บทที่ 313
บทที่ 313

ถังหยินถาม “เรื่องอันใดอีก ?”

ชิวเจิ้นกล่าวว่า “แม้ว่าจะตกลงกับคนรู้จักท่านในฝั่งแคว้นโมได้ แต่ถ้าพวกหนิงและซ่งเทียนร้องขอกำลังเสริมจากแคว้นโมซ้ำสอง เราก็อาจต้องเจอเข้ากับศัตรูจากทุกทิศทางก็เป็นได้ ทั้งยังเสี่ยงกับการที่จะถูกยึดเขตประตูหน้าด่านทางใต้ไปอีกด้วย !”

“นั่นมัน… ?” สิ่งที่ชิวเจิ้นพูดเป็นสิ่งที่ถังหยินไม่คาดคิด เพราะสงครามเป็นสิ่งที่ยากคาดเดา และเมื่อพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ แล้ว ก็คงต้องบอกเลยว่ายากที่จะควบคุมได้เบ็ดเสร็จ

การที่กองทัพเทียนหยวนไปทางใต้และยึดครองเมืองหยานเป็นเรื่องรอง การกำจัดกองกำลังของซ่งเทียนถึงจะเป็นเป้าหมายหลัก หากในท้ายที่สุดพวกเขาสามารถยึดครองเมืองหยานได้ แต่กลับปล่อยให้ซ่งเทียนหลบหนีได้สำเร็จ งั้นแล้วการต่อสู้ครั้งนี้ก็ถือได้ว่าชนะแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

จางจี้และซงหยวนพิจารณาคำพูดของชิวเจิ้นอย่างจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็พลันเอ่ยถามว่า “ท่านชิวพูดถูก แคว้นโมและหนิงเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอด หากพวกหนิงร้องขอ มันก็เป็นไปได้ที่พวกโมจะเข้ามาสนับสนุน แล้วแบบนี้ เราจะหยุดการสนับสนุนพวกนั้นได้ยังไง ?”

นี่เป็นคำถามที่ถังหยินต้องการถามเช่นกัน

ชิวเจิ้นหัวเราะ ก่อนพูดกล่าวออกมา “แคว้นโมแข็งแกร่งมากและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแคว้นหนิง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ และนั่นก็คืออ๋องแห่งแคว้นโมนั้นเป็นคนลังเลและไม่เด็ดขาด ดังนั้นแล้วเราจึงควรใช้จุดนี้ในการแก้ไขความสัมพันธ์ของนายท่านกับแคว้นโมเสียก่อน อาจด้วยการยกดินแดนบางส่วน และจ่ายส่วยให้ไป …เพียงเท่านี้ เราก็สามารถหยุดการสนับสนุนที่ว่าได้แล้ว !”

ตอนแรกถังหยินฟังและพยักหน้า แต่หลังจากได้ยินว่าพวกเขาต้องยกดินแดน ทั้งยังต้องจ่ายส่วยเพื่อจะเป็นพันธมิตรกับแคว้นโม เขาก็พลันส่ายหัว

ชิวเจิ้นหัวเราะ ปากพูดว่า “นี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้น หลังจากที่เรากำจัดซ่งเทียนได้แล้ว เราจะรักษาสัญญาหรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“อ๋อ !” ถังหยินขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ

เมื่อเห็นท่าทีนั้น ชิวเจิ้นจึงกล่าวต่อว่า “ในช่วงเวลานี้ ข้าได้ทำการรวบรวมและค้นคว้าสถานการณ์เกี่ยวกับแคว้นโมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทราบว่าองค์ชายใหญ่ของอีกฝ่ายนั่นเกิดมาตาบอด และโดยพื้นฐานแล้วอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ ส่วนคนที่มีความหวังมากที่สุด ก็คือองค์ชายรองและองค์ชายสาม เช่าฟ๋าง เช่าโป๋ว เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดมาตลอด ทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากผู้คนในแคว้น ทำให้พวกเขามีโอกาสมากที่สุดที่จะได้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง”

“หื๊ม ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหยินก็พลันหัวเราะ ด้วยสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจนั้น ไม่ว่าจะที่ไหน มันก็ไม่ต่างกันสักนิด และหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มก็ได้พูดออกมา “ดูเหมือนครั้งนี้ข้าต้องไปจัดการด้วยตัวเองเสียแล้ว !!!”

ชิวเจิ้น จานจี้ และซงหยวนต่างก็มองเขาด้วยความตกตะลึง

ถังหยินที่เห็นแบบนั้นก็เลยกล่าวว่า “เช่นเดียวกับที่ชิวเจิ้นว่า การทำข้อตกลงกับแคว้นโมนั้นสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดซ่งเทียน หรือเพื่อให้ไม่เกิดปัญหาระหว่างแคว้นเฟิงกับแคว้นโมในอนาคต ดังนั้นแล้วคงไม่มีใครเหมาะที่จะไปมากกว่าข้าอีกแล้ว”

ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเทียนหยวน เป็นเรื่องดีที่ถังหยินจะส่งใครบางคนออกไปเป็นการส่วนตัว แต่ทว่าก็มีจุดหนึ่งที่ชัดเจนคือพวกแคว้นโมมีแนวโน้มที่จะอยู่ข้างแคว้นหนิง และหากถังหยินไปเอง มันก็อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ !

…บางทีเขาอาจจะถูกจับส่งไปยังแคว้นหนิงก่อนที่จะได้เริ่มการเจรจาด้วยซ้ำ

จางจี้และซงหยวนพูดพร้อมเพรียงกัน “นายท่าน นี่มันอันตรายเกินไปหรือเปล่า ?”

ถังหยินไม่แยแส กล่าวสวนกลับว่า “อย่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ข้าก็ปกป้องตัวเองได้”

“พวกข้าเห็นด้วย !” ทุกคนต่างมั่นใจในความสามารถของถังหยินในการปกป้องตัวเอง ในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับสูง แม้แต่คนที่แข็งแกร่งใกล้ ๆ กันอย่างหยวนยู่ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับชายหนุ่มได้ !

ชิวเจิ้นพึมพำกับตัวเองสักครู่ ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย”

ถังหยินโบกมือ “ชิวเจิ้น เจ้าอยู่ที่เมืองน่าจะดีกว่า ถ้าพวกเราสองคนไป กองทัพใหญ่จะสูญเสียผู้นำของพวกเขาไป และซ่งเทียนก็อาจจะฉวยโอกาสนี้ได้” เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็หันไปมองซงหยวนและพูดว่า “คราวนี้ซงหยวนจะไปกับข้าเอง เจ้ามีความกล้าที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่ ?”

หัวใจของซงหยวนสั่นสะท้าน เขาคิดเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็พลันกำมือแน่นแล้วจึงพูดว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ยินดีที่จะไปกับท่าน จะบุกน้ำลุยไฟข้าไม่เคยหวั่น !”

เหตุผลที่ถังหยินเลือกซงหยวน เป็นเพราะซงหยวนมีความสามารถในการอ่านเกมและอ่านความคิดของผู้อื่น ที่เหมาะกับจุดประสงค์การเดินทางในครั้งนี้พอดี !

การเดินทางครั้งนี้เป็นดั่งการเดิมพัน และแม้ว่าถังหยินจะกลับมามือเปล่า แต่มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ! เพราะถ้ากำจัดซ่งเทียนได้แล้ว เขานี่แหละก็จะกลายเป็นผู้ปกครองแคว้นเฟิงคนถัดไป !!!

สรุปว่าการเกินทางครั้งนี้มีถังหยินและซงหยวนที่ไปยังแคว้นโม และเพื่อความปลอดภัย ชายหนุ่มจึงไม่ได้พาไปแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น เพราะเขายังได้นำสองพี่น้องฉางกวน กับกลุ่มศรทมิฬไปด้วย ผ่านการแฝงตัวไปกับกองคาราวานเพื่อซ่อนตัว

เมื่อได้ฟังแบบนั้น ชิวเจิ้นก็ได้แนะนำว่าพวกเขาควรส่งสายลับจากเนตรนภาและเครือข่ายใยพิภพล่วงหน้าไปก่อน เพื่อให้พวกเขาไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของแคว้นโมก่อน ทำให้ถังหยินดำเนินการได้ง่ายขึ้น ซึ่งชายหนุ่มก็ยอมรับคำแนะนำของชิวเจิ้น และทำการส่งคนไปหาหลีเทียนกับอัยเจีย เพื่ออธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง

และเมื่อได้รับฟังแล้ว หลีเทียนและอัยเจียก็ไม่ลังเลที่จะรีบไปทำในสิ่งที่พวกเขาต้องทำ !!

ถังหยินวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาพักผ่อน เพื่อผ่อนคลายสภาพจิตใจเสียหน่อย แต่ด้วยคำพูดของชิวเจิ้น มันก็ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปที่แคว้นโมเพื่อจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น !

เมื่อคุยกันเสร็จ ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ถังหยิน ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ กำลังจะกินอาหารเย็น ทว่าก็ดันมีทหารยามเดินเข้ามารายงานว่า “นายท่าน หลิวจี้เชาขอรับ!”

ชายนามว่าหลิวจี้เชาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในเมือง แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีสถานะทางราชการ แต่เขาก็มีฐานะทางครอบครัวที่ร่ำรวยและยังเป็นพ่อพระที่คนในเมืองรู้จักกันดี ด้วยเขามักช่วยเหลือคนยากจน ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างสูงในหมู่ชาวเมือง

ในระหว่างงานเลี้ยงฉลอง ถังหยินเคยพบกับคน ๆ นี้มาก่อน ซึ่งชายหนุ่มก็มีความประทับใจในตัวอีกฝ่ายไม่น้อย

“นายท่าน ให้เชิญเขาไปยังห้องโถงไหมขอรับ ?”

ถังหยินพูดอย่างสบาย ๆ “ให้เข้ามาเลย !”

“ขอรับ นายท่าน !” ทหารผู้นั้นตอบแล้วหันกลับไป

ไม่นานต่อมาหลิวจี้เชาก็ถูกพาเข้ามา ซึ่งเมื่อเขาเห็นถังหยิน อีกฝ่ายก็รีบก้าวมาข้างหน้าและโค้งคำนับ “ขอคารวะนายท่านขอรับ !”

ถังหยินเคยชินกับท่าทีแบบนี้แล้ว เขาโบกมือพร้อมหัวเราะ “พี่หลิว ข้าสงสัยเหลือเกินว่าท่านต้องการอะไร ถึงได้มาเยี่ยมข้า ?”

หลิวจี้เชาอายุเพียงสามสิบต้น ๆ เท่านั้น เขายิ้มให้กับถังหยิน ปากกล่าวว่า “คืนนี้ข้าได้เตรียมงานเลี้ยงไว้ที่บ้าน และข้าก็มาที่นี่เพื่อเชิญท่านไปร่วม ซึ่งตัวข้านั้นก็หวังว่าท่านจะตอบรับคำเชิญนี้ !”

“อืม ๆ?” ถังหยินพึมพำกับตัวเองสักครู่ จากนั้นจึงหัวเราะเบา ๆ “พี่หลิว ท่านชวนข้าเป็นการส่วนตัวแบบนี้ แล้วจะให้ข้าปฏิเสธได้อย่างไร ! ” อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้ถังหยินเข้ามามีส่วนร่วมในงานเลี้ยงจริง ๆ หรอก แต่เขาต้องการอวดคนอื่น และด้วยชื่อเสียงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ไม่อาจที่จะเมินเฉยต่อหลิวจี้เชาได้ !

เมื่อได้รับการพยักหน้าของถังหยิน หลิวจี้เชาก็ดีใจมาก ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นโค้งคำนับ “ข้าขอขอบคุณในความกรุณาของท่านมากขอรับ !”

การที่เขาสามารถเชิญแม่ทัพใหญ่ที่บัญชาการกำลังทหารกว่า 5 แสนนายอย่างถังหยินได้นั้น นับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่นัก !

“ฮ่า ! ฮ่า !” ถังหยินหัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า “ท่านสุภาพเกินไปแล้ว !”

“ข้าน้อยขอตัวลาไปก่อน หวังว่าจะได้เจอกับท่านในค่ำคืนนี้นะขอรับ !”

“ข้าจะไปอย่างแน่นอน !”

“ขอให้ได้พบกันขอรับ !”

“ดูแลตัวเองด้วย พี่หลิว !”

หลังจากที่หลิวจี้เชาจากไป ชิวเจิ้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดกับถังหยิน “ชื่อเสียงของหลิวจี้เชานั้นมีมากเหลือเกิน การที่นายท่านทำเช่นนี้ นับเป็นเรื่องดีต่อเรายิ่งนัก !”

ถังหยินถอนหายใจ พูดอย่างแผ่วเบา “มีเขตมากมายที่อยู่ภายใต้อำนาจของข้า ซึ่งมันก็มากไปด้วยปัญหาไม่มีสิ้นสุด ทำให้ข้าละคิดถึงวันเวลาของข้าในฐานะผู้ว่าเขตของปิงหยวนเสียจริง”

ชิวเจิ้นหัวเราะ ก่อนจะชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคตข้าเกรงว่านายท่านจะมีความยุ่งยากกว่านี้รอท่านอยู่อีกเป็นภูเขา !”

ถังหยินหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดไม่ออก ด้วยเขาเข้าใจถึงความหมายของชิวเจิ้นดี เพราะตอนนี้เขาดูแลเพียงไม่กี่มณฑลเท่านั้น แต่ถ้าเขานั่งบนบัลลังก์เหนือแคว้นเฟิงเมื่อไหร่ ในอนาคตเขาจะต้องรับผิดชอบทั้ง 12 มณฑลของแคว้นเฟิง !!!

ในตอนเย็นถังหยินไปที่คฤหาสน์หลิว เพื่อเข้าร่วมในงานเลี้ยงตามคำเชิญของหลิวจี้เชา

ซึ่งเมื่อถังหยินลงจากรถม้าจำนวน เขาก็ได้พบว่าหลิวจี้เชาทำการเชิญแขกผู้มีเกียรติเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

และหลังจากรู้ว่าถังหยินมาถึง หลิวจี้เชากับแขกคนอื่น ๆ ก็พากันออกมาต้อนรับเขาและพาชายหนุ่มเข้ามาในงาน ซึ่งเมื่อแขกคนอื่น ๆ เห็นถังหยิน พวกเขาทั้งหมดก็พากันโค้งคำนับด้วยความเคารพ ก่อนเป็นชายหนุ่มที่โบกมือให้คนที่เหลือ “ในที่ส่วนตัวแบบนี้ พวกเจ้าทุกคนไม่จำเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้นก็ได้ ตามสบาย !”