ตอนที่ 83 บอกลา (2)
ฟางผิงไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ แต่หวังจินหยางยังคงอยู่ที่หนานเจียง คนๆ นั้นเป็นถึงประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง
หากมีหวังจินหยางช่วยดูแล ลูกชายสองคนของเขาต้องใช้ชีวิตง่ายขึ้นแน่
ในทางกลับกัน เขาจะเป็นหูเป็นตาพ่อแม่ให้ฟางผิงเหมือนกัน ถานเจิ้นผิงนับว่ามีตำแหน่งในหยางเฉิงอยู่บ้าง
ขอแค่ไม่ไปล่วงเกินพวกผู้ฝึกยุทธ์ เขาล้วนจัดการปัญหาให้ได้ทั้งสิ้น
และถ้าล่วงเกินพวกนั้นเข้าจริงๆ ดูจากฐานะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ของฟางผิงแล้ว พวกเขาคงไม่คิดจะสร้างเรื่องราวกับคนธรรมดาพวกนี้หรอก
—
หลังจากงานเลี้ยงเลิก ถานเจิ้นผิงนั่งรถยนต์ส่วนตัว มองลูกชายคนโตที่ทำหน้าใสซื่อพลางถอนหายใจ “เป็นดังที่ว่า สัตว์อยู่รวมกลุ่มตามพวก คนอยู่ร่วมกันตามนิสัยจริงๆ”
แม้ลูกชายทั้งสองจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ ทั้งใกล้จะเป็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ แต่ประสบการณ์ชีวิตยังห่างไกลกับฟางผิงอยู่มาก
ฟางผิงฉลาดหัวไว ทั้งรู้จักตัดสินใจ
ตอนแรกที่จินเค่อหมิงเสนอเงื่อนไขก็สามารถมองออกทันทีว่ามีแนวโน้มที่จะสำเร็จ ใช้ประโยชน์จากคนอื่น ทั้งไม่ทำให้คนรู้สึกขุ่นเคือง กลับกันจินเค่อหมิงนั้นซาบซึ้งใจฟางผิงไม่น้อย
ซองแดงครั้งนี้ จินเค่อหมิงเป็นคนกำชับมาจริงๆ
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฟางผิงกลับรับรู้ความต้องการของเขา ไหว้วานให้เขาดูแลพ่อแม่ ที่จริงแค่อยากไว้หน้าเขาเท่านั้น
ฟางผิงเป็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ของเซี่ยงไฮ้ ใครจะโง่ไปสร้างปัญหาให้พ่อแม่เขากัน?
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ขอให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามดูแลลูกชายตัวเอง ถานเจิ้นผิงคงหน้าบางเกินกว่าจะเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หวังจินหยางและฟางผิงสนิทกัน คาดว่าอาจจะไม่ใช่เพราะเรื่องพรสวรรค์อย่างเดียวแล้ว
พรสวรรค์นั้นสำคัญจริง แม้ฟางผิงจะมีความสามารถพอตัว แต่นักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ต่างมีพรสวรรค์อยู่แล้ว หวังจินหยางเองก็ใช่ แล้วทำไมถึงปฏิบัติกับฟางผิงต่างจากคนอื่น?
หากฟางผิงมีพรสวรรค์อย่างเดียว หวังจินหยางอาจจะไม่คบค้าสมาคมกับเขาเสมอไป
อีกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าของกองการศึกษา ผู้มีอำนาจในเมืองหยางเฉิง ถานเจิ้นผิงเลยทราบเรื่องบางอย่างมานิดหน่อย
พวกเขาสนิทกันตอนที่หวังจินหยางกลับมาจับหวงปินที่หยางเฉิงในครั้งก่อน
ทั้งภายหลังมีข้อมูลออกมาว่า หวงปินนั้นเช่าบ้านบนตึกที่ฟางผิงอาศัยอยู่พอดี
หวังจินหยางกลับมาจากเขาชางซานมือเปล่า จู่ๆ กลับพาศพหวงปินไปที่หน่วยสืบสวน เมื่อตรวจสอบสภาพศพแล้วพบว่า แม้หวงปินจะตายเพราะถูกโจมตีอย่างรุนแรง แต่ยังมีอาการบอบช้ำภายนอกหลายแห่งรวมถึงร่องรอยการใช้ยากล่อมประสาท
หวังจินหยางจำเป็นต้องทำแบบนั้นกับหวงปินไปทำไม?
งั้นนอกจากหวังจินหยางแล้ว ยังมีใครลงมือได้อีก?
ถานเจิ้นผิงไม่ได้คิดลงรายละเอียดไปมากกว่านี้ ทางหน่วยสืบสวนไม่สาวความต่อ คนตายแล้วก็จบไป
แต่ความคิดนี้ กลับไม่หมดไปจากหัวเขาเสียทีเดียว
“หวงปินที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ใกล้ทะลวงขั้นสาม ตกอยู่ในมือของเด็กหนุ่มที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง!”
“หลังจากเกิดเรื่องเขาตามหวังจินหยางมาอำพรางร่องรอย”
“ทรัพย์สินของหวงปินถูกทั้งสองคนยักยอกไป”
“ทรัพยากรที่ฟางผิงใช้ฝึกวิชาจนทะลวงขีดจำกัดคนธรรมดา ไม่ใช่ว่าได้มาจากหวังจินหยาง ลำพังแค่หวังจินหยางเองยังหาทรัพยากรให้ตัวเองไม่พอด้วยซ้ำ…”
เมื่อโยงเบาะแสเข้าด้วยกัน เรื่องก็กระจ่างขึ้นมาแล้ว
อย่ามองแค่หน้าตาใสซื่อของฟางผิง เขาเป็นคนใจเด็ดเช่นกัน ไอคิวสูง ประสบการณ์โชกโชน คนแบบนี้แทบจะไม่ด้อยไปกว่าหวังจินหยาง ถึงขั้นเมื่อเขาเข้าไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้แล้วอาจจะเก่งกาจกว่าหวังจินหยางด้วยซ้ำ
ถานเจิ้นผิงคิดฟุ้งซ่านอยู่ในหัว ก่อนจะถอนหายใจ “อาเฮ่า อาเทา จากนี้ไปหมั่นติดต่อกับเพื่อนคนนี้บ่อยๆ หน่อยล่ะ”
ถานเฮ่าและถานเทารีบพยักหน้า ไม่ต้องให้พ่อบอก พวกเขาก็รู้แล้ว
—
ฟางผิงนั้นไม่ล่วงรู้ความคิดของถานเจิ้นผิง
อันที่จริงถึงมีคนรู้เรื่องหวงปิน ฟางผิงกลับไม่แปลกใจอะไร
หากเขาเป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เรื่องคงไม่แดงออกมาง่ายๆ หรอก
แต่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ ทั้งยังสนิทสนมกับหวังจินหยาง แค่นี้ก็พอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ได้แล้ว
แต่ตอนนี้ฟางผิงไม่กลัวว่าจะมีคนล่วงรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด
คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง
อีกคนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ที่ใกล้ทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์
รวมทั้งสองคนเข้าด้วยกัน อย่าพูดถึงหยางเฉิงเลย กระทั่งทางรุ่ยหยาง แม้จะรู้ว่าพวกเขายักยอกทรัพย์สินของหวงปิน คงไม่เอ่ยปากพูดอะไรเช่นกัน ทั้งนี้ยังรวมถึงเจ้าทุกข์ที่ถูกหวงปินปล้นทรัพย์ด้วย…
ส่วนหนึ่งตายไปแล้ว และต่อให้มีชีวิตอยู่คงไม่สนใจเหมือนกัน
หวงปินนั้นปล้นยาบำรุงมาช่องทางสีเทาทั้งสิ้น เรื่องนี้แบบนี้ ยังไงก็ไม่อาจเปิดเผยได้
คนพวกนั้นเลยไม่กล้าเอ่ยออกมา อยากจะร้องทุกข์แค่ไหน ทำได้แค่กลืนลงไปเท่านั้น
—
เดือนกรกฎาคม ฟางผิงเริ่มทยอยไปร่วมงานเลี้ยงของพวกเพื่อนๆ
ระหว่างนั้น นอกจากเขาจะฝึกวิชาเองแล้ว ยังคอยช่วยฝึกวิชาให้น้องสาวด้วย
ในที่สุดฟางหยวนก็รู้สาเหตุที่ตัวเองไม่หิวข้าว!
ฟางผิงไม่คิดจะปิดบังเรื่องยาบำรุงกำลังไปตลอด เมื่อเขาไปแล้ว ยังต้องให้ยาบำรุงกำลังไว้ให้น้องสาวใช้ต่อ
ถ้าพูดไม่ชัดเจน เด็กนี้เอาไปใช้มั่วซั่วคงเกิดปัญหาแน่
รอจนรู้ว่า สาเหตุมาจากเรื่องที่เธอกินยาบำรุงเข้าไป แววตาของฟางหยวนนั้นซับซ้อนขึ้นมาคล้ายกับสามารถฆ่าคนได้
อย่างแรกคือหาตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอไม่หิวข้าวได้แล้ว อย่างที่สองคือนึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะเอายาที่ราคาแพงสูงลิ่วให้เธอกิน สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว!
ยาบำรุงเม็ดเดียวราคาหลายหมื่น ฟางผิงกลับเอามาหลอกว่าเป็นช็อกโกแลตเยลลี่ถั่วให้เธอกิน!
ทั้งนึกถึงตอนที่หลิวเหวินและหลิวอู่กลับบ้าน ฟางผิงยังเอาให้คนละเม็ด ฟางหยวนถึงขั้นมีความคิดอยากจะปล้นยาบำรุงนั้นมาจากครอบครัวน้าเล็กด้วยซ้ำ
เดือนกรกฎาคม ฟางผิงยังคงใช้ชีวิตไปกับการจ้ำจี้จ้ำไชฟางหยวน
รอจนมาถึงปลายเดือนกรกฎาคม ฟางผิงต้องออกเดินทางแล้ว
เขาต้องล่วงหน้าไปเสาะหาลู่ทางทำเงินที่เซี่ยงไฮ้ และทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นั่นเสียหน่อย
—
สถานีรถไฟ
ตอนที่เขาจะจากไป ฟางหยวนนั้นร้องไห้ขี้มูกโป่ง
ปกติเธอมักจะเรียก ‘ฟางผิง’ แบบห้วนๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่รักพี่ชายคนนี้ เป็นเพราะอยากแสดงความสนิทสนมต่างหาก
ฟางผิงมีของอร่อยมักจะเหลือให้เธอกิน มีที่เที่ยวสนุกๆ ก็จะพาเธอไป หากมีคนรังแกเธอ เขาจะอัดคนพวกนั้นอย่างโมโห…
ยาบำรุงราคาหลายหมื่น ฟางผิงยังเอามาหลอกให้เธอกิน
ตอนนี้ฟางผิงต้องไปเซี่ยงไฮ้แล้ว หลายเดือนถึงจะกลับบ้านมาครั้งหนึ่ง
เพื่อนในห้องบอกว่า นักศึกษาศิลปะการต่อสู้นั้นยุ่งมาก ยุ่งจนอาจจะไม่ได้กลับบ้านตอนปิดเทอมด้วยซ้ำ
ฟางหยวนไม่เคยแยกห่างจากฟางผิงตั้งแต่ยังเล็ก ครั้งก่อนที่ฟางผิงไปสอบสิบกว่าวัน เธอยังคิดถึงเขาเป็นบ้าเป็นหลัง
ตอนนี้พี่ชายต้องไปหลายเดือน ฟางหยวนมาส่งที่สถานีรถไฟ ก็ร้องไห้จนดวงตาบวมเป่งไปหมด จับเสื้อฟางผิงไม่ยอมปล่อย
ท้ายที่สุด เพราะฟางผิงเอ่ยรับปากเธอหลายเรื่อง รวมทั้งพ่อแม่คอยห้ามปราม ฟางหยวนจึงค่อยทำใจปล่อยมือจากเขาได้
รอจนฟางผิงขึ้นรถไฟ เด็กสาวค่อยสะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าลืม…อย่าลืมกลับบ้านตอนปิดเทอม อีกอย่าง โทรหาฉันบ่อยๆ จะหาแฟนต้องบอกฉันด้วย…”
ฟางผิงบีบแก้มเธออย่างหมั่นเขี้ยว เป็นครั้งแรกที่ฟางหยวนอยากให้พี่ชายบีบนานกว่านี้อีกหน่อย
“ไปล่ะ อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ด้วย!”
ฟางผิงโบกมือลาพ่อแม่ เดินขึ้นไปบนรถท่ามกลางสายตาที่อาลัยอาวรณ์และเป็นห่วงของครอบครัว
“ฟางผิง! ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย!”
เด็กสาวตะโกนเสียงดัง น้ำตาไหลราวกับเปิดก๊อก
ฟางผิงที่ขึ้นรถไปแล้ว รู้สึกเศร้าใจเช่นกัน กระทั่งความปรารถนาที่จะไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ยังเลือนหายลงไปไม่น้อย
———————