บทที่ 265 คำร้องขอที่มากเกินไป

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“เจ้าอี่โหลวไปไหนแล้ว?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

หนิงยาตอบว่า “เหมือนจะกลับไปที่ห้องนอนแล้วเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีพยักหน้า จัดเก็บเอกสารเล็กน้อยจากนั้นก็ไปที่ห้องนอน

ห้องนอนหันหน้าไปทางทิศใต้ บัดนี้เพิ่งผ่านเวลาเที่ยงไปได้ไม่นาน แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องแสงทะลุผ่านผ้าไหมบางๆ บนหน้าต่างเข้ามา สามารถมองเห็นฝุ่นละเอียดลอยอยู่ภายใต้กลุ่มแสงจางๆ นั้น

“เจ้าเสี่ยวฉง?” ซ่งชูอีเห็นว่าห้องด้านนอกไม่มีคนจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน

เจ้าอี่โหลวไม่ได้งีบตอนกลางวัน ยืนค้ำดาบอยู่ข้างหน้าต่าง ใบหน้าหล่อเหลาครึ่งหนึ่งอยู่ในแสงสว่าง อีกด้านหนึ่งถูกซ่อนไว้ในความมืด ท่าทางที่สงบนิ่งเหมือนจะระงับความหงุดหงิดทั้งหมดไว้ได้แล้ว และยังดูเหมือนว่าความโกรธที่มากขึ้นกำลังก่อตัว

“เจ้าอี่โหลว?” ซ่งชูอียื่นนิ้วออกไปจิ้มๆ เขา

ยังคงไม่ไหวติง

“เจ้าเค่อ?”

“…”

“แม่ทัพเจ้า?”

“…”

เงียบงันเนิ่นนาน เจ้าอี่โหลวเห็นว่าซ่งชูอีไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมองมา แอบมองการเคลื่อนไหวของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกจับได้คาหนังคาเขา

“ฮ่าฮ่า!” ซ่งชูอีพิงอยู่ที่ระแนงหน้าต่าง เอียงศีรษะมองดูการแสดงออกของเขา

เจ้าอี่โหลวหน้าแดงระเรื่อ “เมื่อ…เมื่อครู่ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว…”

เมื่อกลับมาอยู่กับฝูงชนสักพัก เจ้าอี่โหลวก็ค่อยๆ ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนโมโหง่าย จุดอ่อนนี้จะถูกเปิดเผยก็ต่อเมื่อเขาพบปัญหาที่แตะขีดจำกัดความอดทนของเขาและไม่สามารถแก้ไขได้

สำหรับงานสมรสพระราชทานนั้น นอกเหนือจากเจ้าอี่โหลวสามารถกล่าวคำว่า “ไม่” ต่อหน้าอิ๋งซื่อได้แล้วก็ยังสามารถสังหารอิ๋งสี่ได้ทันที วิธีของเขาเถรตรงและเฉียบขาดเสมอมา ทว่าเขารู้ดีว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยวิธีนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธอิ๋งซื่อต่อหน้าแต่กลับมาซ่งชูอีทันที

“ข้ามันไม่เอาถ่านมากใช่ไหม? นอกจากกำลังอันดุร้ายแล้วก็ไม่เข้าใจอะไรเลย” เจ้าอี่โหลวก้มศีรษะต่ำด้วยความเศร้าสร้อย ทุกคนที่อยู่ข้างกายซ่งชูอีล้วนเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดมีความสามารถ จางอี๋ ชูหลี่จี๋ อิ๋งซื่อ เขาอิจฉาคนเหล่านี้มากที่สามารถพูดคุยสัพเพเหระกับซ่งชูอีได้เป็นประจำ พูดคุยเกี่ยวกับการเมืองปัจจุบันหรือกลยุทธ์ของรัฐ คุยได้ทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อก่อนเขาอาศัยอยู่ในป่าเขา สิ่งเดียวที่เขารู้คือความสามารถในการเอาชีวิตรอด สิ่งที่เคยเรียนเมื่อครั้งยังเยาว์วัยก็ลืมไปเสียส่วนใหญ่แล้ว แม้ว่าเขาไม่ใช่คนโง่ทว่าก็ไม่ได้มีสมองที่ปราดเปรื่อง ความรู้ที่ขาดหายไปใช่ว่าจะชดเชยได้ด้วยความพยายามภายในวันสองวัน

ตอนนี้เขาพยายามมากแล้ว ทว่าก็ยังเทียบไม่เท่าหนึ่งในหมื่นส่วนของพวกเขาเลย

ไม่มีใครรู้ว่าการที่เขาพยายามก้าวเดินตามรอยเท้าของนางมันเหนื่อยเพียงใด

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อพิงข้างหน้าต่าง จ้องมองเขาครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจเอ่ยว่า “อี่โหลว ในโลกใบนี้คนที่สามารถสมรู้ร่วมคิดกับข้ามีมากเกินไปแล้ว แน่นอนว่ามีพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกันคือความโชคดี ข้าสามารถทำงานร่วมกับพวกเขาเพื่อใต้หล้าเพื่อราษฎร แสวงหาอิสระในชีวิต ทว่าเจ้า และมีเพียงเจ้าคนเดียวที่เป็นความเพ้อฝันที่ข้าไม่กล้าร้องขอในชีวิต!”

เจ้าอี่โหลวเงยหน้ามองนางอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าว่า…ไงนะ?”

“แค่ก” นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีกล่าวความในใจกับคนอื่นด้วยความจริงจังเพียงนี้ รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง ทว่าในเมื่อพูดออกมาแล้ว นางก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด จึงกล่าวอย่างละเอียด “ข้าบอกว่า ข้าชอบนิสัยที่แท้จริงของเจ้าเยี่ยงนี้ แม้จะก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงก็จะมีข้าคอยคุ้มกันให้เจ้า หากมีวันหนึ่งที่ในใจของเจ้ามีแผนการเหมือนคนอื่น เช่นนั้นในใจของข้า เจ้าก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกเขา”

นางมิได้เชื่อใจใครง่ายๆ ยิ่งไม่เชื่อใจเหล่ากุนซือง่ายๆ

ซ่งชูอียิ้มกว้าง ยกมือโอบรอบคอของเขา ยิงฟันเอ่ย “คำพูดนั้นของข้าน่ะคือความอ่อนไหว เจ้าก็อย่าจริงจังกับมันนัก ข้าแซ่ซ่งไม่สามารถคุ้มกันเจ้าจากหายนะครั้งใหญ่ได้ เจ้าต้องผ่อนคลายบ้าง อย่าล้อเล่นกับชีวิตน้อยๆ ของพวกเรา”

“เจ้า เจ้าไม่รังเกียจที่ข้าโง่รึ?” เจ้าอี่โหลวถามด้วยความจริงจัง

“ข้าเคยบอกว่าข้าเคยรับศิษย์คนหนึ่งใช่ไหม?” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวพยักหน้า

“เขาโง่กว่าเจ้ามากเหลือเกิน ข้าก็ไม่เคยรังเกียจเขา” ประโยคนี้ของซ่งชูอีทำให้หลงกู่ปู้วั่งมืดมิดกว่าราตรีอันมืดมิดเสียอีก

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังรับเขา?” แม้ว่าเจ้าอี่โหลวจะรู้สึกงงงวย แต่ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ครั้นรอยยิ้มผสมผสานกับแสงแดดที่พร่างพราว มันช่างดีต่อสายตาเหลือเกิน

ตอนนั้นซ่งชูอีทำไปเพื่อแลกข้าวกินเท่านั้น! อีกทั้งหลงกู่ปู้วั่งเจ้าเด็กบ้านั่นหยิ่งผยองและดื้อรั้น ซ่งชูอีเห็นแล้วก็อยากจะสั่งสอนเสียหน่อย ทว่านางไม่มีทางยอมรับ “ข้าเห็นว่าเขาโง่เกินไป รู้สึกสงสารด้วยใจจริง ดังนั้นจึงชี้ทางสว่างให้เขาอย่างสุดความสามารถอยู่หลายวัน”

ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวเปี่ยมด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นคนดีเพียงนี้เชียวหรือ?”

“แม้ว่าวาจาของข้าจะคมคายทว่ามันซ่อนด้วยน้ำผึ้ง ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจข้าเอง” ซ่งชูอีตบๆ ไหล่ของเขา

เจ้าอี่โหลวนึกว่าเขาเข้าใจนางมากแล้ว ในใจรู้สึกว่าสถานการณ์จริงตรงข้ามกับคำบรรยายของนางโดยสิ้นเชิง ทว่าประโยคของซ่งชูอีที่ว่า “ทว่าเจ้า และมีเพียงเจ้าคนเดียวที่เป็นความเพ้อฝันที่ข้าไม่กล้าร้องขอในชีวิต” ดังก้องอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ไม่ว่านางพูดอะไรที่ไม่สมจริง ก็จะถือว่าเป็นเหมือนกับลมแรงที่พัดผ่านไป

“แต่ว่า เรื่องสมรสพระราชทานล่ะจะทำอย่างไร?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยถาม

“ข้าจะสอนเจ้าสองสามประโยค เจ้าไปปฏิเสธเอง หากฝ่าบาทยังคงยืนกราน ข้ามีวิธี” ซ่งชูอีเอ่ย

แม้ว่านางจะสามารถตั้งใจทำงานอุทิศแด่รัฐฉินจนตัวตาย แต่ยังคงมีความต้องการยึดติดกับสิ่งต่างๆ หากไม่มาถึงทางเลือกสุดท้าย นางจะไม่มีทางขัดใจอิ๋งซื่อ

ซ่งชูอีสอนคำพูดเหล่านั้นให้กับเจ้าอี่โหลว มีชั้นเชิงทว่ามั่นคง อิ๋งซื่อจะต้องดูออกเป็นแน่ว่าด้วยนิสัยของเจ้าอี่โหลวไม่มีทางเอ่ยวาจาเช่นนี้ หากก่อนหน้านี้อิ๋งซื่อไม่รู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็สามารถเดาได้ผ่านหนึ่งหรือสองผ่านประโยคนี้ และนางก็ได้วางแผนมาอย่างดีแล้ว ทันทีที่อิ๋งซื่อต้องการจะแยกพวกเขาออกจากัน นางก็จะบังคับให้องค์หญิงอิ๋งสี่แต่งงาน

แม้จะลอบเตรียมการไว้ ทว่าซ่งชูอียังคงเชื่อว่าอิ๋งซื่อเป็นองค์จวินที่สามารถควบคุมจิตใจคนได้ดี จะไม่บีบนางให้ไปถึงขั้นนั้น เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างจวินและขุนนางนี้ตรงไปตรงมา ครั้นมีข้อกังขาแล้ว เกรงว่าจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อทางเลือกเช่นนี้อยู่ตรงหน้าซ่งชูอี นางไม่อาจเล่าความลำบากใจและความลังเลให้แก่คนนอกได้ ชาติที่แล้วเพราะนางเชื่อใจผิดคน จนทำให้ตัวเองแพ้ไม่เป็นท่าในที่สุดและตายอย่างน่าอนาจอยู่บนกำแพงเมือง บัดนี้ฝ่ายหนึ่งคือองค์จวินที่มีบุญคุณและรู้คุณค่าของนาง อีกฝ่ายคือคนที่คนที่พึ่งพาซึ่งกันและกันตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเกิดใหม่ จะเลือกได้อย่างไร?

หากสถานการณ์ยังไม่ถึงคราวคับขัน ในใจของซ่งชูอีก็ไม่มีคำตอบ

ดูเหมือนว่าการครอบครองทุกอย่างใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี…

หลังจากกินข้าว เจ้าอี่โหลวก็กลับไปยังค่ายทหาร

หลังจากประชุมราชสำนักในวันต่อมา เขาก็ทูลอิ๋งซื่อด้วยคำพูดที่ซ่งชูอีสอน

อิ๋งซื่อเห็นว่าด้วยความพยายามเพียงวันเดียวเจ้าอี่โหลวก็สงบสติได้แล้ว เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “คำพูดนี้ เซ่าซ่างเจ้าเป็นคนสอนเจ้ากระมัง”

“พ่ะย่ะค่ะ” ในเมื่อมองออก จะเล่นลิ้นต่อไปก็ไม่มีความหมาย เจ้าอี่โหลวไม่คิดว่าอิ๋งซื่อเป็นคนที่ถูกปั่นหัวได้ง่ายๆ จึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“ดี” ใบหน้าของอิ๋งซื่อหล่อเหลาเย็นชา หลุบตาลงมองเด็กหนุ่มกลางท้องพระโรงที่มองตรงมาที่เขาโดยปราศจากความเกรงกลัว “เซ่าซ่างเจ้ามีพรสวรรค์ ทว่ากว่าเหรินเป็นกังวล ในฐานะที่นางเป็นผู้หญิงอาจพัวพันกับความรักได้อย่างง่ายดาย และอาจกำลังลองแผนการบางอย่าง”

ความสามารถในการสังเกตคนของอิ๋งซื่อน่าทึ่งมาก แม้ว่าใบหน้าของเจ้าอี่โหลวไม่แสดงอาการ ทว่ากลับยังทำให้เขาจับความประหลาดใจได้เลือนลาง

ครั้นเผชิญหน้ากับคนที่เสแสร้งไม่เก่งเช่นนี้ อิ๋งซื่อผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าการที่ซ่งชูอีชอบเจ้าอี่โหลว ไม่ใช่เพียงเพราะใบหน้าหล่อเหลาของเขา

อิ๋งซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น “นิสัยใจคอที่แท้จริงของแม่ทัพเจ้านี้หาได้ยากยิ่ง แต่ว่าสติปัญญาของเซ่าซ่างเจ้ายากที่ผู้คนทั่วไปจะเทียบเท่า หากท่านแม่ทัพอาศัยเพียงความรู้สึกอย่างเดียว หลงไปตามลมปากของสาวงาม ปฏิบัติต่อนางด้วยเรื่องเพศและอารมณ์ แม้ว่าอาจจะยั่งยืนแต่ก็ยากที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก!”

เจ้าอี่โหลวเม้มริมฝีปาก จ้ององค์จวินหนุ่มในชุดจีนสีดำที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงผู้นั้น เงียบงันหลายชั่วอึดใจก่อนหัวเราะเยาะออกมา “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาปลุกปั่นเพียงนี้! เจ้าเค่อเป็นเพียงเศษธุลีบนโลก ไร้ความทะเยอทะยานดุจนกต้าเผิง[1]ในท้องเวหาหรือความต้องการครอบครองหัวใจของซ่งหวยจิน เพียงทำตามที่ใจปรารถนา แม้ไม่อาจเข้าใจหัวใจกันและกันก็ไม่มีวันเสียใจ ฝ่าบาทจะเห็นชอบก็ดีจะดูถูกก็ได้ แต่ไม่สามารถทำให้ข้าหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย”

แม้แต่ความยั่วยุแห่งตำแหน่งจวินที่อยู่ตรงหน้า เจ้าอี่โหลวก็ละทิ้งมาโดยไม่ยั้งคิด เขาไม่เคยคิดว่าการกระทำของตนเช่นนี้โง่เขลา เขาเป็นหนุ่มผู้ครองเรือนที่ไร้ความทะเยอทะยานแล้วอย่างไรเล่า? หากโลกใบนี้สามารถยอมรับความทะเยอะทะยานของอิ๋งซื่อที่คิดจะกลืนกินแผ่นดินได้ จะยอมรับเจ้าเค่อผู้รักสันโดษเช่นเขามิได้หรือ?

อิ๋งซื่อยกยิ้มมุมกปาก “ดีมาก ท่านแม่ทัพเจ้าจำคำพูดของวันนี้ไว้ อย่าได้ทิ้งไปเชียว”

เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ทว่าก็ไม่โง่ สามารถเห็นได้ว่ารอยยิ้มของอิ๋งซื่อไม่ใช่ความสุขและความสบายใจ

“กระหม่อมทูลลา” ไม่ว่าอย่างไร เจ้าอี่โหลวยังคงชื่นชมหัวใจน่ายำเกรงของอิ๋งซื่อมาก วันนั้นที่ประมือกัน อิ๋งซื่อก็ทนทุกข์ไม่น้อย ดังที่ซ่งชูอีว่า หากอิ๋งซื่อเป็นคนใจแคบ เขาคงตายหรือพิการไปแล้ว

และด้วยเหตุนี้ ความประทับใจที่เจ้าอี่โหลวมีต่อเขาจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ครั้นกลับมาถึงจวน เจ้าอี่โหลวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ซ่งชูอีฟังอย่างไม่ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว รวมถึงรอยยิ้มคลุมเครือครั้งสุดท้ายนั้นด้วย

แม้ว่าเจ้าอี่โหลวเล่าอย่างละเอียด ทว่าเรื่องการสังเกตแยกแยะอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของผู้คนก็ยังต้องประสบด้วยตัวเองจึงจะสามารถเข้าใจได้ นางก็จะไม่ตัดสินใจความคิดของผู้อื่นบนพื้นฐานการคาดเดาของตัวเอง อีกอย่างไม่ว่าอิ๋งซื่อจะเชื่อหรือไม่ สุดท้ายแล้วนางก็ต้องหาโอกาสเพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นบางอย่างของตัวเอง

ไม่กี่วันต่อมา ซ่งชูอีก็ได้รับหนังสือจากองค์จวิน เนื่องจากกงซุนเหยี่ยนจากไปแล้ว ซือหม่าชั่วจึงแทนที่ตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ ส่วนซ่งชูอีก็รับตำแหน่งของกั๋วเว่ย

การตัดสินใจครั้งนี้ก่อให้เกิดคลื่นความไม่สงบในพระราชสำนักไม่น้อย กั๋วเว่ยเป็นตำแหน่งบู๊ ไม่มีใครกำหนดว่าขุนนางตำแหน่งบู๊จะต้องมีศิลปะการต่อสู้แก่กล้าจนสามารถสังหารกองทัพนับพันนับหมื่นได้ ทว่าครั้นเห็นแขนขาอันบอบบางของซ่งชูอีแล้ว มันก็เหลือเชื่อเกินไปจริงๆ!

ด้วยเหตุนี้หนึ่งวันหลังจากเข้ารับตำแหน่ง จึงได้ดึงดูด “การจับตามอง” ของบรรดาขุนนาง

ตามกฎหมายรัฐฉิน บรรดาขุนนางไม่สามารถรับของขวัญชิ้นใหญ่จากการเลื่อนตำแหน่ง งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่หรืองานอื่นๆ ได้เพื่อยุติรูปแบบของข้อเปรียบเทียบ การติดสินบน และความฟุ่มเฟือย ด้วยเหตุนี้ผู้คนกลุ่มนี้จึงเป็นผู้จับตามองที่บริสุทธ์อย่างแท้จริง!

ซ่งชูอีฉีกปากยิ้มรับแขกทั้งเช้า ครั้นพ้นเที่ยงจึงปิดประตูขอบคุณแขกเหรื่อ คลุมโปงงีบหลับไปแล้ว

วันที่สองของการเข้ารับตำแหน่ง

แท้จริงแล้ว “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของซ่งชูอีเป็นแนวทางนโยบายระดับรัฐประเภทหนึ่งเพื่อแสดงทิศทางของรัฐ เป็น “วิถีปูทาง” ที่ขาดเสียมิได้ ทว่าสุดท้ายมันก็เป็นเพียงทฤษฎี หากจะให้ซ่งชูอีทำมันให้สำเร็จตามลำพัง นางก็จะเหนื่อยตายภายในเพียงหนึ่งหรือสองปี

ส่วนหลักการจ้งเหิงของจางอี๋นั้นเป็นส่วนหนึ่งในทฤษฎีการโค่นรัฐ เขาเป็นคนของสำนักจ้งเหิง รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างรัฐ โดยความสัมพันธ์ทางการทูตนี้ไม่เพียงตีวงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐฉินกับรัฐอื่นๆ เท่านั้น หากมีแผนการต่อต้านรัฐฉินระหว่างรัฐต่างๆ เขาก็ต้องคิดวิธีทำลายล้าง

วิชาการของสำนักจ้งเหิงมีเพียงตำราไม่กี่ม้วนเท่านั้น อ่านเข้าใจง่ายมาก หลังจากใครก็ตามที่อ่านแล้วล้วนสามารถเดินตามรอยของจ้งเหิงได้ อย่างไรก็ดีการดำเนินการดังกล่าวจะต้องมีฝีปากคมคายและความรู้ที่ลึกซึ้ง ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ของใต้หล้า มองไปข้างหน้าในอนาคต และยังต้องมีสิ่งที่สำคัญมากนั่นก็คือสติปัญญา หากมีคุณสมบัติตามนี้ครบถ้วนก็สามารถทำการใหญ่ได้ ดังนั้นจึงกล่าวว่าคนที่เดินตามรอยของจ้งเหิง ก็เป็นเพียงผู้แสวงหาอำนาจชื่อเสียงและผลประโยชน์ด้วยการวางแผน

ซ่งชูอีมิได้เชี่ยวชาญด้านนี้ ถามตัวเองก็พบกว่าตนห่างไกลจากจางอี๋ในด้านนี้นัก บวกกับสถานะผู้หญิงของตนที่ไม่สะดวกและดูโอ้อวดเกินไป ด้วยเหตุนี้ตนจึงรับภารกิจในการปรับแก้และฝึกฝนกองทัพฉินจะดีกว่า

[1] นกต้าเผิงปีกสีทองค่อยๆ ปรากฏอยู่ในความเชื่อของชาวจีนหลังจากพระพุทธศาสนาถูกนำมาเผยแผ่ โดยส่วนใหญ่มาจากครุฑหรือนกเทพเจ้าโบราณของอินเดีย