ภาคที่ 3 ตอนที่ 19 หนวกหูจัง

มรรคาสู่สวรรค์

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มเล็กสองกลุ่มนั้นก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็ได้ลดความเร็วลง รอให้กลุ่มของกู้ชิงตามมาทัน

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ถงหลูจ้องมองดวงตาของกู้ชิงพลางถาม

กู้ชิงกล่าว “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

ถงหลูมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก ไม่กล่าวกระไรอีก

ปีนี้เขามาเข้าร่วมการประลองวิถีพรตยังที่ราบหิมะ มิได้มีเป้าหมายอื่น เพียงแค่คิดอยากจะทบทวนความทรงจำในตอนนั้น รำลึกถึงมิตรภาพระหว่างเขากับลั่วไหวหนาน

ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของถงหลู เช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มของเซี่ยงหว่านซู

สายตาทุกคนมองกลับไปกลับมาระหว่างสองคน บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด

เพราะเรื่องราวของลั่วไหวหนานเรื่องนั้น เพราะจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าไม่ได้กลับมา ความสัมพันธ์ของสำนักชิงซานและสำนักจงโจวจึงมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่ความสัมพันธ์นี้ก็ต้องหยุดลงไปเมื่อสามปีก่อน

เพราะลั่วไหวหนานเสียชีวิต คนที่ฆ่าเขาคือศิษย์ที่ถูกขับออกจากชิงซานคนหนึ่ง ความจริงแล้วเรื่องนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับชิงซาน แต่ผลกระทบของมันกลับไม่สามารถลบล้างให้หายไปได้

“ไม่ทราบว่าสหายกู้ตามพวกเรามาทำไม?”

เซี่ยงหว่านซูมองกูชิงด้วยสายตาระแวดระวัง

กู้ชิงกล่าว “แผ่นดินกว้างใหญ่ ข้าอยากจะไปให้ทั่ว”

เซี่ยงหว่านซูรู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิด สหายที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างบอกว่ากู้ชิงมีนิสัยสุขุมเป็นมิตร คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะติดนิสัยของยอดเขาเสินม่อมาได้

กล่าวคำพูดไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย?

กู้ชิงเองก็จนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่าถ้าไม่เป็นเพราะอาจารย์ไม่ได้พกของวิเศษระบุตำแหน่งติดตัวเอาไว้ ข้าจะตามเจ้ามาทำไม?

เซี่ยงหว่านซูส่งสายตาบอกเขาให้ตามตัวเองไปยังที่ที่ไกลออกไป ก่อนจะกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

กู้ชิงกล่าว “เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าก็ทำอย่างนั้น”

เซี่ยงหว่านซูกล่าว “ศพของพวกเขาไม่แน่ว่าจะอยู่ด้วยกัน หรือเจ้าลืมเรื่องหิมะถล่มที่ศิษย์พี่ลั่วเล่าให้ฟังในตอนสุดท้ายไปแล้ว? นั่นมันฝูงหนอนหิมะนะ!”

กู้ชิงกล่าว “เจ้าหมายความว่าพวกเขาต่างถูกหนอนหิมะกินไปแล้ว กระทั่งเส้นผมตอนนี้ก็ไม่มีทางหาเจอ?”

เซี่ยงหว่านซูรู้สึกกลุ้มใจ กล่าวว่า “อันนี้เจ้าเป็นคนพูดเอง”

กู้ชิงกล่าว “ในเมื่อของวิเศษระบุตำแหน่งของสำนักเจ้ายังใช้ได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าหนอนหิมะไม่สามารถย่อยสลายทุกสิ่งได้”

เซี่ยงหว่านซูกล่าว “มิผิด ตราประทับหมื่นลี้อาจจะอยู่กับของวิเศษระบุตำแหน่ง”

กู้ชิงตบบ่าเขา พลางกล่าว “แล้วเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ากระบี่มิคำนึงของสำนักข้าก็อาจจะอยู่ตรงนั้นด้วย?”

เซี่ยงหว่านซูตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “มีเหตุผล”

กู้ชิงมองท้องฟ้า กล่าวว่า “พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ออกเดินทางด้วยกัน?”

เซี่ยงหว่านซูกล่าว “แบบนี้ก็ดี”

ด้วยบารมีของสำนักชิงซานและสำนักจงโจว ความจริงแล้วพวกเขาย่อมไม่ต้องกังวลว่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตจะมาแย่งชิงตราประทับหมื่นลี้และกระบี่มิคำนึง เพียงแต่ต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน

ตลอดทั้งคืนไม่มีการพูดจา

แสงแดดยามเช้ามาเยือน ทุกคนตื่นขึ้นมา ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าแสงแดดในวันนี้ส่องสว่างกว่าหลายวันก่อน

ทันใดนั้นพลันมีคนส่งเสียงตะโกนขึ้นมาพลางกระโดดโลดเต้นชี้ไปยังทิศเหนือ

ทุกคนมองตามไปยังทิศเหนือ ก่อนจะตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ภูเขาสีดำที่อยู่รอบกายปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน สีแดงยามเช้าย้อมขอบฟ้า หมอกอันหนาวเย็นภายในหุบเขาสลายตัวไปจนหมดภายในคืนเดียว!

กู้ชิงเดินไปยืนอยู่ข้างกายเซี่ยงหว่านซู พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในที่สุดก็เดินทางเร็วขึ้นได้แล้ว”

เซี่ยงหว่านซูเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรออกมา เขาพลันรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนที่แผ่ขึ้นมาจากตรงเอว

เขาก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะเห็นป้ายไม้ไผ่เล็กๆ ป้ายนั้นกำลังส่องแสงสว่าง

เซี่ยงหว่านซูหน้าเปลี่ยนสี เขาเรียกเครื่องเคลือบสีเขียวออกมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปโดยไม่กล่าวอะไร พริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงเส้นหนึ่ง

สีหน้ากู้ชิงแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเองก็ขี่กระบี่บินออกไปอย่างไม่ลังเล พริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงกระบี่สายหนึ่ง

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เหล่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ ที่อยู่บนที่ราบหิมะต่างตกใจ ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจ ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงรีบร้อนกันถึงเพียงนี้?

ถงหลูทอดมองออกไป คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าเซี่ยงหว่านซูใช้หลบหนีฟ้าดิน คิดไม่ถึงว่าลำแสงกระบี่ของกู้ชิงยังตามไปทัน หรือว่าเขาบรรลุมิประจักษ์ขั้นสูงแล้ว?

……

……

บนทุ่งกว้างด้านนอกเมืองไป๋เฉิง

ฟางจิ่งเทียนมองไปทางเหนือ รอยย่นบนใบหน้าถูกแสงแดดยามเช้าส่องสว่าง สายตายังคงสงบนิ่ง คล้ายบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น

อีกที่หนึ่งห่างออกไปหลายลี้ เหรินเชียนจู๋เองก็มองไปทางเหนือ สีหน้าค่อนข้างคร่ำเคร่ง

ยอดฝีมือของสำนักชิงซานและสำนักจงโจวสองคนนี้กำลังมองอะไร?

ทันใด ฟางจิ่งเทียนหรี่ตา

“แจ้งเจ้าสำนัก…”

เขานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวกับศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง “หาเจอแล้ว ไม่เป็นอะไร”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เหรินเชียนจู๋เองก็กล่าวกับศิษย์ที่อยู่ด้านหลังด้วยคำพูดเดียวกัน

……

……

ลำแสงที่ทอดยาวเป็นเงาไปทางด้านหลังของเครื่องเคลือบสีเขียวอยู่ห่างจากลำแสงกระบี่หลายสิบจ้าง มุ่งหน้าไปทางหมู่เขาสีดำ

“อีกไกลเท่าไร?” กู้ชิงถาม

เซี่ยงหว่านซูแผ่จิตจำแนกลงไปบนป้ายไม้ไผ่ จากนั้นครู่หนึ่งกล่าวว่า “ยังอีกไกล”

ต่อให้กู้ชิงจะมีนิสัยสุขุมแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าของวิเศษของสำนักจงโจวเหล่านี้ภายนอกดูดี แต่พอใช้งานจริงๆ แล้วยากลำบากมาก

เซี่ยงหว่านซูเหลือบมองเขา ในใจครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเข้าเป็นศิษย์ยอดเขาเสินม่อได้ไม่ถึงสิบปี แต่กลับแซงหน้าตัวเองไปแล้ว จึงอดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้

ภายในถ้ำของนักพรตจิ่งหยางมีกลิ่นอายของเซียนอยู่จริงๆ ด้วย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมอกหนาวเย็นนั้นหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น ลมอันรุนแรงจึงดูสงบลง

ทั้งสองคนเสี่ยงบินออกไป ไม่นานก็ออกมาจากหมู่เขาสีดำ มาถึงที่ราบหิมะที่เงียบสงัดวังเวง แต่สภาพแวดล้อมอันแปลกประหลาดก็ไม่อาจทำให้พวกเขาลดความเร็วลงได้

พระอาทิตย์อันร้อนแรงอยู่บนท้องฟ้า แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ เพราะจู่ๆ เบื้องหน้าพลันหนาวเย็นขึ้นมา

กู้ชิงและเซี่ยงหว่านซูบินลงไปยังที่ราบหิมะด้านล่าง ก่อนจะพบว่าเบื้องหน้าคือหน้าผาสูงชัน ด้านล่างลึกจนมองไม่เห็นก้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือด้านล่างหุบเหวนั้นล้วนแต่เป็นหมอกอันหนาวเย็น

“อยู่ตรงไหน?” กู้ชิงถาม

เซี่ยงหว่านซูกำป้ายไม้ไผ่เพื่อรับรู้ครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนหน้าผาที่อยู่ในหมอกอันหนาวเย็นพลางกล่าวว่า “ตรงนั้น”

เสียงของกู้ชิงสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย “ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”

บนใบหน้าของเซี่ยงหว่านซูเต็มไปด้วยความยินดี พลางตะโกนว่า “ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่!”

“อ๊า!” กู้ชิงตะโกนออกมาอย่างมีความสุข

ในใจของเซี่ยงหว่านซูเวลานี้ถูกความสุขเข้ายึดกุม แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองรู้เพียงว่าศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ มิได้ล่วงรู้ถึงสถานการณ์ของจิ๋งจิ่ว แต่เหตุใดเจ้ากลับดูดีใจกว่าข้าเสียอีก?

กู้ชิงย่อมไม่รู้ว่าเซี่ยงหว่านซูกำลังคิดอะไร ตรรกะของเขาชัดเจนเป็นอย่างมาก ในเมื่อไป๋เจ่าที่เป็นศิษย์พี่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นอาจารย์ของข้าจะตายได้อย่างไร?

“มัวลังเลอะไรอยู่อีก!” เขาตะโกน “รีบช่วยคนสิ”

เซี่ยงหว่านซูกล่าว “หมอกหนาวเย็นปิดปากถ้ำเอาไว้ จะช่วยอย่างไร?”

กู้ชิงกล่าว “เจาะภูเขาเข้าไป ลึกประมาณเท่าไร?”

เซี่ยงหว่านซูสำรวจดูหน้าผา กล่าวว่า “ลึกประมาณสิบกว่าจ้าง แต่หากเจาะลงไปจากตรงนี้อาจจะถล่มได้ อันตรายเกินไป”

กู้ชิงไม่อยากจะคุยกับหนอนหนังสือผู้นี้อีก เขาขี่กระบี่ถอยหลังกลับไปร้อยกว่าจ้าง นั่งขัดสมาธิลงไปกับพื้น สองมือร่ายเคล็ดกระบี่ออกมา!

กระบี่บินฟันลงไปยังพื้นหิมะ!

เสียงตู้มดังขึ้น!

ไม่รู้ว่ามีหิมะและดินแข็งๆ จำนวนเท่าไรถูกกระบี่ฟันจนแตกออก บนพื้นเกิดเป็นร่องลึกหลายฉื่อเส้นหนึ่ง

เซี่ยงหว่านซูงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขา จึงรีบบินกลับมา นั่งขัดสมาธิลงข้างเข้า รวบรวมจิตจำแนก ก่อนจะเรียกอาวุธวิเศษให้โจมตีลงไปบนพื้นหิมะ!

……

……

ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิธีพรตทราบข่าวนี้จึงรีบเดินทางมา ก่อนจะเห็นภาพแปลกประหลาดนี้

เซี่ยงหว่านซูและกู้ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหิมะ ดวงตาทั้งสองข้างหลับอยู่

ลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธวิเศษโจมตีลงไปบนพื้นไม่หยุด พื้นบนที่ราบหิมะถูกขุดจนเป็นหลุมลึก กว้างประมาณจ้างกว่า ตรงลงไปยังส่วนลึกใต้ดิน

พวกเขากำลังทำอะไร?

เด็กหนุ่มแซ่หยวนรู้ตัวเร็วที่สุด เขาร้องเสียงประหลาดออกมา ก่อนจะเรียกกระบี่ฟันลงไปบนพื้น จากนั้นศิษย์สำนักชิงซานก็เข้าใจ ศิษย์สำนักจงโจวก็เข้าใจ ต่างคนต่างเรียกกระบี่และอาวุธวิเศษให้โจมตีลงไปบนพื้น กระทั่งศิษย์สำนักอื่นก็คาดเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเข้าช่วยเหลือ

ถงหลูมิได้ลงมือ เขายืนอยู่ห่างออกมา มองดูหลุมที่ลึกขึ้นทุกขณะ ยาวขึ้นทุกขณะ สีหน้าค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เนื่องเพราะกังวลว่าหน้าผาจะถล่มลงไป มุมที่กู้ชิงและเซี่ยงหว่านซูเลือกจึงไม่ชัน เท่ากับว่าพวกเขาต้องขุดเป็นอุโมงค์ลาดเอียงที่ยาวมาก ยิ่งไปกว่านั้นพื้นด้านล่างราบหิมะถูกหมอกอันหนาวเย็นกัดกินมาเป็นเวลายาวนาน จึงมีความแข็งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะก้อนหินเหล่านั้นที่แข็งเหมือนดั่งเหล็กกล้า ต่อให้เป็นกระบี่ที่มีความแหลมคมกับอาวุธวิเศษที่ทรงอานุภาพ ผลลัพธ์จากการโจมตีลงไปก็ดูไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร โชคดีที่ผู้บำเพ็ญพรตที่เดินทางมาถึงมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ หลังใช้เวลาอยู่หลายชั่วยาม ในที่สุดก็ค่อยๆ เข้าใกล้ริมผา

กู้ชิงและเซี่ยงหว่านซูนั่งขุดอยู่นานที่สุด ปราณก่อกำเนิดถูกใช้ออกไปเป็นจำนวนมาก ใบหน้าขาวซีด

ผนังหินที่อยู่ปลายสุดของหลุมมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา

กู้ชิงตะโกนบอก “ระวังหน่อย!”

สิ้นเสียงของเขา รอยแตกอันนั้นก็ขยายตัวออกไปด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก้อนหินหนักๆ ร่วงตกลงมา ส่งเสียงกระแทกดังทึบๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวพากันฉากหลบไปด้านหลัง

กู้ชิง เซี่ยงหว่านซู แล้วยังมีเด็กหนุ่มแซ่หยวนเดินไปยังด้านหน้าสุดของกลุ่มคน

รอบแตกรอยนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผนังหินครึ่งบนพังถล่มลงมาทั้งหมด!

เสียงตูมดังนั้น ที่ราบหิมะสั่นสะเทือน ก้อนหินบนพื้นกลิ้งกระดอนไปทุกที่ ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย บดบังท้องฟ้าเอาไว้!”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดฝุ่นควันก็ค่อยๆ จางหายไป

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปทางด้านนั้น

ตรงนั้นมีปากถ้ำปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง

กระบี่เหล็กเล่มหนึ่งปักอยู่ตรงนั้น กำลังลุกไหม้ ดูคล้ายคบเพลิงที่ไม่มีวันดับอย่างไรอย่างนั้น

ด้านหลังกระบี่เหล็กที่ลุกไหม้คือเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง

เมื่อเห็นเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น ดวงตาของกู้ชิงรู้สึกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ สายตามองมาทางกลุ่มคน

สายตาเขาเคลื่อนไหว สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่กู้ชิง

“พวกเจ้าหนวกหูไปหน่อยนะ”

………………………………..