ตอนที่ 129-3 กามโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ให้กำเนิดบุตรชาย

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรไปเจ้าคะ” ชูซย่าถามเสียงแผ่วเบา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องหน้านาง แววตาส่องประกายพลางเย้ยหยัน “วันนี้ในตอนเช้า ใครหน้าไหนมาบอกท่านย่าตั้งแต่เช้าตรู่ว่ามีพระอาจารย์จาริกมายังวัดอารามที่ชานเมือง อีกทั้งใครหน้าไหนแนะนำให้ท่านย่าพาสตรีทั้งครอบครัวไปจุดธูปเล่า”

 

 

ชูซย่าเข้าใจแล้ว เป็นเหลียนเหนียงนี่เอง ช่วงเวลาหัววันที่จวนเหลียนเหนียงตั้งใจดึงสตรีในจวนไปให้หมด อีกทั้งยังรู้ว่าช่วงวันเหล่านี้คุณหนูใหญ่จะอยู่ห้องอ่านตำราทั้งวัน ไม่น่าจะออกไป พอถึงเวลาก็มีแค่นางคนเดียวที่อยู่จวน ดังนั้นวันนี้อวิ๋นหว่านเฟยจึงโกหกอวิ๋นหว่านชิ่นให้มาเยี่ยม ถึงได้ราบรื่นขนาดนั้น! เพียงแต่หากมีผู้อาวุโสคนอื่นหรือสตรีในจวนอยู่บ้าน เรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นช่วงคุณหนูใหญ่กำลังจะแต่งงานหรอก! และนางอวิ๋นหว่านเฟยนั่น บางทีคงมีช่องทางลอบโจมตีล่วงหน้ามาก่อน ถึงรู้ว่าอนุคนใหม่ตระกูลอวิ๋นไม่กินเส้นกับคุณหนูใหญ่ ดังนั้นคงมาหาเหลียนเหนียงที่เป็นไส้ศึก ให้พาคนในบ้านออกไปให้หมดก่อนสินะ!

 

 

นายและบ่าวสองคนใช้ความคิดคาดคะเน พลางเข้าห้องไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเร่งรีบเปลี่ยนชุดชาวบ้านที่ได้จากสวนผลซิ่งก่อน เปลี่ยนเป็นชุดปกติประจำวันของตน

 

 

เพิ่งจะจัดการเรียบร้อย มอมอที่มาจากทางเรือนตะวันตก ก็กล่าวนอกม่านว่า “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว บ่าวต่างวิ่งเต้นไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดรอบแล้ว เหล่าไท่ไท่เห็นท่านกลับมาสาย ก็เกือบให้องครักษ์ไปตามหาแล้ว”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดเสียงหวานกังวาน “เดี๋ยวข้าจะตามเจ้าไปที่เรือนตะวันตก ไปบอกท่านย่าเถิด” มอมอขานรับคำสั่ง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินนำชูซย่าไปเรือนตะวันตก พอถึงตรงใต้บันได ก็ได้ยินเสียงอนุฟางดังออกมาจากห้องเป็นระยะๆ “…ต่างพูดกันว่าคุณหนูใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสง่างามยิ่ง เหมาะสมนัก ไม่มีเรื่องใดจะสามารถทำให้เกิดความผิดพลาดได้ เหอะๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เด็กน้อยที่ยังไม่ได้ออกเรือน จะไม่ผิดพลาดได้อย่างไรกัน วันนี้เหล่าไท่ไท่คอยดูเถอะ ไม่ใช่ว่าออกไปทำธุระที่บ่อน้ำพุร้อนนั่นแล้ว…หรอกหรือ เหล่าไท่ไท่ส่งคนไปตามหาเถิด สุดท้ายแล้วจะออกเรือนไปเป็นชายาเอกของจวนอ๋อง ไฉนเช่นนี้จึงไม่รอบคอบไม่เอาใจใส่เล่า จวนจะแต่งงานอยู่แล้ว ออกไปตามอำเภอใจก็พอแล้ว เสร็จจากงาน คิดจะไปไหนก็ไป จนฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน จะโดนคนรู้เอาน่ะสิ ต่อให้ราชวงศ์ไม่รังเกียจ สหายขุนนางของนายท่านจะว่าพวกเราว่าตระกูลอวิ๋นไม่อบรมสั่งสอน ลูกสาวคนโตเป็น…สุดท้ายถงเอ๋อร์ของข้า ก่อนแต่งงานก็ต้องอยู่แต่ในเรือนไม่ก้าวข้ามประตูออกไปไหน น่ารักน่าเอ็นดูกว่าเยอะ”

 

 

“อนุฟางหยุดพูดเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่ว่าบอกทางนั้นแล้วหรือ พูดถึงคุณหนูใหญ่ก็กลับมาพอดีเลย” ฮุ่ยหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงประนีประนอม

 

 

ภายในห้อง คนรับใช้เปิดม่านขึ้น ก้มศีรษะพลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

อนุฟางจึงรีบกลืนคำพูดโดยพลัน เงียบเสียง เครียดขึ้งอย่างมาก พูดลับหลังอย่างสนุกสนานเช่นนี้ เนื่องจากมีสารกรมธรรม์อยู่ พอเผชิญหน้า จะโมโหใส่หญิงสาวผู้นี้กลับไม่กล้าด้วยซ้ำ

 

 

ถงซื่อสวมใส่เสื้อตัวนอกสีเขียวที่คอเสื้อมีลวดลายนกยูง ส่วนชุดคลุมยาวภายนอกเป็นลายเถาวัลย์เหมือนม้วนกระดาษ กำลังนั่งไขว่ห้างบนเตียงคั่งที่อยู่ติดหน้าต่าง ที่ใต้เตียงคั่งก็กำลังจุดไฟอยู่ ทำให้ภายในห้องอบอุ่นขึ้นมา ทว่าตอนนี้สีหน้ากลับไม่ดีนัก ไม่เหมือนทุกครั้งที่ได้เจอหน้าหลานสาวที่จะมีท่าทางอ่อนโยนใจดี

 

 

สีหน้าไม่ดีอย่างนั้นรึ ต่อให้ไม่มีอะไร ถูกอนุฟางมากระซิบกระซาบข้างหูราวกับหนูมารอบหนึ่ง ก็อาจจะคิดมากได้ อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปหาท่านย่า พลางกวาดสายตามองอนุฟาง เหมือนมองอย่างเรียบเฉย แต่ในความเป็นจริงคือเย็นชาดุร้ายยิ่ง อนุฟางที่ถูกมององคาพยพก็สั่นสะท้านทั่ว จึงก้มหน้าลงไป ภายในปากกลับส่งเสียงขบฟันกรอดอย่างไม่ยอมรับ

 

 

พอเดินมาถึงหน้าถงซื่อ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยกชายกระโปรงเบาๆ สวยพริ้มเพราดั่งเคย เป็นธรรมชาติ และไม่มีความประหม่าเพราะกลับมาดึกดื่น เพียงยิ้มหวานเอ่ยว่า “เห็นท่านย่าที่ไปวัดเก่าแก่มาก็ยิ่งดูเปล่งรัศมีมากขึ้น ต้องได้พบพระอาจารย์ผู้นั้นเป็นแน่ หรือต่อให้ไม่ได้พบ ก็ต้องได้คำทำนายเซียมซีมงคลมาแน่นอน” ออกไปแต่เช้าขนาดนั้น ต้องได้พบแน่ๆ อีกทั้ง สตรีทั้งครอบครัวก็ล้วนไปด้วย อาจมีสักคนที่เสี่ยงเซียมซีมา!

 

 

ต่อให้ตอนนี้ถงซื่อจะตำหนิหลานสาว พอได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นมา ถึงไม่บอกนาง นางก็รู้ว่าตนไปพบพระอาจารย์และเสี่ยงเซียมซีมา พอนึกถึงเซียมซีในวันนี้ ในใจก็ยิ่งคลายทุกข์มากขึ้น แต่อารมณ์น้อยใจก็ยังไม่หายไปไหน กลับขมวดคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิว่า “วันนี้ให้เจ้าไปวัดกับย่า เจ้าก็ไม่ไป แต่กลับออกไปข้างนอกคนเดียวจนตอนนี้เพิ่งจะกลับ ข้าได้ยินพ่อบ้านม่อพูดมาว่าเจ้ารองล้มป่วย เลยให้สาวใช้มาตามไป๋ซื่อไปดู เจ้าไปเยี่ยมก็พอว่า ทว่าเยี่ยมเสร็จ ไฉนมืดค่ำแล้วค่อยกลับบ้านเช่นนี้เล่า เจ้าก็นี่นะ” พูดจบ แววตาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

 

 

ไม่กี่วันก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นแอบไปร้านเซียงหยิงซิ่วแต่เช้า กลับก็ตอนเช้า อีกทั้งยังหลบหลีกผู้คน ไม่เหมือนวันนี้ที่มืดค่ำขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจที่ถงซื่อจะไม่ชอบ

 

 

อนุฟางเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นที่โดนตำหนิ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก แต่กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเงยใบหน้าดุจดอกพุดตานขึ้น เผชิญหน้ากับถงซื่อ “เป็นอย่างที่ท่านย่าได้พูดมา น้องรองล้มป่วย จึงให้สาวใช้มายังที่นี่ร้องห่มร้องไห้กราบขอร้อง ท่านแม่ที่อยู่ห้องพระ ไม่เหมาะสมจะออกมา ในเวลานั้นที่จวนไม่มีผู้อาวุโสหรือสตรีในครอบครัวอยู่ หากชิ่นเอ๋อร์ไม่ไป ก็กลัวแค่ว่าจะโดนคนอื่นว่าท่านพ่อและคนในตระกูลอวิ๋นว่าใจดำเอา ท่านพ่อในตอนนี้เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้ากรม ส่วนชิ่นเอ๋อร์ก็มีพิธีสมรสกับราชวงศ์ จะไปห้ามไม่ให้คนพูดได้อย่างไรกัน เช่นนี้จึงให้พ่อบ้านม่อเตรียมรถ แล้วเดินทางไปเจ้าค่ะ” 

 

 

อนาคตของลูกชายและโชคยศถาบรรดาศักดิ์เป็นจุดอ่อนของเหล่าไท่ไท่มาโดยตลอด กอปรกับการแต่งงานกับราชวงศ์ ถงซื่อไหนเลยจะพูดอะไรได้อีก จึงคลายปมคิ้วที่ขมวดลง แล้วฟังอวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยต่ออีกครั้ง “…หลังออกไป ชิ่นเอ๋อร์คิดว่า ในเมื่อจะแต่งงานแล้ว จึงไปจวนท่านลุงด้วยตนเองอย่างไม่ลังเลใจ แม้ว่าท่านพ่อจะส่งคนไปแจ้งแล้ว ให้เทียบเชิญแล้ว ทว่าสุดท้ายข้าที่เป็นหลานสาวก็ไม่ได้ไปหาด้วยตัวเองสักครั้ง ท่านย่าก็รู้ ด้วยการแต่งงานของข้าท่านลุงกับท่านพ่อ เรื่องที่บาดหมางกันก็ยังไม่ได้แก้ไข หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน พอข้าไปหา ท่านลุงก็จะว่ากล่าวท่านพ่อน้อยลงอย่างชัดเจน แม้ว่าตระกูลท่านแม่และท่านลุงของข้าจะมิใช่ขุนนางชั้นสูงอะไร แต่ก็ได้คบค้าสมาคมกับเหล่าพ่อค้าชนชั้นสูงที่อยู่เบื้องหลังในวังอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งที่พูดคุยต่อหน้าชนชั้นสูง ไม่แน่ว่าอาจจะมีอำนาจมากกว่าขุนนางทั่วไปเสียอีก หากท่านลุงและท่านพ่อสมานฉันท์กัน ท้ายที่สุดก็ย่อมมีผลดีต่อตระกูลอวิ๋นอยู่แล้ว เช่นนี้เองชิ่นเอ๋อร์ที่อยู่จวนท่านลุง ก็พูดเช่นนี้เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”

 

 

ถงซื่อไฉนจะไม่รู้เรื่องสมบัติของตระกูลสวี่และฝีมือ พอได้ฟังก็พยักหน้าหงึกๆ “ไม่เลว ไม่เลวเลย เหตุผลนี้เอง ยิ่งมีสหายมากเส้นสายก็มาก ยิ่งมีศัตรูมากขวากหนามก็มากตามสินะ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีก็เป็นคนในตระกูลตัวเองนี่นะ! ใช้โอกาสการแต่งงานของเจ้าครั้งนี้ ให้ตระกูลอวิ๋นและตระกูลสวี่ได้ปรองดองสมานฉันท์กัน ให้ลุงเจ้าและพ่อเจ้าคืนดีกัน สนิทสนมกันหน่อย เรื่องที่ดีจริงๆ! ชิ่นเอ๋อร์ที่เจ้าทำไปถูกต้องแล้ว ใจที่คิดเพื่อตระกูลอวิ๋นและลุงของเจ้านั้น วางตัวได้อย่างเหมาะสม คิดรอบคอบกว่าผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าสิบกว่าปีเสียอีก เฮ้อ ข้าเองที่เลอะเลือนแล้ว ที่ตำหนิเจ้าไปโดยไม่ถามให้แน่ชัด…”

 

 

“ท่านย่าพูดอะไรเช่นนั้น เป็นชิ่นเอ๋อร์เองที่ทนไม่ได้” อวิ๋นหว่านชิ่นขัดจังหวะท่านย่าโทษตนเองแทน แล้วนั่งลงบนเตียงคั่งอย่างใกล้ชิดอบอุ่น โน้มตัวพิงถงซื่อ แล้วทำเป็นไม่มองอนุฟางที่อยู่ข้างๆ “จะตำหนิท่านย่าได้อย่างไร หากจะตำหนิ ก็ตำหนิคำพูดที่เล่าต่อมาเหล่านั้นไม่มีความชัดเจนพอ ยังจะพูดจาไร้สาระข้างท่านย่า คล้ายกับกลัวว่าใต้กล้านี้จะยังวุ่นวายมิพอ”

 

 

อนุฟางก้มหน้าก้มตา ยังคงแบกรับสายตาดุจคมมีดของคุณหนูใหญ่ แล้วพึมพำอยู่เงียบๆ ที่หนีไม่พ้นคือโดนสาวน้อยผู้นี้ด่า กลับมาครั้งนี้ยังให้ตนชมฉากเล่นละครตบตาอีก คงระบายความคับแค้นใจออกไปได้แล้วกระมัง ไม่คิดคาดว่านางจะมาไม้นี้ พูดเพียงไม่กี่ประโยค บิดเบือนสถานการณ์ เหล่าไท่ไท่ก็ไม่ตำหนินางแล้ว กลับมาโทษตัวเองแทน สาวน้อยคนนี้ สุดท้ายแล้วก็คือนางปีศาจ!