Ep.300 ตราบใดที่เจ้ามา...มันจะไม่มีวันสายเกินไป

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

Ep.300 ตราบใดที่เจ้ามา…มันจะไม่มีวันสายเกินไป

“อะไรกัน!?”

ถังเสี่ยวซีได้ยินเสียงที่คุ้นเคยมาแต่ไกล นางทนรับความโศกเศร้าไม่ได้อีกต่อไป ในที่สุดก็สามารถปลดปล่อยความคับข้องใจที่มี ถังเสี่ยวซีพลันกระโดดออกจากกองกระดูก ฝ่าเท้าขาวย่ำลงบนเปลวเพลิงโดยไม่แตะพื้นและวิ่งตรงไปยังทิศที่มีคบเพลิง หางเพลิงทั้งเก้าด้านหลังกระดิกไปมาเนื่องจากความตื่นเต้นของเจ้านาย

“ท่านพี่…”

วินาทีที่นางโผล่พ้นจากป่า ก็มองเห็นถังปินอยู่ใต้แสงคบเพลิงนั้น

ถังปินและคนอื่นๆ ต่างหันมาเห็นถังเสี่ยวซีภายใต้แสงจันทร์ นางยังคงสง่างามดังเดิม เพียงแต่หางเพลิงที่กวัดแกว่งด้านหลังนั้นช่างดูน่าประหลาด อีกทั้งมีพลังเพลิงจางๆ ว่ายเวียนรอบกาย ดวงตาสีทองซีดคู่นั้น…สำหรับถังปินและคนอื่นรู้สึกว่ามันน่ากลัวมากกว่าสวยงาม

“ฆ่านางอสูรจิ้งจอกเก้าหางนั่นเสีย!”

ถังปินกางฝ่ามือ ทันใดนั้นผนึกสวรรค์ก็ปรากฏขึ้น!

‘ตูม!’

ตราผนึกเพลิงร่วงลงมาจากฟ้า ตรงดิ่งสู่เหนือศีรษะของถังเสี่ยวซี ทว่าก่อนที่ผนึกแห่งสวรรค์จะระเบิด สัญลักษณ์สีทองก็ทะยานออกจากร่างของถังเสี่ยวซี ‘เปรี้ยง!’ เสียงระเบิดดังกึกก้อง สัญลักษณ์นั้นลอยเด่นอยู่บนท้องนภาปกป้องถังเสี่ยวซีไว้!

“ผ…ผนึกวิญญาณ…”

ถังปินตกตะลึง ผนึกวิญญาณคือผนึกจิ้งจอกอัคนีขั้นที่แปด เป็นวิชาที่ทำได้ยากแม้ฝึกมาแรมปี ทว่าถังเสี่ยวซีที่อยู่ตรงหน้ากลับใช้ผนึกวิญญาณนี้ได้อย่างแคล่วคล่อง! ถังปินใจเต้นระรัว แม้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางตรงหน้าจะมีน้ำเสียงกับรูปลักษณ์ของถังเสี่ยวซี ถึงกระนั้นถังปินไม่อาจทนรับได้ หากถังเสี่ยวซีที่บรรลุวิชาชั้นแปดของผนึกจิ้งจอกอัคนีกลับไปยังเมืองชีไห่เมื่อใด เกรงว่าถังหลานจะยกบรรดาทรัพย์สมบัติให้แก่นางโดยไม่ลังเล

“พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ฆ่านางจิ้งจอกนั่นเสีย อย่าให้มันทำร้ายชาวเมืองได้!” ถังปินพูดด้วยความเกรี้ยวกราด

ดาบในมือถังปินเริ่มสั่นเทิ้มพลางกล่าวออกไป “เสี่ยวซี นั่นเจ้าใช่หรือไม่?”

ถังเสี่ยวซีก็สั่นเช่นกัน นัยน์ตาสีทองของนางมองไปยังถังห่าว “ท่านลุง…นี่เสี่ยวซีเอง ไยท่านจึงอยากฆ่าข้า?”

ถังห่าวจ้องมองถังเสี่ยวซีด้วยแววตายากจะคาดเดา “เสี่ยวซี…”

“ไม่ได้ยินคำสั่งข้ารึ!?”

ถังปินคำรามลั่น พุ่งออกไปในทันทีพร้อมกับเปลวเพลิงพวยพุ่งทั่วร่าง “นั่นไม่ใช่เสี่ยวซี ก็แค่นางจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้น ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!”

พลังแห่งธาตุทั้งห้าปะทุขึ้นบนฝ่ามือ ขั้นที่เจ็ดของผนึกจิ้งจอกอัคนี ผนึกปัญจธาตุ! เป็นกระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของถังปิน ทว่าครานี้ต้องใช้มันปะทะกับพลังจิ้งจอกอัคนีขั้นที่สิบของถังเสี่ยวซีที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

ทว่าถังเสี่ยวซียังยืนอยู่เฉยๆ หางเพลิงทั้งเก้าสะบัดไปมาอย่างเชื่องช้า นางยกฝ่ามือ พลันปรากฏผนึกทองคำขึ้น มันคือผนึกจุติซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของผนึกจิ้งจอกอัคนี!

“ตูม!”

ผนึกปัญจธาตุของถังปินแตกสลายในบัดดลไม่ต่างจากสุนัขป่าที่พ่ายต่อเสือร้าย ผนึกจุติของเสี่ยวซีส่องโชติช่วงอยู่เบื้องหน้าถังปิน ตราบที่นางใช้พลัง…ถังปินจะถูกตรึงและกดทับพลังไว้ ทว่าเสี่ยวซีมิอาจลงมือ พลังของผนึกจุติจึงอันตรธานหายไปเหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

“ฟู่…”

ถังปินยืนร่างสั่นเทิ้มทว่าหาได้สำนึกไม่ ยังมุ่งแต่จะฆ่าถังเสี่ยวซีเพียงเท่านั้น เขาตะคอกด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถังมิน ถังเฉียง ถังฉี! พวกเจ้ารออะไรกัน ยิงมันเดี๋ยวนี้!”

เหล่าคนสนิทของถังปินยกคันธนูยาวยิงฝนธนูออกไป!

ผลที่ตามมาของศรพิษอัคคีเหล่านี้ไม่สามารถคาดเดาได้หากถูกมันยิงเข้า ถังห่าวเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบตะโกนขึ้น “ช้าก่อนท่านอ๋องน้อย นั่นเสี่ยวซีนะขอรับ!”

น้ำตาเอ่อนองในตาของถังห่าว ด้วยไม่รู้จะหยุดคนที่เต็มไปด้วยจิตสังหารเช่นถังปินได้อย่างไร

ใต้แสงจันทรา ถังเสี่ยวซีแหวกว่ายอยู่กลางอากาศพลางสะบัดหางเพลิงทั้งเก้าปัดเบี่ยงศรที่พุ่งเข้าหา ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงรอบกายของนางยิ่งโหมแรงทวีคูณ นางสามารถสังหารหมู่คนตรงหน้าได้ราวมดปลวก ทว่ามิอาจจะทำร้ายได้ลง…เพราะคนพวกนี้เคยช่วยชุบเลี้ยงตนจนเติบใหญ่ ทั้งยังเคยเล่นสนุกกันครั้งเยาว์วัย

“ชิ้ง!”

ถังปินชักกระบี่จากเอวของบริวารด้วยแววตาหวาดกลัว เขายืนขึ้นและฟันไปในอากาศ สามคลื่นแสงจากดาบสะท้อนออกไปหาถังเสี่ยวซีโดยตรง!

“ตูมๆๆ…”

เสียงกัมปนาทดังขึ้นสามครั้ง พลังอันเหลือล้นจากหางเพลิงก็ป้องกันการโจมตีจากถังปินได้อย่างง่ายดาย ถังเสี่ยวซีแบมือ แสงสีทองของผนึกวิญญาณปรากฏขึ้น “ท่านพี่ อย่าบีบให้ข้าต้องสังหารท่านเลย”

ถังปินโกรธเกรี้ยวก่อนยกดาบขึ้นฟาดฟันอีกครั้ง “พวกปีศาจไม่ควรมีอยู่ในตระกูลถัง หากเจ้ายังห่วงชื่อเสียงตระกูลก็จงตายเสีย อย่าได้อยู่ทำลายตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่ให้เสียเกียรติ!”

ถังเสี่ยวซียิ้มด้วยความสังเวชใจ ผนึกวิญญาณบนฝ่ามืออันตรธานไป กลายเป็นเปลวเพลิงขึ้นมาแทนที่”

“ตูม!”

ร่างของถังปินร่วงหล่น ซี่โครงหักหลายซี่จนถึงขั้นกระอักเลือด! กระนั้นเขายังคงฝืนจะลุกขึ้น กำดาบไว้แน่นและกล่าวด้วยความโกรธแค้น “มากับข้าและจัดการนางนั่นเสีย มิเช่นนั้นตระกูลถังคงจบสิ้นแน่!”

ความรู้สึกสิ้นหวังปรากฏขึ้นในแววตาสีทองของถังเสี่ยวซี นางกล่าวพึมพำ “อย่าบังคับข้า…”

ทว่าคนพวกนั้นก็ยังพุ่งเข้ามาพร้อมกับหอกที่เสริมด้วยปราณยุทธ์ ก่อนจะทะลวงสู่ร่างของถังเสี่ยวซี ชาวเมืองชีไห่เสียสติไปเสียแล้ว!

“จงตายเสียให้หมด!”

ถังเสี่ยวซีกระโจนขึ้นทันที เปลวเพลิงแล่นวาบไปทั่วร่างขณะลอยอยู่เหนือพื้นดิน วิชาผนึกวิญญาณ!

“ตูม!”

พลังอันมหาศาลก่อคลื่นกระแทก จนคนกลุ่มศัตรูกระอักเลือดและล้มตายคาที่!

“นางเป็นปีศาจ…ปีศาจในคราบนางสวรรค์!” ใบหน้าถังปินซีดเผือด เขาใช้ดาบชี้ไปยังถังเสี่ยวซีพลางหัวเราะ “มันเผยตัวตนออกมาแล้ว ฆ่ามัน!”

ถังเสี่ยวซียิ้มและหัวเราะด้วยความขมขื่น ร่างบอบบางใต้แสงจันทร์ส่องประกายของนางช่างน่าเวทนายิ่ง

ทว่าถังปินกับคนอื่นๆ มิได้รู้สึกเสียใจ พริบตาเดียวคนอีกกลุ่มก็เข้าจู่โจมพร้อมกับดาบและลูกธนูที่แหวกอากาศไป ถังเสี่ยวซีขบเขี้ยวสีเงิน ร่ายผนึกปัญจธาตุอีกครั้ง ส่งผลคนนับสิบจบชีวิตลงทันทีอย่างน่าเวทนา เมื่อพลังป้องกันของเสี่ยวซีค่อยๆ เบาบางลง…

“ฉึก!”

ลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้าตรงไหล่บางของนางจนเลือดไหล นอกจากนั้นยังมีแผลจากคมดาบอยู่ที่แขนกับท้องอีก ทว่าสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้นางไม่ใช่บาดแผลแต่กลับเป็นถังปิน เพราะสิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือความไม่แยแสของพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกัน ความเจ็บปวดราวกับลูกศรนับพันที่ทะลวงหัวใจนั้น…ทำให้ถังเสี่ยวซีอยากดิ้นรนเอาชีวิตรอดให้ได้!

“พอได้แล้ว!”

ถังห่าวรีบกางแขนขวางถังปินไว้ก่อนตะโกนเสียงดัง “ท่านอ๋องน้อย นางยังเป็นเสี่ยวซีอยู่นะขอรับ จะมีสักกี่คนที่ยินดีกับการสูญเสียเพียงนี้!? ได้โปรดอย่าทำร้ายนางอีกเลย!”

ถังปินส่งสายตาเย็นชาก่อนยกฝ่ามือร่ายผนึกสังเวยดวงดารา “ท่านลุงห่าวหลีกไปเสีย มิฉะนั้นท่านจะเป็นรายต่อไป”

ถังห่าวค่อยๆ หลับตาลงพร้อมดวงตาปริ่มน้ำ “ข้าเฝ้าดูพวกท่านเติบโตมา ข้ามิอาจทนได้หากต้องมาเห็นพวกท่านเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้ สังหารข้าเสียเถิด อย่าให้ข้าต้องเห็นอะไรเช่นนี้อีกเลย”

“วิ้ง!”

ผนึกสังเวยดวงดาราของถังปินปรากฏ!

ทว่าถังห่าวกลับไม่บาดเจ็บอันใด เมื่อเขาลืมตาก็พบว่าถังเสี่ยวซียืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับหางเพลิงทั้งเก้าที่สะบัดไปมา นางปกป้องเขาจากผนึกสังเวยดวงดารา!

ถังเสี่ยวซีถ่มเลือดที่กบในปาก อาภรณ์นางขาดวิ่นไปด้วยฤทธิ์แห่งผนึกสังเวยดวงดารา ทั้งร่างโชกไปด้วยเลือด จนพวกเด็กๆ ไม่อาจทำใจมองได้ลง

“ท่านพี่…”

ถังเสี่ยวซีเช็ดเลือดตรงมุมปาก กล่าวด้วยวาจาอันสงบพร้อมกับรอยยิ้ม “หากข้านั้นขวางทางท่านพี่ เช่นนั้นจงฆ่าข้าเสียเถิด ท่านนั้นทำร้ายข้ามาแต่ครั้งเยาว์วัยแล้ว ข้าคงสมควรตายจริงๆ…”

เมื่อกล่าวจบถังเสี่ยวซีค่อยหลับตาลงและยืนยอมรับชะตากรรม

“ท่านอ๋องน้อยถังปิน อย่า!” ถังห่าวตะโกน

ถังปินถือดาบเดินกะเผลกเข้าไป หวังจะให้ดาบทะลวงร่างของถังเสี่ยวซีและยุติทุกสิ่ง!

เมื่อคราวที่ทุกคนคิดว่าถังเสี่ยวซีจะถูกสังหารนั้น พลันปรากฏแสงสีทองสาดขึ้นไปในห้วงอากาศ ร่างของใครบางคนพุ่งลงมาด้านหน้าของถังเสี่ยวซีดังอสุนีบาต เป็นเวลาเดียวกับที่ถังปินปรี่เข้าจู่โจมตวัดดาบเข้าใส่!

“ฉับ…”

ถังปินถอยหลังไปช่วงก้าวหนึ่งด้วยผลของแรงแค้นที่ย้อนกลับเข้าตัว เขาแตะคอที่มีบาดแผลเอ่อด้วยโลหิตเพราะถูกฟันจนแทบขาดสะบั้น!

หลินมู่อวี่ตาแดงก่ำพร้อมจิตมุ่งสังหารเต็มอก เลือดที่ชโลมกระบี่วิญญาณมังกรในมือเขาหยดลงบนพื้นหญ้า หลินมู่อวี่กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่ได้เป็นคนแซ่ถัง ข้าหาได้แยแสไม่หากต้องตัดหัวไอ้สวะของตระกูลนี่”

ถังเสี่ยวซีลืมตาขึ้นโดยไม่สนใจถังปินที่ล้มอยู่บนพื้น นัยน์ตานางอ่อนโยนลง หลินมู่อวี่เข้ามาอยู่ตรงหน้านางราวจะปลอบประโลมจิตใจ

“มู่มู่…” น้ำตาของนางไหลพราก

หลินมู่อวี่หันไปสวมร่างอันบอบบางของเสี่ยวซีไว้ในอ้อมอก แววตาที่เย็นชาตอนนี้เสมือนธารหิมะที่ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวซี ข้ามาช้าไป…ข้าขอโทษ”

“ไม่สายไปหรอก…มันยังไม่สายเกินไป” ถังเสี่ยวซีร่ำไห้ “ตราบใดที่เจ้ามา มันจะไม่มีวันสายเกินไป”

ชาวเมืองชีไห่ต่างตกตะลึงท่ามกลางความอลม่าน หนึ่งในนั้นยกดาบยาวขึ้นและกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หลินมู่อวี่ จ…เจ้าเป็นคนฆ่านายน้อยถังปินแห่งชีไห่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน!?”

หลินมู่อวี่เงยหน้ามองชายผู้นั้น “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รีบเข้ามาจัดการข้าเล่า?”

“เจ้า!”

พวกชาวเมืองชีไห่พากันอ้ำอึ้ง ได้แต่มองไปยังร่างที่ทอดบนพื้นของถังปิน พวกนั้นไม่กล้าเข้ามาจากตรงนั้น ช่างน่าสมเพชนัก

กลายเป็นถังห่าวที่ก้าวเข้ามาและเก็บร่างของถังปินก่อนรำพึง “เสี่ยวซี ข้าไม่นึกเลยว่าเหตุมันจะกลายเป็นเช่นนี้ ข้า…”

ถังเสี่ยวซีซบร่างในวงแขนของหลินมู่อวี่ ดวงตาสีทองฉายแววอ่อนโยน “ท่านลุงห่าว โปรดนำร่างท่านพี่กลับไปยังชีไห่และบอกท่านปู่ด้วยว่าข้าขอโทษ”

ถังห่าวผงกศีรษะรับ “ข้าจะบอกเขาเอง”