บทที่ 286: กษัตริย์แห่งเจียวจื่อ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 286: กษัตริย์แห่งเจียวจื่อ

มันคือชายร่างผอมที่สวมหมวกทรงสูงและเสื้อคลุมยาวสีขาว ผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า และมีเขี้ยวยาว พลังหยินไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดขณะที่อีกฝ่ายจ้องมองมาที่ฉินเย่ด้วยความเกลียดชังในแววตา

พวกเขากำลังเผชิญหน้ากันในศูนย์เก็บข้อมูลของยมโลกแห่งเก่า

ด้วยสภาพของยมโลกแห่งเก่าในตอนนี้ มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่จะมีใครบางคนมาที่นี่เพื่อแย่งชิงแหล่งข้อมูลอันล้ำค่าที่ถูกเก็บเอาไว้ ดังนั้น ผู้ใดจะไปคิดว่าจู่ ๆ ฉินเย่จะทำลายถุงเอกภพแบบนั้น ? ที่เขาเผลอส่งเสียงร้องออกไปก็เพราะว่าเขาตกใจกับการกระทำของฉินเย่เท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่ามันเป็นเพียงวิธีการเพื่อใช้ระบุตำแหน่งของเขาเอง

ทั้งสองสบตากันนิ่ง พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ดวงตาของฉินเย่หรี่ลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าอีกฝ่าย … ก็อยู่ขั้นยมทูตขาวดำเช่นกัน !

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า บอกมาว่าเจ้าเป็นใครและเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของยมโลกแห่งเก่า หรือ… เป็นสายสืบที่ถูกส่งมาโดยพวกข้าราชการศักดินาพวกนั้น ?” ฉินเย่ตวัดไม้ขกสังปั๊งในมือของตนเบา ๆ “บางทีข้าอาจจะควรเตือนเจ้าถึงข้อได้เปรียบระหว่างยมทูตที่แท้จริงและยมทูตปลอมในนามด้วย”

อีกฝ่ายจับหน้าอกของตนอย่างประหม่า เขากำลังจะเอ่ยออกไปขณะที่ฉินเย่กระดิกนิ้วไปมา “จงอย่าให้คำตอบโง่ ๆ และตอบเหตุผลผลอย่างเจ้าคือเพื่อนร่วมงานของข้าเป็นอันขาด ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายลงแล้ว และข้าก็เป็นยมทูตเพียงตนเดียวที่เหลืออยู่ ต่อให้ครั้งหนึ่งเจ้าจะเป็นยมทูต แต่ตอนนี้…”

ฟึ่บ ! ไม้ขกสังปั๊งของเขาลุกโชนขึ้นและชี้ไปที่ตรงหน้าอกของชายตรงหน้า “เจ้าไม่ต่างอะไรกับวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีที่ให้ไป เจ้าคงจะรู้ดีนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากวิญญาณเผชิญหน้ากับยมทูตที่อยู่ระดับพลังเดียวกัน”

เงียบ

ชายผู้นั้นยังคงจ้องหน้าฉินเย่โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นพลังหยินที่รุนแรงก็ระเบิดออกมาจากเท้าของเขา และร่างของเขาก็ดูเหมือนจะจางหายไปในกลุ่มหมอกสีดำขณะที่ถอยหนีอย่างรวดเร็ว แววตาของฉินเย่วาวขึ้น และเขาก็พุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้า แทงไม้ขกสังปั๊งของตนลงไปที่ศีรษะของร่างเงานั้นอีกครั้ง

ยมทูตนั้นเป็นเหมือนกับกองกำลังปราบปรามสำหรับวิญญาณร้ายทั้งปวง !

พลังหยินที่ไหลออกมาจากร่างของเขาเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของวิญญาณจำนวนมากและเปลวไฟนรกที่พุ่งไปมาอย่างบ้างคลั่ง แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพลังที่กดขี่ของฉินเย่ เขาพุ่งตรงไปยังกลุ่มก้อนพลังหยิน และมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นอวัยวะอีกหกส่วนที่ยื่นออกมาจากด้านหลังของชายคนนี้ สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถห้อยตัวลงมาจากเพดานห้องราวกับแมงมุมขณะที่เขาถอยหลังเวลาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาด “อ๊าก !!”

พลังหยินที่อยู่โดยรอบพวกเขาหนักอึ้ง ในขณะที่เปลวไฟนรกจำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากพื้น ราวกับพวกเขาเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายมายังหนึ่งในมหาขุมนรกของยมโลก ภายในเสี้ยววินาที ดาบอันแหลมคมที่เกิดจากพลังหยินก็พุ่งออกมาจากพื้นและพุ่งเข้าหาร่างของฉินเย่โดยไร้ซึ่งคำเตือนใด ๆ

อดีตยมทูตจริง ๆ ด้วย…

ฉินเย่หรี่ตาลง นี่คือหนึ่งในศาสตร์ของนรก น่าเสียดาย…

ด้วยมันไร้ประโยชน์ !

เคร้ง ! ร่างของฉินเย่เปล่งแสงออกมาทันทีที่ดาบพลังหยินพุ่งเข้ามา ชั้นพลังสีดำสนิทปกคลุมร่างของเขาเอาไว้สะท้อนดาบพลังหยินทั้งหมดจนมันพังทลายและเปลี่ยนกลับเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินตามเดิม

“ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจ ?!” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัว และเขาก็รีบละทิ้งความคิดทั้งหมดและพุ่งความสนใจไปที่การหลบหนีทันที ทว่าหลังจากพุ่งตัวออกไปได้เพียงสามเมตรเขาก็ต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน ขณะที่มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างค่อย ๆ ยกขึ้นกลางอากาศ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ด้านหลังของเขา ฉินเย่ได้กรีดปลายนิ้วของตนและหยดเลือดสีแดงเข้มหยดลงบนไม้ขกสังปั๊งในมือของเด็กหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เป็นอย่างที่คิด เจ้าเคยเป็นยมทูตจริง ๆ” ฉินเย่แย้มยิ้มและค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ร่างตรงหน้า “เจ้ารู้จักการปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีดเป็นอย่างดี และยังได้เรียนศาสตร์แห่งนรก… บอกมา ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร ?”

ไม้ขกสังปั๊งถูกวางลงบนหลังของชายผู้นั้นเบา ๆ ส่งผลให้ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว และราวกับยอมจำนนต่อโชคชะตา เขากัดฟันแน่นและเอ่ยออกมา “…ขนนกทมิฬภายใต้คำสั่งของกษัตริย์แห่งเจียวจื่อ… เจ้าหน้าที่พิเศษ หม่าลิ่ว”

“กษัตริย์แห่งเจียวจื่อ ? ใครกัน ?” ฉินเย่ถามชายในชุดดำ ร่างของอีกฝ่ายสั่นเทาก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างตกใจ “จะ เจ้า… เจ้าเป็นยมทูตไม่ใช่หรือ ? เจ้าไม่รู้จักชื่อของกษัตริย์แห่งเจียวจื่อได้อย่างไรกัน ?”

ถ้าข้ารู้จักข้าจะถามเจ้าหรืออย่างไร ?!

ฉินเย่ผลักหลังอีกฝ่ายด้วยไม้ขกสังปั๊งอีกครั้ง เห้อ เป็นหลังที่แข็งจริง ๆ มันไม่ให้ความรู้สึกเหมือนกับพวกแมลงแห่งหายนะที่อยู่ข้างนอกเลยสักนิด…

“พูด”

หม่าลิ่วสูดหายใจเข้าช้าๆ “กษัตริย์แห่งเจียวจื่อ… ท่านเกา ฉางกง หรือเจ้าชายแห่งหลานหลิง [1]”

แม้ว่าจะเตรียมใจไว้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ฉินเย่ก็ยังลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

เจ้าชายแห่งหลานหลิง… เจ้าชายแห่งหลานหลิงแห่งราชวงศ์ฉีเหนือ 1 ใน 4 บุรุษรูปงามในยุคโบราณ ชายผู้มีสมญานามว่า ‘หน้ากากนักรบ’ ! ไม่คิดเลยว่าเขาคือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปกครองดินแดนเจียวจื่อ !

อารมณ์มากมายพลุ่งพล่านมาจากภายใน จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง และเจ้าชายแห่งหลานหลิง… ยมโลกแห่งเก่ายังมีกองกำลังรักษาการณ์อีกมากมายเพียงใดกัน ? ยังมีขุนพลผู้มีชื่อเสียงอีกกี่ตนที่กำลังรอการมาถึงของเขาเพื่อเชิญทั้งหมดกลับมายังยมโลกแห่งใหม่ ?

แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ เขาข่มความรู้สึกมากมายในใจและถามเสียงต่ำ “เจ้ามาที่นี่ทำไม ?”

หม่าลิ่วหลับตาลงและกำมือแน่น “จากปฏิสัมพันธ์ในอดีตระหว่างเรา ข้าราชการศักดินาทุกตนจะต้องกลับมาที่นครเฟิงตูเพื่อจ่ายส่วยในทุก ๆ 50 ปี แต่ตลอด 50 ปีที่ผ่านมานี้เจียวจื่อกลับไม่ได้รับพระราชกฤษฎีกาใด ๆ ทั้งสิ้นจากยมโลกเลยแม้แต่ฉบับเดียว และข้าราชการศักดินาก็ไม่สามารถกลับมาที่ยมโลกโดยที่ปราศจากคำสั่งได้ ดังนั้นท่านหลานหลิงจึงรับสั่งให้พวกเรามุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบความจริง น่าเสียดาย พลังหยินในยมโลกนั้นแปรปรวนเป็นอย่างมาก และพวกเราไม่สามารถก้าวเข้ามาในนี้ได้แม้แต่ก้าวเดียว แต่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อน… ที่ช่องแคบสึชิมะได้เกิดการปะทุพลังของสมุดแห่งความเป็นตายขึ้น พระองค์จึงรับสั่งให้ขนนกทมิฬของพระองค์เดินทางมาตรวจสอบยมโลกอีกครั้ง”

ฉินเย่พยักหน้า “แล้วเจ้าก็พบว่ายมโลกนั้นเหลือเพียงซากปรักหักพังทันทีที่ก้าวเข้ามา เจ้าจึงมีความคิดที่จะแย่งมรดกของยมโลกไปให้กษัตริย์ของเจ้า ? แต่น่าเสียดายที่โชคชะตาไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับเจ้า และเจ้าถูกจับได้ในที่สุด”

หม่าลิ่วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

เจ้าพูดให้มันดูดีกว่าที่เป็นอยู่ ข้าเกือบจะเก็บมรดกของยมโลกไปได้อยู่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ เจ้าก็พุ่งพรวดเข้ามา แถมยังพาแมลงแห่งหายนะมาเป็นฝูงจนถล่มทั้งตึก ! จะให้มองข้ามเรื่องทั้งหมดนี้ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นไปได้อย่างไร ?!

นี่เรากำลังพูดถึงความอัปโชคครั้งใหญ่นะ !

เกิดความเงียบขึ้นกะทันหัน

ฉินเย่กำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับอีกฝ่ายดี แต่ทันใดนั้นเอง อาคารที่พวกเขายืนอยู่ก็สั่นไหวอีกครั้ง และมันก็เริ่มเอียงมากกว่าเดิม

ครืดนนน… ไม่มีเวลาให้ทันได้ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ตรงช่องแคบที่เกิดขึ้นจากการเอียงของอาคาร และทั้งสองด้านของพวกเขาก็เต็มไปด้วยตู้และกองข้าวของมากมาย ด้วยแรงสั่นสะเทือนกะทันหันเมื่อครู่ ตู้ที่อยู่ห่างออกไปก็เริ่มไถลเข้ามากองอย่างอันตราย

ทั้งคู่หันไปมองตู้ที่ไถลเข้ามาราวกับมันคือหิมะถล่ม โชคดีที่พวกเขายืนอยู่ตรงกลางทางเดินที่ว่างเปล่า ดังนั้นจึงทำได้เพียงกลั้นหายใจมองดูกองตู้ทั้งสองเลื่อนลงมากองกันมากขึ้นจนกระทั่งมีความสูงสิบเมตรในเวลาไม่นาน

พวกเขาสามารถบอกได้ว่าอาคารได้เอียงมากกว่าก่อนหน้านี้มาก เสียงดังสนั่นคราวแรกตามมาด้วยเสียงแตกที่น่าสยดสยอง ชายทั้งสองที่กำลังยืนอยู่แน่นิ่งไป จนกระทั่งแรงสั่นสะเทือนหยุดลงโดยสมบูรณ์ กว่าที่ทั้งคู่จะได้สติ พวกเขาก็พบว่าตัวเองยืนพิงกันโดยที่หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อโดยไม่รู้ตัว

นอกเหนือจากทางเดินที่เหลืออยู่น้อยนิดแล้ว ทั่วทั้งห้องก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกองตู้ที่ล้มระเนระนาด นอกจากนี้ ผลสืบเนื่องจากการเอนตัวที่อันตรายเมื่อครู่ ตอนนี้พวกเขา… กำลังยืนอยู่บนกระจกโดยตรง

“ตู้นี้ทำจากไม้เศร้าโศก…” ใบหน้าของหม่าลิ่วซีดเผือด “แม้แต่ขั้นตุลาการนรกก็ไม่ได้สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ วัสดุพวกนี้ถือว่าเป็นเกรด A แม้แต่ในมาตรฐานของนรกเองก็ตาม ดีนะที่เราอยู่ตรงนี้ ไม่เช่นนั้น…”

ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ตู้ที่กองรวมกันอยู่อย่างอันตรายด้านบนก็ตกลงมาเสียงดังราวกับก้อนหินที่ถล่มลงมา โคร่ม โคร่ม โคร่ม ! ในเสี้ยววินาทีต่อมา มันก็ถล่มลงมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่

“เชี่ย…” ฉินเย่สบถออกมาอย่างโมโห และทั้งสองก็แยกออกจากกันทันที ฝั่งหนึ่งกางพัดกระดูกของตนไว้ด้านหน้า ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกางร่มไม้ขกสักปั๊งของตนไว้ด้านบน ราวกับหินขนาดใหญ่ ตู้เก็บของขนาดใหญ่ร่วงลงไปยันแผ่นกระจกระหว่างคนทั้งสองและตกลงไปในความมืดด้านล่าง

อึก… ทั้งคู่กลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลขณะที่เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตนเอง

ฟิ้ว… สายลมเย็นพัดขึ้นมาจากรูขนาดห้าเมตรที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และชะโงกหน้าไปมองนอกอาคาร และเขาก็เห็นว่าตอนนี้พวกตนอยู่เหนือจากพื้นดินในความสูงอย่างน้อย 50 เมตร บ้านเรือนด้านล่างดูไม่ต่างอะไรกับกล่องไม้ขี้ไฟขนาดเล็กเลยแม้แต่น้อย

ช่างเป็นภาพที่น่าเวียนหัวจริง ๆ

แต่บางที สิ่งที่น่าตกตะลึงมากกว่านั้นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าถนนด้านล่างไม่ได้สภาพเดิมอีกต่อไป กลับกัน พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มก้อนสีดำที่บิดตัวไปมาซึ่งเกิดจากการรวมตัวของแมลงแห่งหายนะจำนวนมาก อันที่จริง กลุ่มก้อนแมลงที่ล้อมรอบศาลาแห่งการรู้แจ้งนั้นไม่ต่างอะไรกับโรคระบาด ที่ซึ่งพวกมันเริ่มกัดกินมาจากโคนราวกับปลวกที่กัดกินต้นไม้ใหญ่

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองยังคงตกตะลึงจากเหตุการณ์เมื่อครู่

จากนั้น ท่ามกลางความเงียบงัน เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วอาคารอีกครั้ง ครั้งนี้ มันคือเสียงคานและเสาค้ำที่ดังขึ้นเนื่องจากไม่สามารถทนรับน้ำหนักของอาคารได้ต่อไป ชายทั้งสองสามารถบอกได้ทันทีว่าอาคารหลังนี้จะเริ่มเอียงมากขึ้นทุกวินาที เหมือนกับชายแก่ที่เดินไปยังช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างกล้าหาญ

มันจะต้องถล่มลงอย่างแน่นอนเมื่อมันเอียงเกินมุมวิกฤต

“ศาลาแห่งการรู้แจ้งทนอีกไม่ไหวแล้ว” ฉินเย่สูดหายใจเข้าอย่างถี่รัว “รีบช่วยข้าหาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ถูกเก็บอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

“นี่เจ้ายังคิดที่จะสังหารข้าอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ?!” ลมหายใจของหม่าลิ่วติดขัดขณะที่เขามองฉินเย่และเลียริมฝีปากของตนเอง “ข้าจะช่วยเจ้า แต่เราจะต้องแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง !”

ดวงตาของฉินเย่วาวโรจน์

เกาฉางกง… กำลังคิดที่จะก่อกบฏ !

เจ้าหน้าที่พิเศษในหมู่ขนนกทมิฬ ทั้งยังเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเกาฉางกง เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ถึงความคิดของผู้เป็นนาย แต่อีกฝ่ายก็ยังเลือกที่จะขอแบ่งผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน

หากไม่ใช่เพราะเจตนาของเกาฉางกงตั้งแต่แรก ขนนกทมิฬผู้นี้ก็คงไม่มีทางทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้ แนวคิดที่ว่าเกาฉางกงวางแผนที่จะก่อกบฏนั้นสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว เพราะอย่างไรเสีย เขาก็คือคนที่ประสบความสำเร็จมากมายเหลือเกินเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต แต่กลับต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกวางยาพิษเนื่องจากความสงสัยของกษัตริย์ของตนเองในตอนนั้น หากยมโลกสูญเสียอำนาจไปแล้วจริง ๆ พวกเขาคงไม่สามารถขัดขวางการแย่งชิงบัลลังก์ของอีกฝ่ายได้แน่

ไม่เป็นไร… อย่างไรมันก็มีจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งอยู่แล้ว… ถ้าเราเพิ่มเกาฉางกงเข้ามาในแผนด้วยก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม ? เขาแทบไม่อยากจะนึกถึงความแข็งแกร่งของทั้งคู่เลย ! ผู้ใดจะไปคิดว่าข้าราชการศักดินาทุกตนจะคิดก่อกบฏและต้องการจะแย่งบัลลังก์ในยมโลก ! ไม่มีผู้ใดซื่อสัตย์ต่อยมโลกเลยสักนิด ! ฉินเย่สบถกับตัวเองในใจขณะที่มองไปยังหม่าลิ่ว “ถ้าข้าบอกว่าข้าจะจัดการกับพวกมดปลวกในยมโลกทั้งหมดเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ?”

ตู้ม !! ในเสี้ยววินาทีต่อมา ศาลาแห่งการรู้แจ้งที่ไม่สามารถรักษาน้ำหนักของมันได้อีกต่อไปก็หักออก อาคารทั้งอาคารถล่มลงพื้น คลื่นกระแทกของฝุ่นและเศษอิฐกระจายตัวไปทั่ว ฉินเย่และหม่าลิ่วลงมือพร้อมกันทันที !

หม่าลิ่วชูพัดกระดูกในมือของตนขึ้นและพัดมันด้วยแรงทั้งหมดของตน กะโหลกเพลิงนับสิบกรีดร้องขณะที่พุ่งออกมาและโจมตีเข้าที่จุดตายของฉินเย่ ในขณะเดียวกัน ฉินเย่กระโจนขึ้นจากพื้นและกลายเป็นพายุรุนแรงที่พุ่งขึ้นไปยังด้านบนของกองตู้

เขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับหัวกะโหลกที่กำลังพุ่งมาหาตนเลยแม้แต่น้อย เขากวัดแกว่งไม้ขกสังปั๊งของตนราวกับมังกรเงินที่ร่ายรำ และแทงมันตรงไปยังขาของหม่าลิ่ว

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของอดีตยมทูต ก่อนที่เขาจะตระหนักได้ในไม่ช้าว่า… ฉินเย่พลาดเป้าไป

ในตอนแรกที่เขาเห็นการโจมตีที่พุ่งมา เขาได้เตรียมใจที่จะสูญเสียขาของตนไปเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองแล้ว แต่ทันทีที่เสียงปะทะดังขึ้น เขากลับไม่รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บที่แผ่นมาจากขาของตนเลยแม้แต่น้อย !

และขณะที่เสียงร้องโหยหวนกำลังจะเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนด้วยความดีใจ เขาก็ต้องชะงักไปด้วยความตกตะลึง แววตาสั่นไหวด้วยความกลัว เพราะเขาเพิ่งตระหนักได้ว่ากองตู้ไม้เศร้าโศกที่อยู่เหนือตนเริ่มถล่มลงมา

ทันใดนั้น ทุกอย่างก็พลันชัดเจนสำหรับหม่าลิ่ว เขาไม่ได้เล็งมาที่ข้า…

แต่เขา… เล็งมาที่กองตู้ที่ทำจากไม้เศร้าโศกพวกนี้…

หากอีกฝ่ายขยับไม้ขกสังปั๊งและทำให้ฐานตู้พวกนี้ไม่มั่นคง ตู้ที่อยู่ด้านบนก็จะถล่มลงมาทันที จากนั้นหม่าลิ่วก็จะร่วงออกไปจากศาลาแห่งการรู้แจ้งและเข้าสู่อ้อมแขนของกลุ่มแมลงแห่งหายนะ…

“หยุดนะ !!” หม่าลิ่วตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัวขณะที่หันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาอ้อนวอน ร่างของเขาสั่นไปหมด

“ยมทูตขาวดำสามารถบินได้ในระยะทางสั้น ๆ” ฉินเย่ไม่แม้แต่จะหันไปมอง เขายังคงลูบไม้ขกสังปั๊งเบา ๆ “แต่ถ้าเป็นภายใต้กองตู้ไม้เศร้าโศกเกรด A พวกนี้… มันจะยังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ ?”

[1] เจียวจื่อคือชื่อเรียกเวียดนามทางตอนเหนือ เกา ฉางกง (541-573) เป็น นายพลระดับสูงของราชวงศ์ฉีเหนือได้รับศักดินาในมณฑลหลานหลิงทางใต้ของซานตงดังนั้นเขาจึงเป็นที่รู้จักในนามเจ้าชายแห่งหลานหลิง ตำนานกล่าวว่าเกาชางกงนั้นมีใบหน้าที่สวยงามราวกับผู้หญิง ดังนั้นเมื่อต้องต่อสู้ เขาจึงมักจะสวมหน้ากากที่น่ากลัวเสมอ