ถงซื่อที่เห็นหลานสาวจ้องมองอนุฟาง ก็รู้ว่าต้องหาทางลงให้ตัวเอง แต่ก็แสนจะเกลียดขี้ปากของอนุฟางอยู่บ้าง จึงตำหนิว่า “ในปากเจ้าพึมพำอันใด ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังร้องจิ๊บๆ เหมือนนกกระจอกนั่นหรอกหรือ ไยข้าถึงได้ฟังความแค่ครึ่งเดียว จนเกือบจะเข้าใจชิ่นเอ๋อร์ผิดไปแล้ว เจ้ามีประโยชน์อะไรบ้าง ไม่รู้ตัวหนังสือ ไม่มีเหตุผล ให้ดูแลงานบ้านเจ้าก็ดูแลไม่ได้ ลูกสาวที่คลอดมาก็ไม่เลี้ยงดู มีตำแหน่งเข้าหน่อยก็โมโหไม่เลือกหน้า หายใจแรงมาก็ไม่ได้ กลับมาบ้านก็ยังจะมาสะบัดหน้าให้พวกข้าเห็นอีก! กระทั่งตอนนี้นายท่านยังไม่เรียกเจ้าปรนนิบัติเลยด้วยซ้ำ เจ้าก็เริ่มรู้แค่การนินทาสินะ! ว่าคนอื่นลับหลัง หากครั้งหน้ายังมีอีก เห็นได้ชัดว่างานแต่งงานมงคลเช่นนี้ ก็จะโดนเจ้าพูดคลุมเครือจนข้าอารมณ์ไม่ดีได้ ข้าจะพูดกับเจ้าว่า วันหลังอยู่กับข้าเงียบปากสัย ข้าถาม เจ้าค่อยเปิดปากพูดได้ เจ้าก็ทำว่าเป็นใบ้ไป ข้าไม่อยากฟังเจ้าอธิบาย!” ยิ่งพูดยิ่งโมโห จนสุดท้าย ถงซื่อเอื้อมมือไปหยิบไม้เท้า มาเคาะที่ศีรษะอนุฟางทันที
ทุกคำที่เอ่ยออกมา ก็ราวกับค้อนที่หนักอึ้ง ฟาดอนุฟางอย่างโหดร้าย ทั้งหมดเป็นเรื่องน่าอายที่นางไม่ควรเอ่ยถึง ถูกตีจนสีหน้าทั้งม่วงทั้งแดง ตอนนี้ถูกเคาะอีกครั้ง ก็ตกใจกลัวมากกว่าเดิมจนปิดศีรษะ คุกเข่าลงไป แล้วมองห้องที่เต็มไปด้วยคนรับใช้ มอมอ เหลียนเหนียง ฮุ่ยหลาน และน้าหวงสี่ เห็นบางคนกำลังกำลังหัวเราะเยาะ หรือไม่ก็ให้ความเห็นใจ หรือไม่ก็มองตนด้วยความเหยียดหยาม นางจึงกัดฟันว่า “วันหลังปฏิบัติตามกฎอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ จะไม่พูดครึ่งความอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เหลียนเหนียงมองถงซื่อตำหนิโทษอนุฟางจนเสร็จสรรพ ก็โผไปยังเบื้องหน้า เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เหล่าไท่ไท่อย่าได้โมโหเลย โกรธไปจะไม่ดีต่อร่างกายนะเจ้าคะ อนุฟางก็คงรู้ความผิดแล้ว”
รอจนตัวเองโดนด่าเสร็จไปแล้วก็โดนซ้ำเติมอีก เพิ่งจะมาพูดดีหรือไร แสร้งว่าเป็นคนดีหรือ! อนุฟางจ้องเขม็งไปที่เหลียนเหนียง
ทว่าถงซื่อที่ทั้งตีทั้งด่าก็หายโกรธแล้ว พลันกู้หน้าตัวเองคืนมา แล้วกล่าวโทษว่า “ยังไม่ลุกขึ้นอีก หลบหน้าไปทางนู้นไป!” อนุฟางรีบลูบศีรษะ ไปยืนที่มุมห้อง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านย่ามีท่าทีต่อเหลียนเหนียงราวกับดีขึ้นกว่าช่วงเช้าที่จะออกไปข้างนอก จึงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เป็นดั่งที่คาดไว้ ถงซื่อสบตาเหลียนเหนียง แล้วค่อยหันมามองหลานสาว แล้วแย้มยิ้ม “ชิ่นเอ๋อร์ วาสนาเป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่มีผิดเลย ตอนเช้าที่เราออกไป ก็ได้พบเจอกับไต้ซืออู้เต๋อที่จาริกอยู่ที่วัดนั้น หลังจากเสี่ยงเซียมซีก็ขอให้ไต้ซือช่วยอธิบายดู เจ้าว่าเป็นอย่างไรเล่า หญิงสาวในบ้านสี่คนที่ไปด้วยกัน ก็มีเพียงเหลียนเหนียงที่ได้เสี่ยงเซียมซี ไต้ซืออู้เต๋อก็อธิบายว่า คนที่เสี่ยงเซียมซีได้อันนี้ ช่วงนี้จะมีเรื่องตั้งครรภ์ หากเป็นสะใภ้ใหม่ เกรงว่าปีหน้าก่อนถึงต้นวสันตฤดูอาจตั้งครรภ์ ภายในสามปีอุ้มสองคนก็ไม่เป็นปัญหา อีกทั้ง จะได้กำเนิดเป็นบุตรชายด้วย จะท้องแต่ลูกชายเลย!”
ใบหน้าเหลียนเหนียงก็เขินอายจนหน้าแดง แล้วก้มหน้า “ท่านบรรพชน ข้าเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย…”
“เจ้าจะอายอะไร ได้ยินว่าอู้เต๋อผู้นั้นล้วนผ่านชะตากรรมมาทุกรูปแบบแล้ว แทบจะไม่มีความผิดพลาด! เจ้าแค่พยายามตั้งครรภ์ให้ได้ เหมือนที่ไต้ซืออู้เต๋อพูดไว้ ให้กำเนิดลูกชายที่อุดมสมบูรณ์สักสองสามคน ไม่ต้องบอกว่านายท่านรักเอ็นดูเจ้า ข้าเองก็ไม่อาจให้เจ้าน้อยใจได้” เนื่องจากเหลียนเหนียงและลูกชายเคยทะเลาะกันมาก่อน ทว่าหากเหลียนเหนียงสามารถให้กำเนิดลูกเต็มบ้านเต็มเมือง แทนที่อนุภรรยาตระกูลอวิ๋นที่ให้ผลิดอกใบออก ถงซื่อเองก็ยอมกลืนน้ำลายตัวเองที่ไม่พอใจนางมาก่อน
ลูกคนรองบ้านนี้ก็หลายปีแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวเรื่องลูกหลาน ไม่ง่ายเลยที่จะไป๋ซื่อจะตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ตนก็โดนนางจัดการไม่เหลือแล้ว ตอนนี้มีหญิงสาวที่สามารถจะให้กำเนิดบุตรได้ ก็มิได้ด้อยกว่าเก็บเงินทองแท่งได้เลย
พอเหลียนเหนียงได้ฟัง ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด รีบเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เหลียนเหนียงย่อมไม่ทำให้ผิดหวังแน่เจ้าค่ะ”
มิน่าเล่าสีหน้าเหลียนเหนียงถึงดีขึ้นมาก เดิมทีก็ไปวัดแค่รอบเดียว ฐานะก็ขยับสูงขึ้นแล้ว มุมปากอวิ๋นหว่านชิ่นกระตุกขึ้น กลับเผชิญหน้าถงซื่อ ยังคงกล่าวเสียงหวานว่า “เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าต่อท่านย่าด้วยนะเจ้าคะ”
ถงซื่อที่เล่าเรื่องคำอธิบายเซียมซีนั่น จิตใจก็ชื่นบาน ดึงหลานสาวพลางพูดเรื่องหยุมหยิมและสิ่งที่ได้เจอที่ออกไปในวันนี้อีกครั้ง
สองย่าหลานคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง จนองครักษ์ที่มาจากจากทางด้านห้องโถงใหญ่ ก็มาบอกว่านายท่านกลับมาแล้ว และอาหารมื้อค่ำก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เชิญถงซื่อและคนอื่นๆ ทั้งหมด
หญิงสาวในจวนสองสามคนที่อยู่ในห้อง แต่ละคนก็เดินออกไปพร้อมกับสาวใช้และมอมอ
ส่วนอนุฟางที่เพิ่งโดนด่าเสียเละ เห็นเหล่าไท่ไท่มองมาด้วยสายตาที่เย็นชา ไหนเลยจะกล้าไป แล้วพูดเรียกร้องความสนใจ “ข้าจะกลับไปทบทวนตัวเองที่เรือน” กล่าวไปด้วยความอัดอั้น แล้วเดินจากไป
มีคนสองสามคนไปที่ห้องโถงใหญ่ มื้อค่ำก็ทยอยเอาออกมา อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ออกมาด้วย ทำความเคารพต่อมารดา แล้วนั่งข้างสตรีในจวนที่ล้อมรอบโต๊ะ ยกตะเกียบทานอาหาร ยามทานข้าวก็ได้ยินเรื่องที่เหลียนเหนียงเสี่ยงเซียมซีว่าจะให้กำเนิดบุตรชายก็ดีใจยิ่งยวด แล้วกวาดสายมองไปยังอนุที่รัก ยิ่งรักร่างกายเปลือยเปล่าของเหลียนเหนียงมากขึ้น โดยไม่สนใจคนอื่นสักนิด
หากตามปกติแล้ว ถงซื่อเห็นเข้าถ้าไม่ดุด่าลูกชายก็คงตบโต๊ะตีวัวกระทบคราดทันทีเป็นแน่ แล้วตำหนิติเตียนเหลียนเหนียงว่าสำมะเลเทเมา ยามกลางวันก็ไปมีความสัมพันธ์กับลูกชาย ทำลายประเพณีนิยมของครอบครัว แต่เนื่องจากวันนี้เหลียนเหนียงได้ใบเซียมซีที่จะให้กำเนิดบุตรชาย จึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำเพียงก้มหน้าก้มตารินชาให้อวิ๋นจิ่นจ้งเท่านั้น
เสี่ยงเซียมซีอันใดกัน เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่เดิมชะตากรรมของอวี้โหรวจวงนั่นก็จะได้เป็นฮองเฮา แล้วปัจจุบันนี้เล่า ทำตัวเองสติฟั่นเฟือนไปแล้ว
ทว่าพอดูในวันนี้ ความทะเยอทะยานของเหลียนเหนียงช่างสูงยิ่ง เพียงแต่ทั้งด่าทั้งตีข่มขู่ ก็ยังไม่ยอมอยู่เฉย หากสักวันหนึ่งนางได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมา…อวิ๋นหว่านชิ่นกวาดสายตามองน้องชายที่กำลังทานข้าวตัวหอมฉุยอยู่ข้างๆ แล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่
ขณะนั้นเอง อวิ๋นเสวียนฉั่งก็วางตะเกียบลง
นายท่านมีเรื่องอะไรบางอย่างจะประกาศให้ทุกคนในครอบครัวทราบ แจ้งบนโต๊ะกินข้าว ทุกคนเห็นการเคลื่อนไหวของเขา ต่างก็นิ่งลงกัน แล้วฟังที่อวิ๋นเสวียนฉั่งจะเปิดปากพูด “ชิ่นเอ๋อร์วันแต่งงานใกล้เข้ามาแล้ว องค์ชายมาไหว้ในวันนั้น ตามประเพณีแล้ว ต้องให้บิดามารดาฝ่ายหญิงปรับให้เหมาะสมและส่งอำลา ดังนั้น…”
ทุกคนเข้าใจทันที แม้ไป๋ซื่อจะถูกส่งไปที่ศาลบรรพชนประจำตระกูล ทว่าในนาม ภายนอกก็ยังเป็นฮูหยินจวนสกุลอวิ๋นอยู่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ วันนั้น ไป๋ซื่อก็ต้องรับบทเป็นมารดาบ้านฝ่ายเจ้าสาว อยู่จวนต้อนรับลูกเขยกับนายท่าน ยินดีปรีดาการคำนับของคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงาน สุดท้ายก็ไปส่งลูกสาวออกเรือน
แม้ถงซื่อจะรังเกียจไป๋ซื่อ ทว่าในเมื่อตอนนี้ต้องใช้นางที่เป็นอวิ๋นฮูหยิน ปล่อยไปสักวันก็คงไม่มีอะไร แล้วชำเลืองมองไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น “ชิ่นเอ๋อร์ ในเมื่อพิธีแต่งงานมีกฎเช่นนี้ ในสองวันแรกคงปล่อยไป๋ซื่อออกมาก่อน มาอาบน้ำแต่งตัวให้ดีๆ สักทีหนึ่ง เพื่อส่งเจ้าแต่งงาน นางที่ไม่เคยเข้างานแต่งลูกสาวอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะลูกเขยที่ยิ่งเป็นคนในราชวงศ์แล้ว นางถูกขังมานานมาก ข้ากลัวว่าพอถึงเวลานางจะไม่เข้าใจกฎน่ะสิ แม่นมในวังหลวงก็เคยมาอบรมเจ้าแล้ว เจ้าคงเข้าใจหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าก็หาสักวัน ไปอบรมด้วยตัวเอง บอกนางว่าต้องทำอย่างไรบ้างในพิธีแต่งงาน พอถึงเวลาจะได้ไม่ต้องขายขี้หน้า หรือทำเจ้าเสียหน้า เจ้าว่าอย่างไร”
เพื่อที่มีความสามารถพอที่จะส่งตนเข้าพิธีแต่งงาน คนที่จะยินดีกับตนกับสามีในวันแต่งงานวันนั้น บนโลกนี้ ก็มีแต่ท่านแม่สวี่คนเดียวเท่านั้น ใช่แม่เลี้ยงอย่างไป๋เสวี่ยฮุ่ยผู้ที่ไหนกัน จะให้ไป๋ซื่อมานั่งได้หน้าได้ตาในวันนั้นรึ! ฝันไปเถอะ
ในตอนที่สำนักพระราชวังมาแลกเปลี่ยนกฎพิธีแต่งงาน อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้ว่าวันนั้นไป๋ซื่ออาจจะต้องออกงานชั่วคราว จึงคิดมาดีแล้วว่าจะเลี่ยงอย่างไร ทว่าตอนนี้กลับกลอกตา ค่อยๆ ยิ้ม มองไปที่เหลียนเหนียง แล้วเอ่ยต่อบิดาและท่านย่าอีกครั้งว่า “ดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็ให้แม่รองไปกับข้าด้วยแล้วกัน หลายๆ คนจะทำเรื่องได้ง่ายกว่า”
คาดไม่ถึงว่าคราวนี้จะให้เหลียนเหนียงจัดการงานหลังจวนรึ ถงซื่อประหลาดใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นสบตาท่านย่า พูดอย่างน่าเอ็นดูว่า “ชิ่นเอ๋อร์เห็นท่านย่ารักและเมตตาแม่รอง หากแม่รองสามารถมีบุตรให้ตระกูลอวิ๋นด้วยการบูชาได้จริงๆ ตอนนี้ก็ต้องเริ่มฝึกฝนแล้ว ก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นเดียวกันนะเจ้าคะ”
หายากนักที่ลูกสาวคนนี้จะไว้หน้าอนุที่รัก โดยไม่ขัดขวางตน อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงรีบตอบรับหน้าที่แทนเหลียนเหนียง
“ดี ดี เหลียนเหนียงเจ้าก็ไปห้องพระตามสบายได้เลย”