EP.299 หางเพลิง

ถังปินมีปีศาจร้ายในจิตใจ เขาต้องการฆ่าถังเสี่ยวซีมานานแล้ว ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงไม่คิดช่วยเหลือ อีกทั้งแอบหวังให้หมีเหล็กทมิฬฮึดสู้และสังหารคนของถังปินจนหมดสิ้น

น่าเสียดายที่หมีเหลบ็กทมิฬอายุกว่าหมื่นปีไม่อาจทานรับการโจมตีจากทุกทิศได้ เกือบสามสิบนาทีต่อมา ในที่สุดสัตว์ร้ายที่อาศัยในหุบเขาสั่วจือมานานกว่าหมื่นปีก็ต้องจบชีวิตลง มันส่งเสียงครวญครางอย่างน่าเวทนาก่อนจะสิ้นใจ จากนั้นร่างยักษ์ก็ล้มลงบนทุ่งดอกไม้ขาวที่ถูกย้อมเป็นสีเลือด

หุบเขาสั่วจือเต็มไปด้วยซากศพและเสียงคนเจ็บร้องระงม

หลินมู่อวี่ยืนบนก้อนหินใหญ่เฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นก็กระโดดออกไปไม่กี่ครั้งก็ออกจากหุบเขาสั่วจือ หลินมู่อวี่ต้องไปถึงสุสานมังกรโดยเร็วที่สุด กระนั้นก็บังเอิญพบกองทหารถังปินกลางทาง เขาจึงจำเป็นต้องเร่งฝีเท้ามากกว่าเดิม!

ด้านในหุบเขามีชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์กระจัดกระจายบนพื้นพร้อมเสียงร้องคร่ำครวญของผู้บาดเจ็บ ถังปินถือดาบเปื้อนเลือดเข้าไปยังกองทหาร ดวงตาฉายแววเย็นชา “เรา…ถึงอย่างไรเราก็ต้องทำตามแผนการเดิมในการล่าจิ้งจอกเก้าหาง”

ถังห่าวกล่าวอย่างหมดหนทาง “ช่างน่าเศร้า การชี้นำเส้นทางของเจิ้งอี้ฝานกลับกลายเป็นความจริง และสร้างความเสียหายให้แก่เรา…”

ถังปินขบฟันแน่น “สักวันหนึ่งไอ้จิ้งจอกเฒ่าจะต้องชดใช้เรื่องวันนี้!”

“อืม”

ถังปินเหยียบบนร่างหมีเหล็กทมิฬก่อนจะใช้ดาบแทงทะลุหัว ศิลาวิญญาณหมีเหล็กทมิฬอายุหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยปีถูกควักออกมา พลังอบอุ่นพลันหลั่งไหลเข้ามาที่ฝ่ามือ มันคือศิลาวิญญาณธาตุไฟ หนึ่งในศิลาวิญญาณที่มีคุณค่าซึ่งมีพลังน่าเกรงขาม อีกทั้งพลังโจมตีก็สูงมากเช่นกัน จึงเป็นที่ชื่นชอบของจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในแผ่นดิน

ถังปินเก็บศิลาวิญญาณเข้ากระเป๋าหน้าอกอย่างเงียบงัน ก่อนจะมองไปรอบบริเวณและพูดว่า “หากยังสามารถขึ้นหลังม้าได้ ก็ทำซะเดี๋ยวนี้ แล้วออกจากที่นี่กัน ทิ้งคนไว้เล็กน้อยเพื่อดูแลคนเจ็บ เนื่องจากกลิ่นเลือดจะดึงดูดสัตว์วิญญาณที่หิวกระหายเข้ามา และจงพาคนเจ็บกลับเมืองชีไห่ ส่วนที่เหลือตามข้าไปสุสานมังกร อย่าชักช้า รีบลงมือซะ!”

ถังห่าวผงะ “องค์ชาย…หากปล่อยให้ผู้บาดเจ็บดูแลกันเองตามลำพัง ข้าเกรงว่าพวกเขาจะถูกฆ่าทั้งหมดเมื่อมีสัตว์วิญญาณเข้าจู่โจม ร…เราควรละทิ้งผู้บาดเจ็บไว้จริงหรือ?”

“ท่านลุงห่าว”

ถังปินหันกลับมามองอย่างเย็นชา “เสี่ยวซีเป็นลูกหลานตระกูลถังที่แบกรับวิญญาณจิ้งจอกอัคนี อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นผนึกจิ้งจอกอัคนีไปแล้วตอนนี้ ชีวิตของถังเสี่ยวซีสำคัญยิ่งกว่าทหารธรรมดานับพัน ท่านควรตระหนักถึงสิ่งนี้ด้วย”

ถังห่าวพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า “อืม”

เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย ทหารเมืองชีไห่ราวหนึ่งร้อยห้าสิบนายก็ควบม้าออกจากหุบเขาสั่วจืออย่างรวดเร็ว ส่วนผู้บาดเจ็บเกือบสามร้อยคน…เกรงว่าจะต้องรอรับชะตากรรมด้วยความตายเท่านั้น หุบเขาสั่วจือตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าล่ามังกร และมีสัตว์วิญญาณอายุกว่าห้าพันปีรอบบริเวณ ดังนั้นพวกเขามิอาจหนีไปไหนได้

สุสานมังกรเป็นสถานที่ฝังมังกรในสมัยโบราณ มังกรคือสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุด อีกทั้งยังเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์วิญญาณที่มีสติปัญญาขั้นสูง หากมังกรยักษ์ทุกตัวรู้ว่าใกล้ถึงจุดจบของชีวิต พวกมันส่วนใหญ่จะเลือกมาที่สุสานมังกรแห่งนี้ และหลับใหลไปอย่างเงียบงัน เป็นวิธีการจากโลกใบนี้อย่างสงบสุขที่สุด

ดังนั้นสุสานมังกรจึงอยู่ในส่วนที่ลึกสุดของป่าล่ามังกร มีกองกระดูกกองอยู่เต็มรอบบริเวณ ตั้งแต่มังกรระดับต่ำไปจนถึงมังกรศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องยากที่คนรุ่นหลังจะบอกได้ว่าเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้สง่างามเพียงใดเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต

หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาพร้อมหยิบโอสถเทพประสานขึ้นมาดื่มอย่างเงียบงัน โอสถจะช่วยให้เขาต้านทานอากาศที่เป็นพิษในสุสานมังกรได้ เมื่อมาถึงทางเข้าสุสานมังกร หลินมู่อวี่ผูกม้าไว้ด้านนอกก่อนจะเดินถือกระบี่เข้าไป และพบกองกระดูกใต้แสงตะวันที่ส่องแสงสีทองจางๆ

หลินมู่อวี่ก้าวเข้าไปในสุสานมังกรทีละก้าวอย่างระมัดระวัง ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาและตรวจจับปราณของสิ่งมีชีวิตในสุสานมังกร แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจหลินมู่อวี่ขณะนี้ก็คือ…รัศมีพลังในสุสานมังกรนั้นแข็งแกร่งมาก เนื่องจากกองกระดูกยังมีพลังมังกรสถิตอยู่และรบกวนทักษะชีพจรวิญญาณอย่างมาก ดังนั้นมันจึงกลายเป็นทักษะที่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ที่นี่

“เสี่ยวซี เจ้าอยู่ที่ไหน?”

คิ้วคมของหลินมู่อวี่ขมวดแน่น เสื้อคลุมเปื้อนเลือดปปลิวไสวตามสายลมขณะที่เดินในสุสานมังกรอย่างโดดเดี่ยว…เปรียบเสมือนผู้มาเยือนจากแดนไกลที่เหม่อมองความสง่างามของเผ่ามังกร

ขณะเดียวกันทางเหนือของสุสานมังกร ฉินอิน ชวีฉู่ และทหารที่นำโดยเฟิงจี้สิงกำลังก้าวไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า

“สุสานมังกรอยู่ห่างออกไปอีกสองร้อยไมล์”

ชวีฉู่ขมวดคิ้วและเอ่ยถาม “องค์หญิงทรงประสงค์จะเข้าไปในสุสานจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ท่ามกลางสายลมยามเย็น ผมยาวของฉินอินยุ่งเล็กน้อย แก้มของนางเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเหนื่อยล้า ฉินอินเข้าป่าล่ามังกรมาหลายวันแล้ว และได้พักผ่อนเพียงสี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น แม้ว่าเฟิงจี้สิง ชวีฉู่ และคนอื่นๆ จะแนะนำให้ตั้งค่ายพักแรมและพักผ่อนในเวลากลางคืน ทว่าฉินอินยังคงยืนยันที่จะค้นหาต่อไป โชคดีที่มีชวีฉู่ผู้มีพลังแข็งแกร่งขอบเขตปราชญ์และการโห่ร้องข่มศัตรูที่น่ากลัวของเฟิงจี้สิง ทำให้กองทหารรอดปลอดภัยมาตลอดทาง

“อาวุโสฉู่…ท่านต้องตามหาเสี่ยวซีให้ได้…”

ฉินอินกัดริมฝีปากและพึมพำ “ส…เสี่ยวซีจะต้องไม่จากข้าไปเช่นนี้ ข้าไม่สามารถทิ้งนางไว้เบื้องหลัง แม้ว่าข้าจะต้องตายในป่าล่ามังกร ข้าก็ไม่เสียใจ!”

“องค์หญิง…”

ชวีฉู่ลังเลที่จะพูด

“อาวุโสฉู่ หากมีสิ่งใดในใจก็พูดมาเถิด” ฉินอินเอ่ยเสียงแผ่วเบา

ชวีฉู่ประสานหมัดและกล่าวว่า “อาวุโสผู้นี้ควรทูลอย่างตรงไปตรงมา อสูรจิ้งจอกเก้าหางตื่นขึ้นมาในร่างองค์หญิงซี มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดจนทำให้องค์หญิงอินต้องนำข้าราชบริพารติดตามมาถึงที่นี่ เหตุผลนี้เพียงพอแล้วที่อาวุโสจะได้รับโทษ…ชีวิตขององค์หญิงทรงมีความสำคัญใหญ่ยิ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของผืนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงยินดีจะสละชีพเพื่อองค์หญิงซีหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินอินตกใจจนดึงบังเหียนม้า น้ำตาเอ่อล้นจากดวงตาคู่งาม ไม่นานฉินอินก็ก้มลงเพื่อปาดน้ำตาและพูดด้วยรอยยิ้ม “แผ่นดินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน ทว่าเสี่ยวซีเองก็สำคัญกับข้า ข้ารู้ว่าข้าเห็นแก่ตัว แต่ขอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครานี้…หากไม่พบเสี่ยวซี ข้าคงไม่สามารถกลับไปเมืองหลันเยี่ยนได้”

ชวีฉู่พยักหน้ารับอย่างเจ็บปวด “อาวุโสฉู่น้อมรับพระราชดำรัสและจะติดตามองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

เฟิงจี้สิงถือดาบสะบั้นวาโยและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทว่ามีความเห็นชอบอย่างลึกซึ้งในแววตาของเขา บางทีสำหรับเฟิงจี้สิงอาจมีเพียงฉินอินเท่านั้นที่ควรค่าแก่การติดตาม

ท้ายที่สุดกองกำลังทุกฝ่ายก็เดินทางมายังสุสานมังกร…

เวลากลางดึก ถังปินนำกองทหารกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบคนมาถึงยังบริเวณด้านนอกของสุสานมังกร ขณะที่ทุกคนกำลังขี่ม้าเข้าไปโดยตรง ถังห่าวผู้มีประสบการณ์ช่ำชองพลันสูดอากาศเข้าไปและกล่าวว่า “ที่นี่มีอากาศเป็นพิษ ทุกคป้องกันร่างกายตัวเองและผูกม้าศึกไว้ด้านนอก มิเช่นนั้นเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ อาจต้องลำบากขึ้นหลายเท่า”

ถังปินพยักหน้า “อืม”

ขณะที่ทุกคนกำลังผูกม้า ทหารนายหนึ่งพลันชี้ออกไปยังที่ที่ห่างไกลและกล่าวว่า “น…นั่นมีม้าศึกผูกไว้…พระเจ้า สัตว์ประหลาดหลินมู่อวี่ได้มายังสุสานมังกรแล้ว!”

ถังปินกล่าวด้วยจิตสังหาร “หึ ดี! เรื่องนี้จะได้ง่ายขึ้น รีบเข้าไปในสุสานกันได้แล้ว และเตรียมลูกศรพิษไว้ด้วย! หากต้องเผชิญหน้ากับมันก็โจมตีได้เลย!”

ทหารต่างพยักหน้ารับ ถังปินเองก็อาฆาตแค้นอยู่ในใจ มิเช่นนั้นคงไม่สั่งให้ทหารใช้ลูกศรพิษ

แม้ว่ายาพิษจากเมืองชีไห่จะไม่ได้ร้ายแรงมากที่สุดในโลก ทว่าเดิมทีชื่อเสียงของจิ้งจอกอัคนีเป็นสัตว์ดุร้าย อีกทั้งตระกูลถังสามารถต้านทานพิษไฟได้ หากทาลูกศรด้วยพิษไฟและโจมตีใส่ศัตรู มันจะส่งพิษเข้าหัวใจทันที จากนั้นมีเลือดออกจากทุกทวารและเสียชีวิตในที่สุด…

กองทหารเมืองชีไห่ค่อยๆ เดินเข้าไปในสุสานมังกร แต่ละคนเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา กระนั้นส่วนใหญ่มิใช่วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนี แต่มีหลากหลายประเภทปะปนกัน มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลถังของเมืองชีไห่ที่บรรลุวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนี ถังปินและถังเสี่ยวซีอยู่ในกลุ่มผู้มีพรสวรรค์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับการยกย่องและเป็นที่ชื่นชอบของถังหลาน

ถังห่าวถือดาบกว้างพร้อมกวาดตามองรอบบริเวณอย่างไม่แยแส ก่อนจะเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมาเพื่อช่วยต้านทานอากาศพิษ ถังห่าวรู้ดีว่าตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในสุสานมังกร จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ ภายในใจเต็มไปด้วยสับสน เขาไม่รู้จะทำเช่นไรดี…

ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่เดินค้นหาจนทั่วสุสานมังกรก็ยังไม่พบถังเสี่ยวซี เขาทำได้เพียงก่อกองไฟย่างอาหารเพื่อเติมพลังกาย มิเช่นนั้นเมื่อมีศัตรูที่แข็งแกร่งมาเยือน เขาคงไม่มีโอกาสได้กินอีก

หลังจากกินกวางไปครึ่งตัวหลินมู่อวี่ก็ลูบหน้าท้องด้วยความรู้สึกอิ่มเอม ขณะที่มังกรน้อยแทะขากวางที่เหลืออยู่จนหมด จากนั้นก็กลับเข้าไปในมิติอย่างพึงพอใจ

ชั่วพริบตาก็เป็นเวลาพลบค่ำ หลินมู่อวี่ลุกขึ้นและออกค้นหาต่อ เขาไม่ต้องการที่จะอยู่เฉยๆ และอดไม่ได้ที่จะกังวล…ตอนนี้ถังเสี่ยวซีจะปลอดภัยหรือประสบเหตุร้ายหรือไม่…

แสงจันทร์นวลสาดส่องลงบนสุสานมังกร แสงสีเงินสะท้อนแพรวพราวบนโครงกระดูก ภายใต้กระดูกมังกรมีเด็กสาวผู้งดงามนอนขดอยู่ในนั้น นางสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและดูแปลกประหลาดเล็กน้อย เนื่องจากมีหางเพลิงสีแดงด้านหลังกวัดแกว่งไปมา

หลังจากผ่านไปหลายวัน ถังเสี่ยวซีก็ยังไม่รู้ว่าจะคืนร่างเดิมได้อย่างไร ทว่าอย่างน้อยก็ได้เรียนรู้วิธีควบคุมพลังธาตุไฟ นางจึงรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในร่างกาย มิเช่นนั้นคงได้เผาเสื้อผ้าที่ขโมยมาจนไหม้อีกครั้ง

ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาราเหม่อมองดวงจันทร์บนท้องนภา ทันใดนั้นถังเสี่ยวซีก็นึกถึงครั้งแรกที่มาเยือนสุสานมังกร ครานั้นมีหลินมู่อวี่และฉินอินอยู่เคียงข้าง นอกจากถังหลานแล้ว…สองคนนี้เป็นบุคคลสำคัญที่สุดสำหรับเสี่ยวซี

ร่างกายของนางสั่นเทิ้มและพึมพำออกมา “มู่มู่ เสี่ยวอิน พวกเจ้าอยู่ที่ไหน…ข้าจะมีโอกาสได้พบพวกเจ้าอีกหรือไม่ในภายภาคหน้า…”

ทว่าในแอ่งน้ำที่อยู่ไม่ไกล…ถังเสี่ยวซีเห็นภาพสะท้อนของตนเอง หางเพลิงทั้งเก้าส่ายไปมาเล็กน้อย แม้ว่าพวกมันจะดูสวยงาม แต่นางจะให้หลินมู่อวี่และฉินอินเห็นสภาพนี้ได้อย่างไร?

ถังเสี่ยวซีรู้สึกผิดในใจขณะที่นั่งกอดเข่า นางอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญขณะที่หูจิ้งจอกทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย หางเพลิงกวัดแกว่งไปมาราวกับต้องการเตือนถังเสี่ยวซีถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง

ไม่รู้ว่าเวลาผันผ่านนานเพียงใด ทันใดนั้นก็มีแสงคบเพลิงสว่างไสวมาจากระยะไกล เสียงคนคุยลอยมากับสายลม “องค์ชาย…มีเปลวไฟสว่างออกมาจากกองกระดูกด้านนั้น”

“ไปตรวจสอบซะ”

“ขอรับ”