ตอนที่ 257 หวังเจียเหยาหย่าอีกครั้ง

เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)

ตอนที่ 257 หวังเจียเหยาหย่าอีกครั้ง!
ฉินหงเหยียนได้ยินสวี่ฉู่หมิงพูดแบบนี้ก็ตกใจอย่างมาก

“สวี่ฉู่หมิง คุณหมายความว่ายังไง? ทำไมผู้หญิงคนอื่นแต่งงานกับเย่เฉินได้ แล้วฉันแต่งไม่ได้? หรือเพราะคุณเคยรับเลี้ยงฉันมาสามปีเหรอ? หรือว่า… คุณอยากจะใช้รูปในอดีตพวกนั้นมาขู่ฉัน?”

ตอนที่ฉินหงเหยียนคบหากับสวี่ฉู่หมิงนั้น ยังเป็นแค่ผู้หญิงใสซื่อ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร

ดังนั้นเขาจึงมีสิ่งของจำนวนมากที่น่าจะสามารถใช้ข่มขู่หล่อนได้ในตอนนี้

ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินข้อสันนิษฐานของเจ้าหล่อนก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม

“หงเหยียน! ฉันเป็นเพื่อนสนิทพ่อเธอ! ฉันเป็นญาติเธอนะ! เธออย่าคิดกับฉันให้มันน่าเกลียดขนาดนั้นได้ไหม”

ที่จริงแล้วในใจฉินหงเหยียนเองก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นคนสารเลวขนาดนั้น

อย่างไรเสียสวี่ฉู่หมิงเองก็อายุปาเข้าไปห้าสิบแล้ว แถมยังเป็นประธานบริษัทมูลค่าหลายแสนล้าน

ถ้าหากไม่ได้ครอบครองใครสักคนก็ควรจะปล่อยมือไปเสียดีกว่า ไม่ต้องใช้วิธีต่ำต้อยแบบนี้มารั้งกันเอาไว้

“งั้นเป็นเพราะสาเหตุอะไร?” ฉินหงเหยียนเองก็เริ่มประหลาดใจ

แต่ว่าวี่ฉู่หมิงเองก็ไม่ได้บอกเหตุผลหล่อนตรงๆ “สาเหตุเพราะอะไรนั้น เธอมาหาฉันแล้วฉันจะบอกเธอต่อหน้า”

ฉินหงเหยียนขมวดคิ้ว สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ถึงพูดในโทรศัพท์ไม่ได้ ต้องให้ฉินหงเหยียนไปพบเขาแล้วเขาถึงจะยอมพูด

จากที่รู้จักอีกฝ่ายมานาน หญิงสาวรู้ดีอย่างยิ่งว่าสวี่ฉู่หมิงคนนี้ไม่ได้กำลังพูดเรื่อยเปื่อย แต่จะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่เขาถึงได้พูดแบบนี้

ฉินหงเหยียนครุ่ยคิดแล้วกล่าว “ช่วงนี้ฉันไปไม่ได้ อีกสัปดาห์ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันขอดูก่อนแล้วจะบินไปหา”

สัปดาห์นี้เป็นช่วงที่เย่เฉินรอผลตรวจ DNA ฉิงหงเหยียนรู้ว่าในช่วงสัปดาห์นี้เย่เฉินคงจะทรมานมาก หล่อนอยาจะอยู่ที่เทียนไห่เป็นเพื่อนเขา

สวี่ฉู่หมิงกล่าว “ดี งั้นสัปดาห์หน้า แต่ว่าฉันเตือนเธอไว้ก่อนนะก่อนจะมาพบกัน ห้ามจดทะเบียนกับเย่เฉินเด็ดขาด แล้วอย่าเพิ่งคิดเรื่องจัดงานหมั้นอะไรทั้งนั้นเข้าใจไหม?”

ฉินหงเหยียนรู้ดีว่าก่อนที่ผล DNA จะออกเย่เฉินคงไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำเรื่องจดทะเบียนอะไรกับตนเอง

ดังนั้นหล่อนจึงตอบรับ “ได้!”

……

หวังเจียเหยาที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ก็ไม่ได้มีอารมณ์จะกล่อมลูก แต่ดื่มน้ำไม่หยุด

ดื่มน้ำแก้วโตจนหมดแก้วเสียด้วย

ซูหลานเองเห็นท่าทางของหวังเจียเหยาผิดปกติจึงถามอย่างห่วงใย “ลูกรัก ลูกบอกแม่มาจริงๆ เด็กสองคนไมใช่ลูกเย่เฉินใช่ไหม?”

หวังเจียเหยาปฏิเสธทันควัน “แม่คะ แม่พูดอะไร เด็กๆ เป็นลูกเย่เฉิน! เป็นสายเลือดตระกูลเย่แน่ๆ”

ซูหลานถึงได้ผ่อนลมหายอย่างโล่งอก “งั้นก็ดี ฮ่าๆ ตระกูลหวังเราชักจะรุ่งเรืองใหญ่แล้ว มีเด็กแฝดตระกูลเย่คู่นี้ เจียเหยาชีวิตนี้ลูกไม่ต้องห่วงเรื่องเงินอีกแล้ว”

……

อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉินหงเหยียนยังคงไปทำงานตามปกติ แล้วยังสานต่อแผนการ ‘พนักงานส่งของหญิงจากต่างประเทศ’ ของเย่เฉินต่อ

ส่วนเย่เฉินเองก็สร้างตึกของเฉินเย่กรุ๊ปในเทียนไห่ โดยดีไซน์ของตัวตึกนั้นล้วนแต่ได้ทีมออกแบบระดับโลกมาออกแบบให้ หลังจากที่สร้างเสร็จแล้วจะต้องกลายเป็นตึกที่สวยที่สุดในเทียนไห่อย่างแน่นอน

แต่ถึงแม้เย่เฉินจะเป็นประธานบริษัท มีธุระปะปังมากมายให้ต้องสะสาง แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จดจ่อกับการทำงาน

เขาทำงานไปแค่วันเดียวก็ยอมแพ้ไป เพราะว่าทั้งหัวเขาคิดแต่เรื่องตรวจ DNA

เขาจึงตัดใจอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านแทน

เขาเอาหนังสือของนักเขียนที่เขาชื่นชอบอย่าง Gabriel García Márquez เรื่อง ‘Love in the Time of Cholera’ และ ‘One Hundred Years of Solitude’ อีกรอบ

แล้วเขาก็เริ่มดูภาพยนตร์ ดูภาพยนตร์อาร์ตพวกที่เข้าใจยากๆ อะไรพวกนั้น

เช่นเรื่อง ‘Inception’ ‘Catch Me If You Can’ ‘Coherence’ เป็นต้น

แล้วเขาก็เริ่มดูการแข่งบาสเก็ตบอล NBA เมื่อยี่สิบปีก่อน

การแข่งชิงแชมป์ระหว่าง Michael Jordan กับ Lakers ที่โชว์เปลี่ยนลูกบอลกลางอากาศ

Charles Barkley และ Shaquille O’Neal ฟัดกันจนพัลวัน

Kobe ในวัยรุ่นก้าวเข้าวงการเซเลบครั้งแรก กล่าวกับ Karl Malone ว่าให้ไสหัวไป ฉันต้องการจะแบทเทิลตัวต่อตัวกับ Jordan!

แล้วเขาก็ดูละครที่หวังเจียเหยาชอบอีกรอบ

‘Laughing in the Wind’ ในเวอร์ชันของ Jackie Lui (หลี่ซ่งเสียน) หรือว่า ‘Heavenly Sword Dragon Slaying Saber’ ในเวอร์ชันของ Lawrence Ng (อู๋ฉีหัว) ‘แปดอสูรมังกรฟ้า’ เวอร์ชันของ Felix Wong หรือ ‘The Legend of the Condor Heroes’ ที่แสดงโดย Julian Cheung (จางจื้อหลิน) และ ‘The Deer and the Cauldron ’ ในเวอร์ชั่น Jordan Chan (เฉินเสี่ยวชุน)

เขายังศึกษาเรื่องพื้นที่อวกาศที่ Musk ชื่นชอบ แถมยังวีดีโอคอลคุยกับเขา เพื่อจะถกกันเรื่องความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะย้ายไปดาวอังคาร

ในที่สุดก็ถึงวันที่เจ็ด!

เขาเตรียมตัวตั้งแต่เช้า ไปเคาะประตูบ้านหลิ่วอวี่เจ๋อและหวังเจียเหยา

“ทำไมเช้าจัง?” หลิ่วอวี่เจ๋อเปิดประตูให้เย่เฉินด้วยตนเอง

เย่เฉินกล่าว “ผลออกแล้ว ผมอยากพาหวังเจียเหยาไปดูด้วยกัน”

หลิ่วอวี่เจ๋อหัวเราะเจ้าเล่ห์ “เหรอ? ฉันว่างพอดี ฉันเองก็อยากจะไปดูด้วย”

ใครจะรู้เสียงของหวังเจียเหยาก็ลอดออกมา “หลิ่วอวี่เจ๋อนายไปทำไม! ปู่นายสั่งให้เราหย่ากันแล้ว ฉันไม่ใช่สะใภ้ตระกูลนายแล้ว!”

ตั้งแต่ที่เย่เฉินไปป่วนงานเลี้ยงของเด็กแฝด แล้วหลิ่วหย่วนหางรู้เรื่องว่าเด็กไม่ใช่ลูกหลานชายตนเอง หลิ่วหย่วนหางก็สั่งให้พวกเขาหย่ากันทันที

ตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่ได้ทำเรื่องหย่า แต่พวกเขาจะต้องหย่ากันแน่ๆ

หลิ่วอวี่เจ๋อไม่ได้รักหวังเจียเหยามากมาย ส่วนหวังเจียเหยาก็อยากกลับมาคบหากับเย่เฉิน

เย่เฉินประหลาดใจ “พวกคุณไม่รับหวังเจียเหยาเป็นสะใภ้แล้ว?”

หวังเจียเหยาเดินมาแล้วกล่าว “ใช่ เย่เฉิน ตระกูลหลิ่วสั่งให้ฉันหย่า ฉันไม่ใช่สะใภ้บ้านนี้แล้ว ไม่ใช่ภรรยาของหลิ่วอวี่เจ๋อแล้ว! รอทำเรื่องหย่าเสร็จฉันก็จะเป็นอิสระแล้ว!”

เย่เฉินถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ หวังเจียเหยาคนนี้เก่งจริงๆ แค่ระยะเวลาสองปีเท่านั้น หล่อนแต่งแล้วก็หย่า หย่าแล้วก็แต่งใหม่ พอแต่งใหม่ก็หย่าอีกที

แถมทุกชีวิตการสมรสก็สั้นจิ๋ว

แต่ว่าชีวิตสมรสระหว่างหวังเจียเหยาและหลิ่วอวี่เจ๋อ จะโทษหล่อนก็ไม่ได้

ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะเย่เฉินแฉหลิ่วอวี่เจ๋อ คาดว่าทั้งสองคนก็น่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

หวังเจียเหยาเป็นฝ่ายเอื้อมมือมาจูงมือเย่เฉินแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน “เย่เฉิน หลังจากที่ผล DNA ออกมาแล้วว่าเด็กๆ เป็นลูกนาย เรากลับมาคบกันนะ”

หลิ่วอวี่เจ๋อเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกันแบบนี้ต่อหน้าตัวเอง ก็หัวเสีย “หวังเจียเหยา! คุณยังไม่ได้ทำเรื่องหย่ากับผมนะ! ตอนนี้ผมยังเป็นสามีคุณอยู่! คุณจูงมือผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผมเห็นผมตายไปแล้วหรือไง!”

ก่อนนี้หวังเจียเหยาเคยสวมเขาให้เขา ตอนนี้ทั้งสองคนหย่ากันไปแล้ว หวังเจียเหยาไม่สนใจความรู้สึกเขาหรอก

หวังเจียเหยากล่าว “เราหย่ากันแล้ว เงิน 30 ล้านที่บ้านนายแบ่งมายังไม่พอค่าเสื้อผ้ากระเป๋าของฉันเลย! ฉันนอนกับนายมาสิบเดือน ให้เงินฉันมาเท่านี้ยังมีหน้าจะให้ฉันเคารพนายเหรอ?”