บทที่ 262 ดูแลหนูตายให้ดี

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

หากต้องการจะสั่นคลอนตำแหน่งของเถียนซวีในใจของเว่ยอ๋อง ต้องถอนรากถอนโคน! อีกทั้งรากโคนของเถียนซวีนั้นก็อยู่ที่รัฐฉู่

ไม่นาน กงซุนเหยี่ยนก็ได้โอกาส

กลางเดือนห้า เขาได้รับข่าวว่าเถียนซวีโน้มน้าวให้เว่ยอ๋องเป็นพันธมิตรกับรัฐฉู่เพื่อต่อต้านฉิน รัฐฉู่ได้ส่งราชทูตนามว่าเฉินเจิ่นมา

เฉินเจิ่นก็เป็นศิษย์สำนักจ้งเหิงเหมือนกันและเป็นสหายเก่าของกงซุนเหยี่ยน แม้ว่าจะรู้จักกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทว่ามีความสนใจเหมือนกัน จึงทำให้กลายเป็นคนสนิท ดังนั้นกงซุนเหยี่ยนจึงหาโอกาสอันเหมาะสม แวะคารวะสหายเก่าที่จวนรับรองโดยไม่เกรงกลัวคำครหาเลยแม้แต่น้อย

ครั้นเขามาถึงจวนรับรองก็เชิญให้คนไปรายงาน ขณะที่กำลังรออยู่ข้างประตู ก็สังเกตเห็นว่ามีคนเดินลาดตระเวนตามถนนมากกว่าปกติถึงสองเท่า

“ฮาฮาฮา!” ยังไม่ทันเห็นคนก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากข้างใน

กงซุนเหยี่ยนหันกลับมา ก็เห็นชายวัยกลางคนหนวดสั้นในเสื้อสีเขียวผู้หนึ่งก้าวออกมา บนใบหน้าขาวผ่องนั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอซีโส่วหลายปี สบายดีหรือไม่?”

“พี่เฉิน!” ในที่สุดคิ้วที่ขมวดกันหลายเดือนของกงซุนเหยียนก็ผ่อนคลายลง

“ไปกัน พวกเราสหายเก่าจากกันหลายปี ต้องไปดื่มให้สำราญใจเสียหน่อย!” เฉินเจิ่นเบี่ยงตัวเชิญกงซุนเหยี่ยนเข้าไปข้างใน

“เยี่ยม!” ทั้งสองคนเข้าไปด้วยกัน กงซุนเหยี่ยนเอ่ยถาม “การลาดตระเวนเพิ่มขึ้นกะทันหัน พี่เฉินรู้สาเหตุหรือไม่?”

เฉินเจิ่นส่ายหน้า “เมื่อเช้าข้าก็ถามผู้ดูแลจวนรับรอง ดูเหมือนพวกเขาก็ไม่รู้”

สหายเก่าไม่พบกันนานย่อมมีเรื่องคุยมากมาย ทั้งสองคนจึงทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วพูดคุยอย่างมีชีวิตชีวา

ในเวลานี้เอง ชายวัยกลางคนสวมหมวกสานคนหนึ่งมาถึงหน้าประตูจวนของไว่เซียง เขาเงยหน้ามองป้ายบนประตูแวบหนึ่ง บนใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่เข้ากับรูปลักษณ์สงบนิ่งของเขา เขาถอดหมวกสานลง ยกมือขึ้นเคาะประตูใหญ่

ประตูด้านข้างเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายชราผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา “ท่านแขกมาจากที่ใด มาแวะคารวะเจ้านายบ้านข้าเช่นนั้นหรือ?”

ผู้นั้นไม่คำนับ หัวเราะเอ่ย “ฮ่า รีบไปบอกเจ้านายบ้านท่านว่าคนที่เขาตามหามาแล้ว!”

ชายชราได้ยินดังนี้ อดที่จะก้าวขาที่เดินเหินไม่สะดวกออกมาไม่ได้ สำรวจผู้มาเยือนอย่างละเอียด เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาอมฟ้าแขนกว้าง รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วตาสดใส หนวดเครามิได้รับการดูแลอย่างตั้งใจ ทว่ากลับไม่ดูยุ่งเหยิง แต่กลับมีท่าทีสบายและอิสระเสรีที่ต่างออกไป

“ที่แท้ก็จวงจื่อนี่เอง! บ่าวแก่ชราหูตาฝ้าฟาง มองแวบแรกกลับจำไม่ได้ จวงจื่อได้โปรดอย่าถือสา!” ชายชราประสานมือคำนับ

จวงจื่อยื่นมือประคองเขา “ไม่เจอกันหลายปี ลุงอี้ถือเคร่งประเพณีกับข้าเสียแล้วรึ? รีบลุกขึ้นมาเถิด”

เดิมลุงอี้เป็นบ่าวรับใช้ในจวนของฮุ่ยซือ สามสิบปีก่อนฮุ่ยซือพบกับโจรภูเขา ได้เขาช่วยเอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต อีกทั้งขายังหักไปข้างหนึ่งด้วยเหตุนี้ ดังนั้นฮุ่ยซือจึงปฏิบัติต่อเขาด้วยความแตกต่างยิ่ง แม้จะเป็นเจียเหล่า (ผู้ดูแลจวน) ทว่ากลับถูกเลี้ยงดูราวกับเป็นบุพพการีอย่างแท้จริง เดิมทีลุงอี้ไม่มีชื่อ เพื่อเป็นการระลึกถึงการกระทำอันชอบธรรมของเขา ฮุ่ยซือจึงเรียกเขาว่าลุงอี้ (ผู้ชอบธรรม)

“จวงจื่อรอสักครู่ ข้าจะไปเปิดประตู” ลุงอี้กำลังจะหมุนตัวไปเปิดประตูใหญ่ แต่กลับถูกจวงจื่อห้ามไว้

“ไม่ต้องดอก ข้าเข้าทางประตูเล็กแล้วลูกหลานจะกล้าดูถูกข้าหรืออย่างไรกัน?” จวงจื่อหัวเราะเอ่ย

ลุงอี้เห็นจวงจื่อมาตั้งแต่เล็กจนโต เข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะเป็นคนสบายๆ แต่ตนก็ไม่อาจละเลยได้ ทว่าในเมื่อเขาแสดงออกมาตรงๆ แล้วว่าไม่ใส่ใจ ยืนกรานต่อไปก็จะดูเป็นคนนอกไปหน่อย

“ได้ยินว่าจวงจื่อรับทุกข์แทนศิษย์ตอนที่อยู่ในรัฐฉินรึ? หายดีแล้วหรือยัง?” ลุงอี้กล่าวด้วยความเป็นห่วง

จวงจื่อแบมือซ้าย “หายนานแล้ว”

ลุงอี้ยื่นมือลูบคลำส่วนของนิ้วก้อยของเขาที่ขาดไป พ่นลมออกทางจมูก “พวกร้อยสำนักไม่รู้สึกผิดหรืออย่างไร! หากเป็นเรื่องที่มีการตัดสินแล้วก็ช่างประไร แต่เรื่องที่หาหลักฐานไม่ได้ก็ยังบีบให้คนอื่นทุกข์! ช่างสะกดคำว่าละอายใจไม่เป็นกันเสียเลย!”

จวงจื่อซาบซึ้ง ตบมือของลุงอี้เบาๆ ไม่ได้เอ่ยคำปลอบใจ

เขาไม่เคยรู้สึกว่าโลกใบนี้ยุติธรรมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรือโกรธเคืองเลย

ลุงอี้นำทางจวงจื่อมาถึงห้องหนังสือ ไม่ได้รายงานแต่ยื่นนิ้วชี้ๆ เงียบๆ จวงจื่อยิ้มรับ ถอดรองเท้าแล้วเดินย่องเข้าไปข้างใน

ฮุ่ยซือกำลังนั่งตรวจทานเอกสารที่หน้าโต๊ะ แม้ว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์สั่งการโดยตรง ทว่าเอกสารก็ยังถูกส่งมาอย่างไม่ขาดสาย

เขากำลังอ่านอย่างใจจดใจจ่อ พลันสิ่งของหนึ่งร่วงลงบนโต๊ะ ทำให้เขาตกใจจนตัวสั่น เมื่อรวบรวมสมาธิมองให้ดี กลับเป็นเป็นหมวกนุ่มๆ ที่ทำจากฟาง.

“ฮ่าฮ่า” จวงจื่อหัวเราะเสียงดัง เดินไปที่หน้าโต๊ะแล้วรินน้ำให้ตัวเอง

“จื่อซิว!” ฮุ่ยซือเดินเข้ามา ชกหน้าอกของเขาสองสามครั้งด้วยความประหลาดใจบนใบหน้า “ข้าได้ยินว่าเจ้ามาที่รัฐเว่ย จึงส่งคนไปตามหาเจ้าทั่วทุกที่ ใครจะคิดว่าเจ้าจะลึกลับราวกับภูติผีเพียงนี้!”

จวงจื่อดื่มน้ำคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง”

“ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่อีกรึ อ้าปากก็จะเล่านิทาน” ฮุ่ยซือกล่าวด้วยท่าทีเหมือนเห็นเรื่องประหลาดจนเคยชินแต่ก็ไม่ให้เขานั่งเพียงแต่กล่าวว่า “ว่ามา สหายเก่าพร้อมที่จะรับฟัง!”

จวงจื่อกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ทิศใต้มีนก นามของมันคือยวนตี่ ระหว่างทางหากไม่ใช่ต้นอู๋ถงไม่เกาะ ไม่ใช่ไผ่อ่อนไม่กิน ไม่ใช่แคว้นกานเชวียนไม่พัก วันหนึ่ง นกเค้าแมวตัวหนึ่งจับหนูเน่าได้ ครั้นเห็นยวนตี่บินข้ามหัวไปก็นึกว่ายวนตี่ต้องการจะขโมยอาหารของมัน รีบปกป้องหนูเน่า มองเขาพร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า ไป!”

ยวนตี่เป็นชื่อของนกหงส์ การอุปมาของจวงจื่อนั้นเฉียบคมมากโดยเปรียบเทียบตำแหน่งไว่เซียงของฮุ่ยซือเป็นหนูตาย บอกว่าฮุ่ยซือกลัวว่าเขาจะมาแย่งตำแหน่งนี้ไป หากพูดกันตามตรง ความหมายก็คือ “เจ้าคิดว่าทุกคนต่างโหยหาหนูตายตัวนั้นของเจ้ารึ!”

ฮุ่ยซือชินกับวาจาที่เฉียบคมของจวงจื่อนานแล้ว ครั้นได้ยินเรื่องนี้ก็เอ่ยปากต่อ “เว่ยอ๋องมอบเมล็ดน้ำเต้าลูกใหญ่แก่ข้า ข้านั้นก็ปลูกจนมันงอกออกมาแล้ว ผลน้ำเต้าใหญ่มากจริงๆ สามารถบรรจุหินได้ถึงห้าก้อน ทว่าไม่มีใครสามารถใช้มันใส่น้ำได้ มันทั้งใหญ่ทั้งเรียบ จะจุน้ำได้เยี่ยงไร? ดังนั้นข้าจึงทิ้งมันไปแล้ว”

วาจานี้ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย เปรียบเทียบจวงจื่อเป็นผลน้ำเต้าลูกใหญ่ คุยโวโอ้อวดถึงสุดหล้าฟ้าเขียว ทว่ากลับ ไม่สามารถปฏิบัติเรื่องบางเรื่อง ฮุ่ยซือจ้องเขาอย่างไม่ยอมแพ้ กระบวยใหญ่แบนๆ ของเจ้าไม่สามารถใช้งานได้จริง ต่อให้ใหญ่เพียงใดก็เป็นเพียงของที่ไร้ประโยชน์! ข้าจะกลัวเจ้ารึ?

“เจ้ามีกระบวยใหญ่เพียงนี้ สามารถทำเป็นเรือท้องแบนเท้าทะยานคลื่นได้ แต่กลับทิ้งไปไม่ใช้ ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?” จวงจื่อยื่นมือ แล้วเอ่ยเย้า “สหายเก่าอยากไปเพนจรกับน้ำเต้าลูกใหญ่เยี่ยงข้าหรือไม่?”

ฮุ่ยซือหัวเราะเสียงดัง “ไม่เจอกันหลายปี ปากของเจ้านี้ยิ่งคมคายกว่าเดิมแล้ว นั่ง!” หลังจากเขานั่งลงแล้วก็มองจวงจื่อ “ข้าน่ะ ไม่ได้มีหัวใจกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทรเยี่ยงเจ้า เพียงแต่มีหัวใจที่ดื้อรั้นเหมือนกัน อีกทั้งยังชอบดูหนูตาย! หากต้องพเนจรดูภูเขาแม่น้ำทั้งวัน ข้าจะต้องเศร้าเป็นแน่!”

จวงจื่อเอนตัวพิงที่เท้าแขน ท่าทางเกียจคร้านนั้นเหมือนซ่งชูอีไม่มีผิดเพี้ยน

ฮุ่ยซือดื่มน้ำคำหนึ่ง เอ่ยว่า “เหตุใดจึงคิดมาเยี่ยมสหายเก่าเล่า? หรือว่าถูกรังแกในรัฐฉิน แล้วมาหาสหายเก่าเพื่อระบายความโกรธ?”

จวงจื่อเอามือหนุนศีรษะ มองเขาสบายๆ “เจ้าระวังหนูตายของเจ้าให้ดี อย่าได้ฟุ้งซ่าน!”

สายตาของฮุ่ยซื่อหยุดอยู่ที่นิ้วก้อยว่างเปล่าของเขา ถอนหายใจ “คนประเภทใดกันที่ทำให้เจ้าเอาตัวเข้าปกป้องได้?”

ฮุ่ยซือรู้จักกับจวงจื่อมายี่สิบปี จวงจื่อมีนิสัยอย่างไรเขารู้ดีที่สุด อีกทั้งยังรู้จักศิษย์ที่จวงจื่อรับเข้ามาเป็นอย่างดี รู้โดยธรรมชาติว่าซ่งชูอีไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับจวงจื่อ

“รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานตั้งแต่แรกเห็น ครั้นเห็นนาง ก็ราวกับเห็นญาติสนิทของตัวเองและก็เหมือนเห็นตัวเอง” จวงจื่อเอ่ย

เหตใดจึงรู้สึกเหมือนเจอญาติสนิท ฮุ่ยซือไม่อาจเข้าใจได้ ทว่าเขาพอเข้าใจได้เมื่อจวงจื่อกล่าวว่าเห็นเงาตัวเองจากตัวซ่งชูอี และเขาก็ได้อ่าน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ส่วนที่ปรากฏอยู่ในเสียนหยางในภายหลังแล้ว ถ้อยคำบรรยายโลกไร้สงครามในบทสุดท้ายนั้นก็คือความปรารถนาของจวงจื่อโดยบังเอิญ

อย่างไรก็ดี จวงจื่อทนทุกข์แทนนาง กลับไม่ใช่เพียงเพราะรู้สึกเหมือนสหายเก่าหรือความปรารถนาที่เหมือนกัน แม้ตัวเขาเองได้ละทิ้งวิถีแห่งโลกใบนี้แล้ว ทว่าเมื่อเห็นซ่งชูอีทุ่มเททุกอย่างเพื่อ “วิถี” นั้นแล้ว มันได้สัมผัสถึงความคาดหวังที่ซ่อนไว้อย่างลึกล้ำที่สุดในใจของเขา

เขารู้ว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ทั้งสองส่วนล้วนเป็นของปลอม แนวคิดของซ่งชูอีไม่มีทางที่จะเป็นวิถีอ๋องอันเรียบง่ายและไร้ความน่าสนใจ ทว่าเพื่ออุดมการณ์เดียวกัน เขาเต็มใจที่จะช่วยนางสักครั้ง