เมื่อครู่ขณะที่เจ้าอี่โหลวเข้ามาในลานเห็นเพียงขันทีเถาเฝ้าอยู่หน้าประตู เขานึกว่าอิ๋งซื่ออยู่กับซ่งชูอีข้างใน สมองมืดมนไปชั่วขณะ จึงตีขันทีเถาสลบแล้วพุ่งเข้ามาในห้อง อิ๋งซื่อตื่นง่ายมาก ครั้นได้ยินเสียงฮึดฮัดของขันทีเถาก็ระวังตัวแล้ว และเมื่อที่เจ้าอี่โหลวพุ่งเข้ามา ยังไม่ทันเห็นอะไรชัดเจน อิ๋งซื่อก็ชิงลงมือก่อน
ใครจะรู้ว่าทั้งคู่ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดขึ้น ต่างไม่มีท่าทีจะรามือเลย
เจ้าอี่โหลวหันหน้ามา เขายากจะเอ่ยคำอธิบาย เพียงกล่าวด้วยความดื้อรั้น “เขาลงมือก่อน!”
“เหลวไหล! เขาตีขันทีเถาจนสลบ แล้วเรียกเจ้าเข้าไปทะเลาะรึ?!” ซ่งชูอีเดินไปรอบๆ ห้องด้วยความตื่นตระหนก หาอยู่รอบหนึ่งก็ไม่เห็นสิ่งของที่เหมาะมือ ดังนั้นจึงง้างมือขึ้น ตบไปที่สะโพกของเขาอย่างแรง
เจ้าอี่โหลวอึ้งไปครู่หนึ่ง สีหน้าแดงก่ำทันใด จากความอับอายกลายเป็นความโมโห เถียงคอเป็นเอ็น “ข้าไม่ชอบหน้าเขา เป็นจวินแล้วเก่งนักรึไง เป็นจวินแล้วจะมานอนในห้องนอนบ้านคนอื่นได้ตามใจชอบรึ!”
พูดจบก็ก้าวเท้าต้องการจะจากไป ซ่งชูอีคว้าตัวเขาด้วยความรวดเร็ว “เจ้าดื้อด้านอีกแล้ว!”
เจ้าอี่โหลวเป็นคนดื้อด้าน ต่อให้ในใจของเขาเข้าใจเป็นอย่างดี แต่หากเถียงกับเขาไปเรื่อยๆ เขาก็จะไม่มีวันยอมรับ
เห็นทีคงทำได้เพียงเปลี่ยนกลยุทธ์…
ซ่งชูอีเข้าใจนิสัยของเจ้าอี่โหลวอย่างถ่องแท้ เขาเป็นผู้ชายประเภท “ให้เสาก็ปีนขึ้น ให้บันไดก็เดินลง[1]” เมื่อเจอสถานการณ์ยุ่งยากก็ทำตัวยุ่งยากยิ่งกว่า นิสัยดื้อรั้นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจัดการได้ ทว่าหากใช้ไม้อ่อนเพียงอย่างเดียว ไม่กี่ครั้งหลังจากนั้นก็จะถูกเขาควบคุมได้ หากต้องการกำราบเขาให้อยู่หมัด ต้องใช้ไม้แท่งใหญ่ที่เคลือบด้วยพุทราเชื่อม
ซ่งชูอีถอนหายใจ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเมื่อครู่ข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน”
ร่างของเจ้าอี่โหลวแข็งทื่อ ในที่สุดก็หันมองนาง
“เจ้าไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล เจ้าเคยคิดถึงผลของการทำเช่นนี้หรือไม่?” ซ่งชูอีจ้องตาของเขา
สายตาที่มองตรงมาของนางทำให้เจ้าอี่โหลวอึดอัด ละสายตาไปด้านข้างเล็กน้อย มองศีรษะที่มีผมหงอกแซมของนางแทน น้ำเสียงอ่อนลงมาก “ใครให้เขานอนที่นี่เล่า…”
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความขึงขัง “จวินกับขุนนางย่อมแตกต่าง! ฝ่าบาทลดตัวลงมาที่จวนของข้า มีเหตุผลใดที่จะให้ฝ่าบาทนอนในห้องเล็ก? หากฝ่าบาทเอาความเรื่องวันนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ว่าอี่โหลว เป็นถึงขุนนางทว่าคุกคามกันด้วยผลงานจะไม่จบลงด้วยดีแน่นอน ครั้งนี้ก็ช่างมัน ทว่าหากเจ้าเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็เก็บศพข้าเถิด”
ในโลกนี้ไม่มีองค์จวินไหนที่ยอมให้ขุนนางเล่นหัว แม้ว่าอิ๋งซื่อจะเป็นคนสบายๆ ตรงไปตรงมา ดูเหมือนจะไม่เย่อหยิ่งเหมือนองค์จวินแห่งรัฐ ทว่าในความเป็นจริงแล้วให้ความสำคัญกับอำนาจอธิปไตยเข้ากระดูก ซ่งชูอีรักษามิตรภาพระหว่างจักรพรรดิและขุนนางเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและไม่ต้องการให้สิ่งใดมาทำลายสภาพที่เป็นอยู่
“จวินกับขุนนางย่อมแตกต่าง” ประโยคนี้ทำให้เจ้าอี่โหลวสบายใจขึ้นมาบ้าง เมื่อความโมโหจางหายความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่ เอ่ยเสียงเบา “ใช่ว่าข้าจะทิ้งนิสัยนี้ไปไม่ได้ แต่ข้ารู้สึกว่าอิ๋งซื่อ…ฝ่าบาทอันตรายมาก เจ้าทุ่มเทเพื่อเขา ข้าไม่วางใจ เปลี่ยนไปที่อื่นไม่ได้รึ?”
“เจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นรึ” ซ่งชูอีตบๆ สะโพกของเขา หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “ดวงใจของข้า ในโลกนี้มีที่ใดไม่อันตรายบ้าง? หรือว่าเจ้ามิได้เตรียมใจที่จะร่วมเป็นร่วมตายไปกับข้า?”
เจ้าอี่โหลวสีหน้าบึ้งตึง ปัดมือของนาง เบือนหน้ามองทางอื่นราวกับไม่พอใจ “อย่าอยู่คนเดียวเป็นอันขาด”
แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องหน้าต่าง ใบหน้าด้านข้างของเขาถูกชุบด้วยวงแสงอบอุ่น
หัวใจของซ่งชูอีอ่อนลง “รอโอกาสที่เหมาะสม ข้าจะกลับไปอยู่ในป่าเขากับเจ้า”
“จริงรึ?” เจ้าอี่โหลวหันหน้ากลับมาทันใด ความปิติผุดขึ้นในแววตา “โอกาสที่เหมาะสมคือเมื่อใด?”
“ก็คือ…” ซ่งชูอีลูบๆ จมูก “เมื่อเวลาเป็นผู้ใหญ่”
ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวเปี่ยมด้วยการรอคอย เอ่ยว่า “อีกกี่ปีจึงจะเป็นผู้ใหญ่?”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ประมาณการเบื้องต้น น่าจะราวๆ ยี่สิบกระมัง”
ประมาณการ? น่าจะ? ราวๆ? เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว กล่าวอย่างหัวเสีย “รู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าก็แค่ปลอบใจ! ข้าจะไปกินข้าว!”
เจ้าอี่โหลวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
“นี่มันหมายความว่าอะไรอีกเล่า” ซ่งชูอีส่ายหน้า นางเพียงแต่พูดว่าเขาเอาแต่ใจ แต่กลับไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่เขาซ่อนไว้ไม่อยู่ขณะเดินออกไป
****
อากาศในเสียนหยางแจ่มใสอยู่ครึ่งเดือน หิมะก็เริ่มตกอีกครั้ง
อากาศเหน็บหนาวราวกับแช่งแข็งไฟสงครามไปด้วย นานารัฐพักการสู้รบ ใต้หล้าสงบสุข อย่างไรก็ราษฎรยังคงดิ้นรนอยู่บนเส้นชีวิตและความตาย สงครามทำให้พวกเขายากจนข้นแค้น การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศบีบให้พวกเขาสิ้นหวัง และภายใต้ความหนาวเย็นอย่างรุนแรง แต่ละรัฐต่างกำลังวางแผนและเตรียมสงครามอย่างเข้มข้น สำหรับผู้ที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในฤดูหนาวอันโหดร้ายนั้น พวกเขาถูกกำหนดให้ตกอยู่ในเปลวไฟของสงครามอีกครั้ง
อิ๋งซื่ออนุญาตให้ปล่อยกงซุนเหยี่ยนไป ปีใหม่ผ่านพ้น น้ำแข็งละลายลงช้าๆ เขาก็เริ่มออกเดินทางทันที หลังจากการพิจาณาสองเดือน เขาก็ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะ…กลับรัฐเว่ย!
มาจากสำนักจ้งเหิงเหมือนกัน ทว่าจุดยืนของจางอี๋และกงซุนเหยี่ยนกลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง จางอี๋สนับสนุนแนวเหิง หนึ่งรัฐผู้แข็งแกร่งโจมตีกลุ่มรัฐอ่อนแอ กงซุนเหยี่ยนสนับสนุนแนวจ้ง กลุ่มรัฐอ่อนแอโจมตีหนึ่งรัฐผู้แข็งแกร่ง สาเหตุที่แตกต่างกันเพียงนี้ นอกเหนือจากที่พวกเขาต่างต้องการได้รับชื่อเสียงและโชคลาภแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง…จางอี๋ปรารถนาให้ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ในขณะที่กงซุนเหยี่ยนปรารถนาให้รัฐที่แข็งแกร่งปกครองรัฐเล็กด้วยอำนาจ
บังเอิญว่าซ่งชูอียืนอยู่ข้างเดียวกับจางอี๋ในประเด็นนี้
รัฐฉินสามารถเดาการตัดสินใจของกงซุนเหยี่ยนจากเส้นทางของเขา ทั่วทั้งราชสำนักต่างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขายังนำกองทัพฉินสังหารทหารม้าของกองทัพเว่ยนับแสนนาย ดูเหมือนเกลียดชังรัฐเว่ยมากเหลือเกิน เหตุใดจึงตัดสินใจจำนนต่อเว่ยอีก?
อย่างไรก็ดีไม่ว่ากงซุนเหยี่ยนคิดอย่างไร นี่เป็นข่าวดีสำหรับเว่ยอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย! ในสายตาของเว่ยอ๋องทหารม้าแสนนายเป็นเพียงตัวเลขที่แสดงถึงอำนาจทางทหารเท่านั้น กงซุนเหยี่ยนมีความสามารถในการกำจัดทหารม้าแสนนาย เว่ยอ๋องจะต้อนรับก็ยังไม่สายและไม่มีทางปิดกั้นอย่างแน่นอน
กงซุนเหยี่ยนเข้ารัฐเว่ยอย่างเงียบๆ เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าจะสามารถแทนที่องค์ชายอั๋งที่เลี้ยงเสียข้าวสุกและนั่งอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีของรัฐเว่ยได้ ทว่ากลับได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขานัก เมื่อสองเดือนก่อนองค์ชายอั๋งล้มป่วย บัดนี้ได้ลาออกจากตำแหน่งกับเว่ยอ๋องแล้ว ปิดประตูพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ผู้รับตำแหน่งมหาเสนาบดีคนใหม่ก็คือเถียนซวี
เถียนซวีเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ทว่าหากว่ากันด้วยชื่อเสียงแล้ว เขาเทียบไม่เท่าฮุ่ยซือ เถียนซวีรับราชการอยู่ในรัฐเว่ย สนับสนุนการผูกมิตรฉู่โจมตีฉิน ท่าทีที่เขามีต่อรัฐฉู่ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากขุนนางรัฐฉู่มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ครั้นองค์ชายอั๋งลงจากตำแหน่งแล้ว เขาก็เพิ่มเชื้อเพลิงโดยอาศัยความสัมพันธ์ภายนอกและได้กลายเป็นมหาเสนาบดีคนใหม่
มหาเสนาบดีของรัฐเว่ยไม่แบ่งฝ่ายซ้ายขวา มีเพียงมหาเสนาบดีและไว่เซียง (ขุนนางจากต่างรัฐ) ไม่เหมือนกับรัฐฉินที่คนหนึ่งรับผิดชอบกิจการภายในอีกคนหนึ่งรับผิดชอบกิจการภายนอก ตำแหน่งที่เรียกว่าไว่เซียงโดยมากก็มีชื่อไว้เพื่อเข้าร่วมกิจการภายในและนอกรัฐ แต่แท้จริงแล้วไร้อำนาจใดๆ ในมือ แต่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย ขุนนางคนสำคัญอย่างแท้จริงมีเพียงมหาเสนาบดีเท่านั้น
แน่นอนว่าตำแหน่งที่กงซุนเหยี่ยนหมายตาไว้ก็คือมหาเสนาบดี
ที่น่าเสียดายคือ เขาไม่ถูกกับเถียนซวีตั้งแต่ตอนที่รับราชการในรัฐเว่ยก่อนหน้านี้ สุดท้ายข้อเสนอแนะปฏิรูประบบทหารที่ถวายแก่องค์จักรพรรดิถูกเว่ยอ๋องปฏิเสธ หนึ่งในนั้นก็มี “ความดีความชอบ” อันยิ่งใหญ่ของเถียนซวีด้วย
กงซุนเหยี่ยนเช่าจวนอยู่ในนครต้าเหลียงเพื่อจับตามองและสังเกตทิศทางของรัฐ คิดหาโอกาสที่จะบีบเถียนซวีออกไป
[1] ให้เสาก็ปีนขึ้น ให้บันไดก็เดินลง อุปมาว่า ยึดติดกับผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลโดยไม่มีจิตวิญญาณในการแสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง