เสียนหยางในเดือนห้า เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการออกไปเที่ยว หญิงสาวในชุดงดงามสามารถเห็นได้ทั่วไป
นี่ก็เป็นเป็นโอกาสดีของหนุ่มสาวที่จะสารภาพความรู้สึกต่อกัน บทเพลง “กกอ้อ” อันอ่อนหวานในบทกวีโบราณแห่งฉินมักจะได้ยินบ่อยครั้งท่ามกลางสายน้ำไหลเชี่ยวและต้นไม้เขียวชอุ่ม ในบรรดาเจ็ดมหานครรัฐ รัฐเจ้าและรัฐฉินให้ความสำคัญต่อผู้หญิงมากที่สุด พวกเขาเห็นว่าผู้หญิงในรัฐล้วนสามารถทำให้ราษฎรของบ้านเมืองเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และผู้หญิงแข็งแรงจึงจะสามารถให้กำเนิดเด็กที่สุขภาพดี ดังนั้นฉินเจ้าจึงไม่เคยปิดกั้นผู้หญิง หรือแม้แต่กระตุ้นให้พวกนางออกไปเที่ยวนอกบ้าน
ซ่งชูอีสั่งให้หมี่จีส่งเสื้อผ้าใหม่กับเงินค่าสุราฤดูใบไม้ผลิให้กับสาวใช้ในจวน อนุญาตให้พวกนางผลัดกันออกไปเที่ยว
กลางเดือนห้า เจินจวิ้นบอกซ่งชูอีว่าหาอาจารย์ให้กับเจียนได้แล้ว คนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์พเนจร วิชาการต่อสู้ของเขาเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า ปกติจะคุ้มกันขบวนรถของผู้สูงศักดิ์และบรรดาพ่อค้าในการเลี้ยงชีพ ทว่าเขามีนิสัยแปลกอย่างหนึ่ง ก็คือเมื่อใดก็ตามที่จ้างเขาคุ้มกันขบวนรถแล้วก็ไม่สามารถจ้างจอมยุทธ์พเนจรคนอื่นได้อีก เนื่องจากเขาคุ้มกันขบวนรถมากว่าร้อยคันและไม่เคยมีข้อผิดพลาดใด ดังนั้นจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงในรัฐต่างๆ
“ข้าก็รู้เรื่องศิลปะการต่อสู้เพียงน้อยนิด เส้นชีพจรของเจียนเชื่อมถึงกัน การฝึกฝนหมัดมวยนอกสำนักมีความรุนแรงเล็กน้อย เดิมทีจอมยุทธ์หลีไม่มีความคิดที่จะรับศิษย์ ทว่าครั้นได้ยินข้ากล่าวถึงเจียนก็รู้สึกหวั่นไหว บอกว่าต้องการเห็นกับตา” เจินจวิ้นกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า “เป็นอาจารย์หนึ่งวันเป็นบิดาชั่วชีวิต ในเมื่อมีใจที่จะรับศิษย์ก็อย่าได้รอช้าเลย เจ้าเอาที่อยู่ของท่านจอมยุทธ์มาให้ข้า วันนี้ข้าจะส่งเทียบเชิญ ดูว่าเขาว่างเมื่อไร ข้าจะพาเจียนไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง”
“ท่านพูดถูก” เจินจวิ้นได้เตรียมไว้แล้ว เขาหยิบม้วนผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือสถานที่จอมยุทธ์หลีพักอยู่ในเสียนหยาง”
ซ่งชูอีเปิดอ่าน ด้านบนไม่เพียงมีที่อยู่ ทั้งยังมีสถานะและภูมิหลังของจอมยุทธ์หลีอีกด้วย
“หลี” เป็นชื่อของจอมยุทธ์ท่านนี้ เดิมทีเขาเป็นโอรสคนที่สิบสองของจวินแห่งรัฐเยียน เก่งศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เป็นที่โปรดปรานของเยียนกง ทั้งยังเชิญอู๋จื่อให้เป็นอาจารย์เขา ทั้งหมดก็เพื่อให้เป็นผู้แข่งขันในการท้าชิงบัลลังก์ อย่างไรก็ดีเขากลับเหนื่อยหน่ายในการแย่งชิงอำนาจ จึงออกมาจากรัฐเยียนตามลำพัง เพียงพริบตาเดียวก็ล่วงเลยมาสิบหกปีแล้ว
ซ่งชูอีพอใจกับสถานะและภูมิหลังเยี่ยงนี้ของเยียนหลีมาก เขียนเทียบทักทายทันทีและส่งคนไปที่พำนักของเขา
“จริงสิ น้องสาวเจินได้คุยเรื่องสมรสแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
เจินจวิ้นส่ายหน้า เอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าเด็กคนนี้เลือกมากจริงๆ ก็มีคนเข้ามาคุยเรื่องแต่งงานไม่น้อย ทว่านางก็ไม่รับปากเสียที”
ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “นางเป็นคนมีความรู้ ความหยิ่งยโสเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง ก็ปล่อยให้นางเลือกมากไปเถิด”
นางพูดพลาง ส่งสัญญาณให้หนิงยานำกล่องผ้าไหมที่เตรียมไว้ให้เจินจวิ้น
“ช่วงนี้ก็มีคนไม่น้อยที่มาสู่ขอน้องสาวเจินกับข้า ข้าเห็นว่ามีบางส่วนที่นับว่าเป็นชายหนุ่มหล่อเหลามีความสามารถ ทว่าสุดท้ายเจ้าต่างหากคือพี่ชายแท้ๆ ของนาง ลองดูเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
ในใจของเจินจวิ้นทั้งดีใจทั้งกังวล ดีใจที่น้องสาวของตนกลายเป็นคนเนื้อหอม กังวลใจเพราะไม่รู้ว่าต้องมองหาคนแบบไหนที่จะทำให้นางมีความสุขได้ เขารับกล่องมาแต่มิได้รีบดู ถามความเห็นของซ่งชูอีก่อน “ท่านคิดว่าเจินเอ๋อร์เหมาะสมกับคนประเภทใด?”
ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อพร้อมเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องพิจารณาเอง แต่ว่าเลือกมากหน่อยก็มิได้ผิดอะไร แต่เจ้าก็ตามใจนางไม่ได้ อายุก็ไม่น้อยแล้ว”
พูดจบ นางก็กล่าวด้วยความจริงใจอีกครั้ง “เจ้าก็ควรทำงานให้หนักขึ้น อย่ามัวไปลงแรงกับพื้นที่เพาะปลูกบางๆ ของเจ้า หลายปีมานี้ไม่เห็นจะมีอะไรงอกออกมาเลย”
ปีนี้เจินจวิ้นก็อายุสามสิบเจ็ดแล้ว ฮูหยินเสียไปตั้งแต่ยังสาว อีกทั้งยังไม่ได้ทิ้งลูกไว้ให้ สาวใช้ที่อยู่ในลานหลังบ้านทุกวันนี้ก็ยังเป็นบรรดาเพื่อนเจ้าสาวที่มากับฮูหยินในตอนนั้น มิได้รับคนใหม่เพิ่ม ปีนี้คนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่พวกนางก็ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดแล้ว
“ท่านสั่งสอนได้ถูกต้อง” บางทีอาจเป็นเพราะว่าซ่งชูอีพูดจาตรงเกินไป เจินจวิ้นถูกคนที่อายุน้อยกว่าตนสั่งสอน จึงไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย
ครั้นคุยธุระเสร็จ เจินจวิ้นก็เก็บกล่องร่ำลา
ในกล่องผ้าไหมนั้นบรรจุบัญชีรายชื่อของผู้ที่มาสู่ขอทั้งหมด ซ่งชูอีจะไม่ปล่อยให้เจินจวิ้นตำหนิในด้านนี้เป็นอันขาด
สำหรับสกุลเจินแล้ว ซ่งชูอีใช้แผนการอย่างตรงไปตรงมาเสมอ ทำให้เขาได้เห็นว่าความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของสกุลเจินล้วนอยู่ในกำมือของนาง ทว่าแผนการทั้งหมดของนางล้วนเป็นประโยชน์ต่อสกุลเจินแต่ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจเช่นกัน สกุลเจินจะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น ทว่าทุกครั้งที่แข็งแกร่งขึ้น ซ่งชูอีก็จะผูกพันธนาการเพิ่มขึ้นอีกเส้น
แต่ละเส้นนั้นล้วนมีการผูกมัดอันน่ายั่วยวน ทำให้ทั้งรู้สึกปรารถนาและหวาดกลัว บัดนี้ในใจของเจินจวิ้นกำลังวอกแวกว่าจะหลุดพ้นจากการควบคุมนี้ดีหรือไม่? ทว่าผลประโยชน์นั้นมีมากเหลือเกิน ทำใจที่จะปล่อยไปไม่ได้จริงๆ
หนิงยายืนอยู่หน้าประตู มองเงาของเจินจวิ้นออกประตูเล็กไปก็หันมากล่าวกับซ่งชูอี “ดูเหมือนว่าจิตใจของท่านเจินจะสับสนนะเจ้าคะ”
“สิ่งที่ข้าบอกเจ้า คิดได้หรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาส่ายหน้า “หนิงยาโง่ ไม่เข้าใจว่าในเมื่อท่านต้องการจะใช้แผนการกับท่านเจิน ทว่ากลับไม่ปิดบังเขา เขาไม่โกรธหรือเจ้าคะ?”
“แม้ว่าข้าจะใช้แผนการ ทว่าทุกแผนการล้วนจะทำให้สกุลเจินยิ่งใหญ่ขึ้น ตระกูลของเขาย้ายมาที่รัฐฉิน ก็เพื่อแสวงหาความยิ่งใหญ่ เจ้าว่าสิ่งที่ข้ามอบให้เขา เขาจะชอบหรือว่าโมโหเล่า?” ซ่งชูอียิ้มถาม
หนิงยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ทว่าแผนการก็คือแผนการ ท่านเจินอาจจะมีความสุข แต่ก็คงไม่ชอบท่านแบบนี้ดอกกระมัง?”
“ถูกต้อง” ซ่งชูอีลูบคลำนิ้วของตัวเอง “เจ้าต้องรู้ว่า เราต้องใช้วิธีต่างกันกับคนที่ต่างกัน ในโลกนี้ไม่มีแผนการไร้ที่ติ จะจริงหรือเท็จย่อมถูกเปิดโปงไม่ช้าก็เร็ว ข้าต้องการรวบสกุลเจิน มิใช่ต้องการกำจัดศัตรู หากข้าแอบใช้แผนการลับหลังเขาตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งถูกเขาเปิดโปง เขาต้องดิ้นรนสุดกำลังเป็นแน่ หรือแม้แต่ต่อสู้จนตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย บัดนี้ข้าได้ให้เวลาเขาตัดสินใจนานมาก ทุกครั้งที่ใช้แผนการ เขาก็สามารถฉวยโอกาสที่จะหลุดพ้นได้”
“หากว่าท่านเจินหลุดพ้นแล้วล่ะเจ้าคะ ท่านไม่เสียเปรียบมากหรอกหรือ?” หนิงยามีสีหน้าสงสัยและไร้เดียงสา
ซ่งชูอีดึงมุมปากยิ้มน้อย กล่าวด้วยความแน่วแน่ “เขาจะไม่ยอมแพ้”
เจินจวิ้นย้ายครอบครัวมายังรัฐฉินเพื่อแสวงหาอำนาจ ทั่วทั้งรัฐฉินนี้ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นเจ้านายของสกุลเจินไปกว่านางแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้สกุลเจินก็เสียสละไปมากมายเพื่อติดตามซ่งชูอี บัดนี้เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร? พ่อค้าแสวงหาผลกำไร ในฐานะที่เจินจวิ้นเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งก็เป็นเช่นนั้น
หนิงยาเกรงกลัวการแสดงออกเช่นนี้ของซ่งชูอีเป็นที่สุด ราวกับว่าสามารถมองทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บางคราวก็รู้สึกว่าท่านรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านขอรับ เสนาบดีฝ่ายซ้ายมาแล้ว” เจียนรายงานอยู่ข้างนอก
ซ่งชูอีลุกขึ้นออกไปรับ เห็นจางอี๋ในชุดคลุมตัวใหญ่และสวมเครื่องกวนทรงสูง อดที่จะยิ้มเอ่ยมิได้ “ลมอะไรหอบท่านที่มีงานล้นมือมาที่นี่ได้?”
“ไม่ใช่ลม เป็นไฟ ไฟสงคราม” จางอี๋เอ่ย
“ว่าอย่างไร รัฐเว่ยจะเปิดสงครามกับฉินรึ?” ซ่งชูอีขมวดคิ้ว
จางอี๋พยักหน้า เดินเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมกับซ่งชูอี “รัฐเว่ยต้องการผูกมิตรกับฉู่เพื่อต่อต้านฉิน แม้ฉู่อ๋องจะลังเลอยู่บ้าง แต่กลับส่งราชทูตเข้าไปที่รัฐเว่ย เจ้าว่าเป็นเรื่องด่วนไหมเล่า”
รัฐฉู่ครอบครองพื้นที่ชิ้นใหญ่ในรัฐปา หากพวกเขาจะใช้ตรงนั้นเป็นหน้าด่าน ฉวยโอกาสยึดดินแดนปาสู่ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อฉินอย่างแท้จริง