กู้ชิงเข้าใจความหมายของประโยคนี้
กฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิงบำเพ็ญเพียรจนมีสภาวะสูงส่งสะเทือนฟ้าดิน อีกทั้งยังเป็นศิษย์พี่ของท่านเจ้าสำนัก สถานะของยอดเขาซั่งเต๋อในชิงซานมีความพิเศษอย่างมาก
แต่ยอดเขาซั่งเต๋อในคำพูดประโยคนี้มิได้หมายถึงยอดเขาซั่งเต๋อในเวลานี้ หากแต่หมายถึงยอดเขาซั่งเต๋อเมื่อนานมาแล้ว
ตอนนั้นเจ้าแห่งยอดเขาคือนักพรตไท่ผิง
ชิงซานในตอนนี้เดิมทีก็เป็นสายสืบทอดของนักพรตไท่ผิง
เจ้าสำนักและหยวนฉีจิงล้วนแต่เป็นศิษย์ของเขา กระทั่งยอดเขาเสินม่อที่กู้ชิงอยู่ก็น่าจะถือว่าอยู่ในสายสืบทอดของเขาด้วย
เพราะนักพรตจิ่งหยางเป็นศิษย์น้องของนักพรตไท่ผิง
ยังมีคำบอกเล่าอีกอย่างว่านักพรตไท่ผิงคอยสั่งสอนวิชาแทนอาจารย์ เรียกได้ว่าเป็นทั้งศิษย์พี่และเป็นอาจารย์ของนักพรตจิ่งหยาง
นักพรตจิ่งหยางเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับไหน แล้วคนที่นักพรตไท่ผิงรับเป็นศิษย์อันดับที่สี่ต่อจากท่านเจ้าสำนักและหยวนฉีจิงจะเป็นเพียงคนธรรมดาได้อย่างไร?
สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือในเมื่อฟางจิ่งเทียนมิใช่คนธรรมดา เหตุใดในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ถึงได้ทำตัวธรรมดาถึงเพียงนี้?
กู้ชิงไม่เหมือนเจ้าล่าเยวี่ยที่ล่วงรู้เรื่องราวมากมาย คาดเดาเรื่องราวต่างๆ ได้มากมาย ดังนั้นเมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เขาจึงทำได้เพียงไม่ไปคิดถึงมันอีก
กระทั่งมอง เขาก็ยังไม่กล้ามองฟางจิ่งเทียนมากนัก
ยอดคนอย่างฟางจิ่งเทียน จะต้องรับรู้ได้ถึงการขับเคลื่อนของลมปราณและสายตาที่เพ่งเล็งไปที่ตัวเองได้อย่างง่ายดายแน่นอน
หากเขาขยับความคิดอะไร ขอเพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ กู้ชิงก็ตายได้แล้ว
……
……
เรือกระบี่ของสำนักชิงซานร่อนลงในหมู่เขา
ทั่วทุกที่ในหมู่เขาล้วนแต่มีสิ่งก่อสร้างที่งดงาม นั่นคือเรือนซีซานที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เหล่าอาจารย์เซียนใช้พักอาศัย
กู้ชิงกำลังเก็บข้าวของ จู่ๆ พลันได้ยินเรือนซีซานแจ้งมาว่ามีคนส่งของมาให้
เขารู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองไม่มีคนรู้จักอยู่ในเมืองเจาเกอ ตระกูลกู้เองก็ดำเนินงานต่างๆ อยู่แค่ในดินแดนทางใต้ แล้วคนที่มาคือใคร?
เขาพาเด็กหนุ่มแซ่หยวนมายังเรือนด้านหน้า ก่อนจะพบว่ามีเพื่อนร่วมสำนักบางคนมาถึงก่อนแล้ว
ผู้ดูแลคนหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้น สองมือประคองใบแสดงรายการของขวัญ ท่าทางดูยำเกรงและระมัดระวัง ด้านหลังมีหีบที่ดูงดงามอีกสิบกว่าใบ
กู้ชิงรับเอาใบแสดงรายการของขวัญมาดู ก่อนจะพบว่าส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นข้าวของเครื่องใช้และของกิน มิได้มีอะไรพิเศษ
ศิษย์ชิงซานห้อมล้อมเข้ามาดูด้วยความใคร่รู้ อดส่งเสียงอุทานตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ช่างหรูหราจริงๆ นี่เป็นตระกูลไหนส่งมา?”
ผู้ดูแลคนนั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อเห็นกู้ชิงมิได้กล่าวกระไร เขาไหนเลยจะกล้าตอบกลับไป
เด็กหนุ่มแซ่หยวนเข้าใจ ยิ้มๆ พลางกล่าว “น่าจะเป็นตระกูลของอาจารย์ส่งมาให้”
ในกลุ่มคนที่ห้อมล้อมเข้ามามีเสียงเหอะเหอะดังขึ้นมา จากนั้นมีคนกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญพรตลุ่มหลงในของนอกกาย หรือไม่กลัวใจแห่งเต๋าจะได้รับผลกระทบ?”
กล่าวจบประโยคนี้ ศิษย์สองคนนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เด็กหนุ่มแซ่หยวนไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย เขาเตรียมจะกล่าวอะไรออกมา แต่ก็ถูกกู้ชิงห้ามเอาไว้
กู้ชิงกล่าวขอบคุณผู้ดูแลคนนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะพาเด็กหนุ่มแซ่หยวนกลับเข้าห้อง
เขาหยิบเพียงใบรายการของขวัญมา อีกประเดี๋ยวย่อมต้องมีคนของเรือนซีซานช่วยขนย้ายของขวัญเหล่านั้นเข้ามา
“ศิษย์พี่สองคนนั้นเขาเป็นอะไร?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนยังคงรู้สึกโกรธอยู่
กู้ชิงกล่าวว่า “พวกเขาเป็นศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาปี้หู พอเห็นแบบนั้นก็ย่อมต้องรู้สึกขวางหูขวางตา”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด?”
กู้ชิงกล่าวว่า “ในสายตาของพวกเขา ข้าวของของตระกูลเจ้า เกรงว่าคงเป็นของที่เรือนเป่าซู่ส่งไปให้ เมื่อก่อนเรือนเป่าซู่คอยพึ่งพายอดเขาปี้หู แล้วยังมียอดเขาซื่อเยวี่ยคอยดูแล ผลประโยชน์เหล่านั้นล้วนแต่เป็นพวกเขาที่ได้รับ แต่ตอนนี้ผลประโยชน์เหล่านั้นกลับอยู่ในมือของพวกเรา แล้วจะไม่ให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงอดกล่าวอย่างกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ว่า “อย่างนั้นควรทำอย่างไรถึงจะสลายอคติของอีกฝ่ายไปได้?”
“เหตุใดต้องสลาย?”
กู้ชิงยิ้มขึ้นมา พลางกล่าว “หลายปีก่อนตอนที่อยู่บนยอดเขา ข้าเคยได้ยินคำพูดประโยคหนึ่ง ตอนนั้นข้าไม่สามารถยอมรับได้ แต่ตอนนี้มาคิดดูมันกลับมีเหตุผล”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนถามอย่างใคร่รู้ “คำพูดอะไร?”
กู้ชิงชี้ไปยังนอกหน้าต่างพลางกล่าวว่า “พระอาทิตย์อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเจ้าจะปิดมันอย่างไร สุดท้ายมันก็ถูกคนมองเห็นอยู่ดี หากเจ้าไม่ชอบให้คนมอง อย่างนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือทำให้ตัวเองสว่างยิ่งขึ้น สว่างจนทำให้ตาพวกเขาบอด”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนงุนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวพึมพำว่า “ช่างหยิ่งผยองนัก”
กู้ชิงกล่าว “สว่างจนตาพวกเขาบอดประโยคนี้ ข้าเป็นคนพูดเอง แต่ข้าคิดว่านั่นคือความคิดของอาจารย์ทั้งสอง”
……
……
ในวันที่สองหลังขออนุญาตฟางจิ่งเทียน กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนได้เดินทางออกจากเรือนซีซาน เข้าไปยังเมืองเจาเกอ
กู้ชิงมอบยาวิเศษบางอย่างให้ตระกูลจิ๋ง แน่นอนว่าเป็นยาที่เขาตั้งใจเลือกมา มันสามารถช่วยให้คนธรรมดามีร่างกายที่แข็งแรง แต่ฤทธิ์ยาค่อนข้างอ่อน ไม่ถึงกับทำให้เกิดปัญหาอะไร
เด็กหนุ่มแซ่หยวนไปยังตระกูลเจ้า ส่วนเขาจะเอาอะไรไปให้นั้น กู้ชิงมิได้ใส่ใจ ในฐานะที่เป็นศิษย์ นี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาควรจะทำ
จากนั้น งานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็เริ่มขึ้น
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้จัดขึ้นโดยสำนักจงโจว ได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับรางวัลเป็นยาวิเศษระดับสูง เทียบกับครั้งที่แล้วแตกต่างกันค่อนข้างมาก
รางวัลของผู้ชนะในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้วคือได้รับการประสาทพรจากฉานจึ
ที่น่าเสียดายก็คือกั้วตงซึ่งได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพิณได้หายตัวไป ไป๋เจ่าซึ่งได้ที่หนึ่งในการประลองเขียนพู่กันและจิ๋งจิ่วซึ่งได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง มีเพียงเชวี่ยเหนียงและซูขวงที่ได้ที่หนึ่งในการประลองวาดภาพที่ได้รับการประสาทพร
ว่ากันว่าหลังจากบัณฑิตหนุ่มแห่งเรือนอี้เหมาผู้นั้นได้รับการประสาทพรจากฉานจึ เขาก็ตื่นรู้ทันที บรรลุสภาวะสองขั้นติดต่อกัน ส่วนเชวี่ยเหนียงนั้นเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในสถานที่ลึกลับของพรรคจิ้งจง ค่อนข้างเป็นที่คาดหวังของสำนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายงานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็เป็นงานเฉลิมฉลองงานหนึ่งของโลกบำเพ็ญพรต
ภายในสวนดอกเหมยของเมืองเจาเกอมีผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวจำนวนมากมารวมตัวกัน เพียงแต่เป็นเพราะขาดคนบางคนไป งานชุมนุมจึงดูค่อนข้างเงียบเหงา — คนเหล่านั้นก็คือกั้วตง ไป๋เจ่า จิ๋งจิ่วที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ แล้วยังมีลั่วไหวหนานที่ตายไปเมื่อสามปีก่อน ถงเหยียนที่ปีนี้มิได้เข้าร่วมงานชุมนุมและเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งของยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ไม่ได้ปรากฏตัวในงานชุมนุมมาสองครั้งแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเงียบเหงานี้หรือว่าเหตุผลอื่น การประลองสี่รายการแรกของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยจึงค่อนข้างน่าเบื่อ จบลงไปอย่างไม่มีอะไรน่าสนใจ
จนกระทั่งจิตรกรของเรือนซีซานได้เริ่มทำการแขวนผืนภาพใต้ทางเดินในเรือนซีซาน ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยถึงได้มั่นใจ ที่แท้ทุกคนต่างก็กำลังรอคอยการประลองวิถีพรตอยู่
มิใช่รอคอยผลการประลองวิถีพรต หากแต่เป็นเพราะการประลองวิถีพรตต้องเข้าไปในที่ราบหิมะ
หมอกอันหนาวเหน็บนั้นใกล้จะสลายหายไปแล้ว
……
……
ผืนภาพห้อยจากบนหลังคาลงมาบนพื้น บนภาพได้มีการวาดกิ่งเหมยเอาไว้แล้ว เมื่อเข้าไปดูอย่างละเอียดในระยะใกล้ มันมักจะทำให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลายเป็นนกตัวหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางกิ่งไม้
กู้ชิงพาเด็กหนุ่มแซ่หยวนมายืนอยู่ด้านหน้า เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวคึกคักที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อหกปีก่อน ภายในใจเขาจึงรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเล็กน้อย
เสียงพูดคุยภายในเรือนซานซียิ่งดังขึ้นทุกขณะ พวกเขากำลังพูดคุยถึงภาพวาดในปีก่อนนั้น อุทานชื่นชมถึงแนวคิดของเหอจาน ก่อนจะอุทานถึงจิ๋งจิ่วที่แสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมในคืนนั้น
เสียงพูดคุยพลันหายไป เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนหมุนตัว ก่อนจะมองเห็นคนผู้หนึ่ง
ถงเหลูแห่งสำนักกระบี่ซีไห่ เมื่อเทียบกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้ว เขาดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเขา สายตาก็ดูสุขุมขึ้นมาก แต่ในตอนที่จ้องมองกู้ชิง สายตานั้นกลับแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่เป็นศัตรู
กู้ชิงนิ่งเฉย พลางกล่าวถามว่า “สหายท่านนี้มีเรื่องใด?”
ถงหลูกล่าวเสียงแข็ง “ข้าจะจับตาดูพวกเจ้าเอาไว้ หากข้าเห็นว่าพวกเจ้ามีท่าทีปกป้องเจ้าสารเลวนั่น ข้าไม่มีทางยอมเลิกราแน่”
ในการประลองวิถีพรตครั้งที่แล้ว เขาถูกลั่วไหวหนานช่วยชีวิตเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็มองลั่วไหวหนานเป็นสหายที่ีมีความสนิทมากที่สุด แล้วก็ให้ความเคารพอย่างมาก
ลั่วไหวหนานถูกหลิ่วสือซุ่ยสังหาร ถงหลูเศร้าเสียใจเป็นที่สุด เขาย่อมต้องคิดที่จะแก้แค้นแทนลั่วไหวหนาน แต่กลับไม่สามารถหาตัวหลิ่วสือซุ่ยได้ ความรู้สึกโกรธแค้นจึงไปตกอยู่ที่สำนักชิงซาน
กู้ชิงมองเขา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน ว่าถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร”
……
……
หมอกอันหนาวเย็นถอยไปแล้วจริงๆ
ชายขอบของที่ราบหิมะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ภายในเมืองไป๋เฉิงมีการแขวนธงหลากสีเอาไว้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง
ต้นไม้เล็กๆ ที่ทนต่อความหนาวที่เคยมีชีวิตอยู่ตรงชายขอบของที่ราบหิมะ เวลานี้มีผลึกน้ำแข็งเกาะอยู่เต็มไปหมด ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
บนทุ่งกว้างที่อยู่ด้านนอกเมืองมีเรือนพำนักของสำนักต่างๆ ตั้งกระจัดกระจาย เวลาผ่านไปหกปี คล้ายไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นเลย
บุคคลสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต อย่างเช่น เหอกั๋วกง ฟางจิ่งเทียน เหรินเชียนจู๋ เจ้าสำนักเฟิงเตา เจ้าสำนักคุนหลุนต่างมาที่นี่
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ที่เขาร่วมการประลองวิถีพรตต่างเข้าไปในที่ราบหิมะแล้ว
กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนก็อยู่ในนั้นด้วย
หมอกอันหนาวเย็นแปลกประหลาดเกินไป บุคคลสำคัญเหล่านี้เดินทางมาที่นี่เพื่อรับรองความปลอดภัยของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาว แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขาต้องการทราบถึงสถานการณ์ภายในที่ราบหิมะโดยทันที
พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้หมอกอันหนาวเย็นได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าหากทำแบบนั้น จิตที่อยู่ทางเหนือสายนั้นจะคุ้มคลั่งขึ้นมาอีกหรือเปล่า
ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตยังมีสภาวะต่ำต้อย น่าจะไม่ถูกสิ่งนั้นมองเป็นภัยคุกคาม กลับกลายจะมีความปลอดภัยมากกว่า
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการประลองวิถีพรตในปีนี้ก็คือการใช้ให้ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านี้เข้าไปตรวจดูสถานการณ์ภายในที่ราบหิมะ
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวจำนวนร้อยกว่าคนปรากฏตัวบนที่ราบหิมะ คล้ายกับจุดดำ จากนั้นค่อยๆ รวมตัวกัน กลายเป็นกลุ่มเล็กยี่สิบเอ็ดกลุ่ม
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวควบคุมความเร็วอย่างระมัดระวัง รักษาระยะห่างจากขอบของหมอกอันหนาวเย็นเอาไว้ ค่อยๆ เดินทางขึ้นไปทางเหนือตามหมอกอันหนาวเย็นที่ถอยร่นกลับไป
การประลองวิถีพรตครั้งนี้ นอกจากสังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยแล้ว ขอเพียงสามารถเก็บร่างผู้ที่เข้าร่วมการประลองครั้งก่อนหรือว่าอาวุธวิเศษที่สำคัญกลับมาได้ ก็จะได้รับการเติมดอกเหมยลงไปบนภาพวาดในเรือนซีซาน
ไม่มีใครคาดหวังว่าจะได้เจอผู้รอดชีวิต เพราะหมอกสายนี้เย็นยะเยือกเป็นยิ่งนัก ถึงแม้จะอยู่ห่างกันหลายลี้ก็ยังรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของมันอย่างชัดเจน แล้วจะมีชีวิตอยู่ภายในหมอกอันเย็นยะเยือกเช่นนี้ได้นานถึงหกปีได้อย่างไร?
เดินทางขึ้นเหนือไปหลายวัน เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตไม่พบสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาพบแค่โครงกระดูกจำนวนมาก บางครั้งก็จะพบร่างของผู้บำเพ็ญพรต
กู้ชิงเป็นศิษย์ชิงซาน นิสัยสุขุมเป็นมิตร ไม่นานก็ได้รับการยอมรับและได้รับความเคารพจากเพื่อนภายในกลุ่ม ภายใต้การนำของเขา กลุ่มของเขาเดินทางออกห่างจากเส้นทางที่กำหนดไว้แต่เดิม มุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่นานก็มาถึงด้านหลังของกลุ่มเล็กสองกลุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุด
ในกลุ่มเล็กสองกลุ่มนั้นมีเซี่ยงหว่านซูที่เป็นศิษย์ของสำนักจงโจว แล้วยังมีถงหลูของสำนักกระบี่ซีไห่
เพื่อนร่วมกลุ่มไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าเขาคิดจะทำอะไร?
ศิษย์ที่รู้เรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรือนซีซานยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือสหายกู้ชิงเตรียมจะสู้กับถงหลูที่นี่?
………………………..