนปลงพระชนม์!”