สามปีผ่านไป
หมอกบริเวณหน้าผาของยอดเขาเสินม่อค่อยๆ สลายไป เหล่าวานรส่งเสียงร้อง
เด็กหนุ่มแซ่หยวนลงมาจากบนยอดเขา เดินไปยังหน้ากระท่อมหลังเล็กพลางตะโกนว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ตื่นได้แล้ว”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ประตูไม้ถูกเปิดออก กูชิงเดินออกมา
สายตาเขาดูสงบนิ่ง บางครั้งมีประกายคล้ายกระบี่สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นจึงหายไป
เด็กหนุ่มแซ่หยวนตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าศิษย์พี่เก็บตัวเพียงสามปีก็สามารถบรรลุสภาวะได้อีกแล้ว ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ จึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่!”
กู้ชิงมองดูเขา พบว่าในสามปีนี้เขาเองก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ใกล้จะบรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์แล้ว จึงยิ้มพลางลูบศีรษะเขา
เขามองดูไอหมอกภายในป่าที่เริ่มจะสลายหายไป พลางกล่าวถามว่า “หมอกสลายแล้ว?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าวว่า “ช่วงปลายฤดูหนาวก็เริ่มมีเค้าลางแล้ว ปีนี้งานชุมนุมเหมยฮุ่ยจัดขึ้นตามปกติ”
ในเมื่องานชุมนุมเหมยฮุ่ยจัดขึ้นตามปกติ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าหมอกหนาวเย็นบนที่ราบหิมะกำลังจะสลายไป
เมื่อคิดถึงอาจารย์ที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบนที่ราบหิมะอันห่างไกล อารมณ์ของกู้ชิงพลันสับสนขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่าควรรู้สึกยินดี แต่เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อกลับมาถึงยอดเขา เดินเข้าไปยังส่วนลึกของถ้ำ มองดูประตูหินที่หนักอึ้งบานนั้น สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่อยู่บนผนึกปิดกั้น กู้ชิงรู้สึกลังเลเล็กน้อย
เขาเป็นศิษย์ของยอดเขาเสินม่อ ย่อมต้องรู้วิธีคลายผนึกปิดกั้น แต่ปัญหาคือตัวเองควรจะทำเช่นนี้หรือ?
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าวว่า “เจ้าสำนักมีคำสั่ง บอกว่าอาจารย์กำลังอยู่ในช่วงสำคัญ ไม่ว่าผู้ใดไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่ไม่ให้รบกวนนาง”
กู้ชิงตกใจ กล่าวถามว่า “บรรลุขั้นคเนจร?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนพยักหน้า
กู้ชิงรู้สึกยินดีเป็นยิ่งนัก จากนั้นคิดถึงว่าผ่านมานานปลายปีแล้ว อาจารย์คงจะ…เขาเพียงอยากจะเข้าไปดู ขณะเดียวกันก็หวังว่าจะเอาร่างของอาจารย์กลับมา หากให้เจ้าล่าเยวี่ยมองเห็นภาพเหล่านั้น อาจจะทำให้เกิดความเสียใจจนส่งผลเสียอย่างมากต่อการบรรลุสภาวะก็เป็นได้
เขาตัดสินใจ ไม่ไปคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ก่อนจะถามว่า “อีกกี่วันงานชุุมนุมทดสอบกระบี่ถึงจะเริ่มขึ้น?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าวว่า “เจ็ดวันขอรับ”
กู้ชิงกล่าว “ส่งหนังสือไปยังยอดเขาซื่อเยวี่ย พวกเราจะเข้าร่วมงานชุมนุม”
……
……
ป่าหินสูงหลายร้อยจ้าง แทงทะลุเมฆหมอก ชี้ตรงขึ้นไปยังท้องฟ้าสีคราม
บริเวณหน้าผาเต็มไปด้วยผู้คน มีเพียงแท่นหินของยอดเขาเสินม่อที่ดูค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงกู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนเพียงสองคนเท่านั้น
ที่น่าแปลกก็คือบนแท่นหินของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างกลับไม่เห็นกั้วหนานซาน แล้วก็ไม่เห็นกู้หานกับหม่าหวา
เด็กหนุ่มแซ่หยวนสังเกตเห็นสายตาของกู้ชิง จึงกล่าวเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าเก็บตัวบำเพ็ญเพียร แต่ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน”
กู้ชิงพยักหน้า มิได้กล่าวกระไร
กับดักนั้นเป็นสิ่งยอดเขาเหลี่ยงว่างกับลั่วไหวหนานเป็นคนจัดฉากขึ้นมา ถึงได้ทำให้หลิ่วสือซุ่ยมีโอกาสลงมือ
ท่านเจ้าสำนักเดินทางไปยังเขาอวิ๋นเมิ่งด้วยตัวเอง น่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้กับอีกฝ่ายฟังจนกระจ่าง แต่ถึงอย่างไรยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างให้แก่การตายของลั่วไหวหนานอยู่
เมื่อเสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ของผู้อาวุโสฉือเยี่ยนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อดังขึ้น งานชุมนุมทดสอบกระบี่ก็เริ่มต้นขึ้น
กู้ชิงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันหลายคนโดยไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ได้สิทธิ์เข้าร่วมการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
ในอดีตเขาเป็นเด็กรับใช้บนยอดเขาเหลี่ยงว่าง หลังผ่านไปหลายปี วิถีกระบี่กลับฝึกฝนได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้อาจารย์ของยอดเขาต่างๆ ตกตะลึงก็คือเคล็ดกระบี่ที่เขาใช้มิใช่เคล็ดกระบี่เก้ามรณาของยอดเขาเสินม่อ หากแต่เป็น….เคล็ดกระบี่แบกสวรรค์!
เคล็ดกระบี่แบกสวรรค์เป็นเพลงกระบี่ที่ไม่ถ่ายทอดให้แก่คนนอกของยอดเขาเทียนกวง แล้วเขาเรียนรู้มันได้อย่างไร?
สายตาจำนวนมากต่างมองไปบนยอดเขาทันที ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะมีเสียงอะไรดังขึ้นมาหรือเปล่า
ป่าที่ใช้จัดงานชุมนุมทดสอบกระบี่ก็อยู่บนยอดเขาเทียนกวง
ยอดเขาเทียนกวงสงบเงียบ
ฉือเยี่ยนพลันถามขึ้นมาว่า “เจ้าบรรลุมิประจักษ์ระดับสูงตั้งแต่เมื่อไหร?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าอาจารย์บนหน้าผาพลันส่งเสียงฮือฮาออกมาอีกครั้ง
ถ้าเป็นเจ้าล่าเยวี่ยก็ว่าไปอย่าง เพราะนั่นคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด
จิ๋งจิ่วก็ว่าไปอย่าง เพราะนั่นคือร่างกระบี่แต่กำเนิด
แต่กู้ชิงที่ดูธรรมดาขนาดนี้ เหตุใดความเร็วในการบำเพ็ญเพียรถึงได้น่ากลัวเช่นนี้?
กู้ชิงคิดในใจ หากอาจารย์ทั้งสองท่านได้ยินคำถามนี้ พวกเขาคงจะตอบว่าเมื่อครู่นี้กระมัง?
ในการชุมนุมทดสอบกระบี่ครั้งที่แล้ว อาจารย์ก็เคยตอบไปแบบนี้
“ยี่สิบวันก่อน”
คำตอบของกู้ชิงเรียบเฉยเหมือนตัวเขา
ฉือเยี่ยนมองดูเขาอย่างเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เลว”
……
……
จากนั้นก็เป็นเด็กหนุ่มแซ่หยวน
ตอนนี้เขายังเป็นศิษย์ขั้นสมความนึกคิด มองเห็นบานประตูที่จะเข้าไปสู่ขั้นมิประจักษ์แล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง กว่าจะผ่านประตูบานนั้นเข้าไปได้
เมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกันแล้ว สภาวะนี้ถือได้ว่าไม่เลว แต่ว่าเขามาจากยอดเขาเสินม่อ
หลังอาจารย์จากแต่ละยอดเขาตรวจสอบจนมั่นใจแล้ว พวกเขาต่างก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย ดูเหมือนยอดเขาโดดเดี่ยวแห่งนั้นจะมิได้มีของวิเศษอะไรที่ปรมาจารย์อาทิ้งเอาไว้ให้ การบำเพ็ญเพียรยังต้องอาศัยความสามารถของแต่ละคนอยู่
ตามหลักแล้ว ด้วยสภาวะของเด็กหนุ่มแซ่หยวน เป็นไปได้ยากที่จะเอาชนะศิษย์ร่วมสำนักจำนวนมากขนาดนั้นแล้วคว้าสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้
แต่โชคของเขาวันนี้ดีมากทีเดียว
ในรอบแรกเขาเจอกับศิษย์น้องอวี้ซาน
รอบที่สองเขาเจอกับศิษย์ยอดเขาซื่อเยวี่ยที่สภาวะเท่าเทียมกัน หลังต่อสู้กันอย่างยากลำบาก สุดท้ายก็เอาชนะอีกฝ่ายไปได้
รอบที่สามเขาเจอกับเหลยอี้จิง อีกฝ่ายสละสิทธิ์
รอบที่สี่….
กู้ชิงยืนอยู่บนแท่นหินของยอดเขาเสินม่อ แต่ภายในใจกลับกำลังยิ้มเจื่อนๆ
การจับฉลากแบบนี้เรียกได้ว่าโชคดี แต่เขาล่วงรู้ความลับบางอย่าง ดังนั้นเขาย่อมต้องรู้ว่าโชคดีที่ว่านี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงการจัดการของยอดเขาซั่งเต๋อเท่านั้น
……
……
ด้านนอกยอดเขาเทียนกวง ศิษย์น้องอวี้ซานมาส่งพวกเขา
กู้ชิงกล่าวอะไรกับนางสองสามประโยค ก่อนจะขี่กระบี่บินจากไป
จากนั้นครู่หนึ่งเขาเหลียวหน้ากลับมามอง ก่อนจะเห็นนางกับเด็กหนุ่มแซ่หยวนกำลังยืนสบตากันอย่างเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
จากนั้นศิษย์น้องอวี้ซานคล้ายร่ำไห้ออกมา
เด็กหนุ่มแซ่หยวนลนลาน คิดอยากจะเช็ดน้ำตาให้นาง แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะใช้แขนเสื้อหรือว่านิ้วมือดี มือไม้ปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง
กู้ชิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นมองดูยอดเขาเสินม่อที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็นที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ รอยยิ้มของเขาค่อยๆ หายไป
กระบี่บินร่อนลงบนยอดเขา เขาเดินเข้าไปยังส่วนลึกสุดของถ้ำ สายตามองดูผนังหินที่ปิดสนิท นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
—-โปรดวางใจ ขอเพียงกระดูกของอาจารย์ยังอยู่ ข้าจะต้องพาเขากลับมาให้ได้
……
……
ครั้งนี้ศิษย์ชิงซานที่เดินทางไปยังเมืองเจาเกอเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยมีจำนวนน้อยกว่าที่ผ่านมา
อาจเป็นเพราะว่าคนที่เป็นผู้นำเหล่าศิษย์ในปีนี้มิใช่เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงหนานว่าง ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีผู้ติดตามเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ได้เลือกที่จะขี่กระบี่ไปด้วย หากแต่โดยสารเรือกระบี่ไป
เรือกระบี่แหวกก้อนเมฆบินขึ้น มุ่งหน้าไปทางเหนือภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ไม่นานก็กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ
กู้ชิงมองไปทางทะเลเมฆที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเห็นแต่ละยอดเขาของชิงซานกลายเป็นเหมือนเรือที่ลอยอยู่บนทะเลเมฆ คล้ายกับที่ราบหิมะนอกเมืองไป๋เฉิงที่เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึง
เด็กหนุ่มแซ่หยวนตบบ่าเขา ที่แท้เป็นเพราะอาจารย์ที่เป็นผู้นำครั้งนี้ได้เริ่มกล่าวสั่งสอนแล้ว
กู้ชิงมองดูร่างผอมสูงที่อยู่ตรงหัวเรือกระบี่ สายตาคร่ำเคร่งเล็กน้อย
นั่นคืออาจารย์ที่นำเหล่าศิษย์ไปเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้
—-เจ้าแห่งยอดเขาซีไหล ฟางจิ่งเทียน
……
……
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยไม่เคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฟางจิ่งเทียนให้ฟัง เป็นกู้ชิงที่เกิดความรู้สึกสนใจ หรือพูดอีกอย่างก็คือระแวดระวังขึ้นมาเอง
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ในชิงซาน รากฐานยาวนาน ล่วงรู้ความลับของเก้ายอดเขามากมาย ตอนนี้กู้ชิงเป็นคนที่ตระกูลกู้ให้ความสำคัญ เขาย่อมต้องรู้อะไรหลายๆ เรื่อง
ฟางจิ่งเทียนเป็นศิษย์คนที่สี่ของนักพรตไท่ผิง แต่ไม่ว่าจะกับเจ้าสำนักหรือกฏแห่งกระบี่หยวนฉีจิง เขาก็ล้วนแต่ไม่ค่อยใกล้ชิด ไปมาหาสู่กันน้อยมาก
ภาพลักษณ์ของเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลผู้นี้ในสายตาคนอื่นเรียกได้ว่าเป็นคนเรียบง่าย แล้วก็เรียกได้ว่าปกติธรรมดา
เขาบรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเล หากมองไปบนโลก ย่อมต้องเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ในชิงซานกลับไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไร
แต่ผู้อาวุโสในตระกูลเคยเตือนเขาเอาไว้ว่าจะต้องคอยระวังฟางจิ่งเทียนเอาไว้
ตอนนั้นกู้ชิงเคยถามว่าเพราะเหตุใด ผู้อาวุโสคนนั้นพูดแค่เพียงประโยคเดียว
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ล้วนแต่เป็นยอดเขาซั่งเต๋อ
………………………………………