“เกรงว่าฝ่าบาทอาจเรียกใช้เจ้าในไม่กี่วันนี้ ร่างกายของเจ้าพักฟื้นไปถึงไหนแล้ว?” จางอี๋นั่งลงแล้วเอ่ยถาม
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ดีขึ้นมาก หลายวันนี้ข้าเบื่อจนแทบจะรากงอกอยู่แล้ว หากฝ่าบาทไม่เรียกข้าอีก ข้าก็จะไปของานทำ!”
จางอี๋สำรวจซ่งชูอีครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ผิวพรรณไม่เลว แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” ซ่งชูอีมองดูตัวเอง ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“หวยจินก็อายุยี่สิบแล้ว เหตุใดยังขาวสะอาดเพียงนี้” จางอี๋กล่าวด้วยความเป็นกังวล “นี่ไม่ใช่เรื่องดี วันไหนเจ้าไปถามหมอหลวงเป็นการส่วนตัวว่าป่วยนานไปแล้วขาดพลังหยางหรือเปล่า อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว”
ซ่งชูอีจิ๊ปาก “เหตุใดคำพูดนี้ถึงได้คุ้นหูนัก?”
หนิงยาป้องปากแอบหัวเราะ “เมื่อครู่ท่านยังใช้คำนี้สั่งสอนท่านเจินอยู่เลยเจ้าค่ะ ของอย่างหนึ่งย่อมมีสิ่งพิชิตได้เสมอจริงๆ”
“เรื่องนี้ไม่รีบ คุยธุระสำคัญก่อนเถิด” ซ่งชูอีเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ
เมื่อหนิงยาได้ยินว่าจะคุยธุระสำคัญ ก็ค้อมตัวถอยออกไปแล้วปิดประตู
จางอี๋ก็เก็บอาการเย้าเล่น กลับเข้าประเด็นสำคัญ “หากไม่ใช่เรื่องของฉินเว่ย ข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยากดูว่าร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไร ดูว่าสามารถเข้ารับตำแหน่งเพื่อจัดการการเมืองได้หรือไม่ ข้ากำลังเฝ้าดูสถานการณ์ของฉู่เว่ย หากจับมือกันสำเร็จจริงๆ พี่ชายก็เกรงว่าจะต้องไปที่รัฐฉู่ด้วยตัวเองแล้ว ข้าจะทูลแนะนำฝ่าบาทให้เจ้าเข้ารักษาการตำแหน่งมหาเสนาบดี”
“ข้าคิดว่าต่อให้รัฐฉินไม่เข้าแทรกแซง พวกเขาก็จับมือกันไม่สำเร็จ” ซ่งชูอีเอ่ย
“เหตุใดหวยจินจึงมั่นใจนัก?” จางอี๋ถามด้วยความสงสัย
แน่นอนว่าซ่งชูอีไม่กล้ามั่นใจจากการคาดเดาเพียงอย่างเดียว ทว่าในความทรงจำชาติก่อนของนาง สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ว่าไม่นานหลังจากนั้น รัฐเว่ยก็จะใช้กองกำลังต่อต้านกับรัฐฉิน เอาชนะรัฐฉินได้ทั้งยังยึดป้อมปราการหลีสือ…คนที่นำกองทัพในบัดนั้นก็คือกงซุนเหยี่ยน!
สงครามครั้งนี้รัฐฉินบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก หลายวันนี้ซ่งชูอีก็เคยคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะใช้วิธีใดที่จะหลีกเลี่ยงหายนะในครั้งนี้ ทว่าคิดไปคิดมา โลกใบนี้แก่งแย่งชิงดีไม่จบสิ้น หากหลีกเลี่ยงครั้งนี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจนำมาซึ่งการต่อสู้ที่สาหัสยิ่งกว่า ผู้บาดเจ็บและล้มตายก็อาจมีมากยิ่งขึ้น
ซ่งชูอีค่อยๆ รู้สึกว่าในโลกใบนี้มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับโลกใบก่อน ทว่าทิศทางโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง ในเมื่อนางมี “ญาณหยั่งรู้” ที่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ แทนที่จะบังคับให้สิ่งต่างๆ ออกนอกเส้นทาง สู้เป็นผู้ริเริ่มควบคุมและแสวงหาผลประโยชน์ที่มากขึ้นยังจะดีกว่า
“ข้าไม่อาจมั่นใจ แต่ข้าคิดว่าการที่ฝ่าบาทปล่อยกงซุนเหยี่ยนกลับไปจะต้องมีเป้าหมายอย่างแน่นอน” ซ่งชูอีโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ตอนที่ข้าเข้าฉินในฐานราชทูตรัฐเว่ย์ หลังจากฝ่าบาทเห็นกลยุทธ์ของข้าแล้วก็เกิดความตั้งใจอันแรงกล้า เนื่องจากบัดนั้นข้ารับปากกับฝ่าบาทจะว่าเข้ามาทำงานให้ฉินสามปีให้หลัง ฝ่าบาทยึดถือข้อตกลงของลูกผู้ชาย ดูจากสถานการณ์ในวันนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยกงซุนเหยี่ยนไป”
สาเหตุที่อิ๋งซื่อมิได้ลงมือในตอนนั้น เพราะว่ามีสัญญาลูกผู้ชายกับซ่งชูอี หากนางเป็นคนที่รักษาคำพูด ในอนาคตจะต้องสวามิภักดิ์ต่อรัฐฉินอย่างแน่นอนซึ่งดีกว่าการฉีกหน้าเยอะมาก ทว่ากงซุนเหยี่ยนไม่เหมือนกัน กลยุทธ์ของเขาไม่เหมาะสมกับฉิน นิสัยไม่เข้ากับอิ๋งซื่อ เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมายังรัฐฉินอีก แต่เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์และการเรียนรู้ที่แท้จริง ด้วยวิธีการของอิ๋งซื่อแล้วจะสามารถปล่อยไปง่ายๆ จริงหรือ?
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?!” จางอี๋เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่ช้าก็คิดได้
“ฉะนั้นช่วงนี้ข้าจึงกำลังสืบสถานการณ์ของรัฐเว่ยอย่างละเอียด พี่ใหญ่จะต้องรู้ว่ามหาเสนาบดีที่เว่ยอ๋องไว้ใจก็คือเถียนซวี…เขาริเริ่มนโยบายผูกมิตรกับฉู่มาโดยตลอด คิดว่าจะต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐฉู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน กงซุนเหยี่ยนตรงไปที่รัฐฉู่ เขาจะปล่อยโอกาสดีๆ นี้ไปได้อย่างไร?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
จางอี๋กล่าว “ข้าก็เคยคิดถึงขั้นนี้ ทว่าบัดนี้กงซุนเหยี่ยนชื่อเสียงขจรขจาย ไม่แน่ว่าอาจไปที่รัฐอื่น ต้องป้องกันไว้ในทุกกรณี”
ซ่งชูอีพิจารณาเนิ่นนาน “พี่ใหญ่รอบคอบนัก ทว่าข้ารู้สึกว่านี่กลับเป็นโอกาส เว่ยฉู่จับมือ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็ฉวยโอกาสนี้ยุยงให้รัฐฉู่ใช้กองกำลังต่อต้านเว่ยแล้วฉวยโอกาสยึดครองดินแดนที่รัฐฉู่ยึดครองในปาสู่ ที่นั่นถูกยึดครองโดยรัฐฉู่ กองทัพฉินขาดแคลนกำลังพล ไม่สามารถยื่นมือออกไปปกครองปาสู่ให้ดีได้ การครอบครองมันจะมีความหมายอันใด? นอกจากนี้เขตแดนของทั้งสองกองทัพไม่มีความเสี่ยงตามธรรมชาติที่จะพึ่งพาได้ ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นภัยเงียบที่แอบแฝงอยู่”
จางอี๋ตบหน้าตัก หัวเราะเสียงดัง “หวยจินคิดล้ำหน้าไปกว่าข้าแล้ว หากจะเข้ายึดครองจงหยวนช้าๆ ก็ยังต้องลงมือจากรัฐฉู่!”
รัฐเว่ยเป็นพื้นที่ราบแทบทั้งหมด และยังมีชายแดนติดกับทุกรัฐบกเว้นรัฐเยียน ด้วยกำลังของรัฐฉินในตอนนี้ หากรวบรวมกำลังเพื่อโจมตีเว่ยก็จะได้ผลโดยง่าย แต่ว่าหลังจากตีได้แล้วไม่เพียงแต่รักษาไว้ยาก แต่ยังอาจยังจะก่อให้เกิดความรู้สึกอันตรายแก่รัฐรอบข้าง มันจึงไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะเลือกปฏิบัติกับรัฐเว่ยอย่างจริงจังในตอนนี้
หากต้องการยึดครองใต้หล้า รัฐฉินต้องมีความแข็งแกร่งอย่างท่วมท้นก่อนที่เขาจะดำเนินการกับรัฐฉู่ ปาสู่ยังคงเป็นยุ้งฉางที่สวรรค์ประทานซึ่งมีความสำคัญสูงสุดและต้องได้รับการดูแลให้ปลอดภัย
“หวยจิน! หวยจิน!” เสียงฝีเท้าตึ่งๆ ดังมาจากทางเดิน เจ้าอี่โหลวตะโกนด้วยความร้อนใจ ประตูห้องหนังสือถูกกระแทกเปิดโครมคราม
เจ้าอี่โหลวเห็นจางอี๋ รีบสงวนท่าที ประสานมือเอ่ย “คารวะท่านมหาเสนาบดี”
ซ่งชูอีกับจางอี๋มองดูเจ้าอี่โหลวผู้ร้อนรนด้วยความประหลาดใจ อึ้งไปไม่กี่ลมหายใจ จางอี๋ก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพไม่ต้องมากพิธี” พูดจบก็หันไปกล่าวกับซ่งชูอี “ทำตามที่เจ้าบอก รออีกสักสองวันค่อยไปหารือกับฝ่าบาท ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ขอลาตรงนี้แล้ว”
“ข้าไปส่งพี่ใหญ่” ซ่งชูอีลุกขึ้น
จางอี๋ยิ้มเอ่ย “ทำไมถึงทำกับพี่ชายเหมือนเป็นคนอื่นเล่า? เจ้าทำธุระของเจ้าไปเถิด ข้ารู้ทาง”
“เช่นนั้นพี่ชายเดินทางปลอดภัย” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย
จางอี๋พยักหน้า หมุนตัวไปกล่าวลาเจ้าอี่โหลว แล้วออกจากห้องหนังสือไป
“มีเรื่องอะไรตื่นตระหนกเพียงนี้?” ซ่งชูอีจ้องเขาพร้อมเอ่ยถาม
เจ้าอี่โหลวเอ่ยด้วยความโมโห “ข้าบอกแล้วว่าอิ๋งซื่อไม่ใช่คนดี วันนี้เขาตามข้าไป บอกว่าจะยกองค์หญิงอิ๋งสี่ให้แต่งงานกับข้า! เขาจะต้องจงใจแน่ๆ!”
ซ่งชูอีแคะๆ หู “เจ้าจะตะโกนทำไมเล่า กลัวคนอื่นไม่ได้ยินว่าเจ้าไม่เคารพฝ่าบาทรึ?”
“เขาเป็นคนต่ำช้า!” เจ้าอี่โหลวลดเสียงลง ทว่าความโกรธกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น
ซ่งชูอีกวักๆ มือ “นั่งนั่ง”
เจ้าอี่โหลวหาที่นั่งแล้วนั่งลงด้วยความโกรธ ทันทีที่ก้นแตะพื้นก็ได้ยินซ่งชูอีกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องนี้นานแล้ว…”
เขาได้ยินแล้วก็กระโดดโหยงขึ้นมาอีกครั้ง ตบโต๊ะตรงหน้าซ่งชูอี โต๊ะไม้เนื้อแข็งหนาสามนิ้วส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“อย่าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ตลอดเวลา! จะโมโหอะไรกัน ทำข้าตกใจหมดเลย” ซ่งชูอีส่งสัญญาณให้เขานั่งลง
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าเจ้าอี่โหลวมองไม่ออกจริงๆ ว่านางตกใจตรงไหน ในทางกลับกันกิริยาที่นางก้มศีรษะเพื่อตรวจสอบว่าโต๊ะมีความเสียหายหรือไม่ทำให้เขาหัวเสียอย่างแท้จริง ทว่าครั้นได้ยินคำพูดของนางเมื่อครู่ ราวกับว่ามันได้ถูกแก้ปัญหาแล้ว อดที่จะดีใจไม่ได้เล็กน้อย “เขาพูดกับเจ้าแล้วรึ? เจ้าปฏิเสธไปแล้วใช่หรือไม่?”
ซ่งชูอีเงยหน้าเอ่ย “ก่อนหน้านี้เขาเอ่ยกับข้า ทว่าไม่ได้คุยถึงรายละเอียด ข้าก็แค่รับปากไปก่อน เรื่องเช่นนี้…”
“เจ้าว่าไงนะ!” เจ้าอี่โหลวลุกขึ้นพรวด เส้นเอ็นสีเขียวบนใบหน้าเต้นกระตุก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “ข้าไม่สน เจ้าต้องหาวิธีปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นเมื่อเทียบงานแต่งส่งมา ข้าก็จะขว้างมันใส่หน้าอิ๋งซื่อ!”
พูดจบ ก็พุ่งตัวออกไปด้วยความกระหืดกระหอบและขุ่นเคือง
ตีโพยตีพายเก่งจริงๆ! ซ่งชูอีอ้าปาก เมื่อครู่นางต้องการพูดว่า “เรื่องเช่นนี้ในเมื่อเขายังไม่ได้ตัดสินใจ นางจะพูดอย่างชัดเจนได้อย่างไร?”
สุดท้ายแล้วนางก็ไม่พ่อของเจ้าอี่โหลว อีกทั้งไม่ใช่ภรรยาของเขา ทว่าการที่ได้รู้เรื่องนี้ก่อน นางได้เตรียมการไว้แล้ว
“ยิ่งจองหองขึ้นทุกที ต้องได้รับการรักษาเสียแล้ว” ซ่งชูอีบ่นกับตัวเอง
“ท่าน?” หนิงยายื่นศีรษะออกมาด้วยความระมัดระวัง ครั้นเห็นว่าซ่งชูอีสบายดี ก็อดที่จะถอนหายใจมิได้