บทที่ 285 ปราสาทเทียนหลง

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 285 ปราสาทเทียนหลง

มังกรเพลิงแต่ละตัวกางกรงเล็บพ่นไฟ ส่งผลให้ทั้งผืนฟ้าถูกเปลวเพลิงเข้าถาโถม

ใบหน้าของพวกหลี่คุนตัวปลอมสะท้อนสีแดงเพลิง ในตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ฉู่ชวิ๋นงอนิ้วและดีดออก มีแสงสีม่วงพุ่งเข้าใส่คนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บหรือก็คือ หลงเฟยหยางตัวปลอม

แสงสีม่วงนี้เหมือนเป็นสัญญาณ มังกรนับร้อยตัวคำรามพร้อมกันพุ่งลงมาใส่หลงเฟยหยางตัวปลอม

หลงเฟยหยางตัวปลอมมีแววตาตื่นตระหนก เขาใช้ฝ่ามือปัดป้องไม่หยุด ลมปราณมหาศาลถล่มทลายออกมา มังกรเพลิงถูกทำลายจนดับสูญสิ้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง มังกรเพลิงที่พุ่งใส่เขาก็ถูกทำลายจนราบคาบ หน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อซึม ทุกครั้งที่เขาสะบัดฝ่ามือเขาต้องใช้ลมปราณมหาศาลออกมา

มุมปากของฉู่ชวิ๋นเชิดขึ้นด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

ฟู่

มังกรเพลิงทะยานฟ้า ที่นี่น่ะมีมังกรเพลิงอยู่นับพันตัวอีกฝ่ายเพิ่งจะทำลายไปร้อยตัว ที่เหลือยังคงพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง !

หลงเฟยหยางตัวปลอมสะบัดฝ่ามือไปมาด้วยความว่องไวจนอากาศฉีกขาดมังกรเพลิงระเบิดออกเรื่อย ๆ เผยให้เห็นแสงไฟอันเจิดจ้า

ผ่านไปนาน ๆ เขาเริ่มหายใจติดขัด หน้าอกส่งเสียงดังเหมือนเครื่องเป่าลม เขาใช้ลมปราณสิ้นเปลืองมากเกินไป การสะบัดฝ่ามือแต่ละครั้งช้าลงเรื่อย ๆ

ตู้ม

ท้ายที่สุด เขาก็มิอาจต้านทานมังกรเพลิงได้ทั้งหมด จนโดนเข้าไป 1 ตัวมันกระแทกเข้าไปที่หน้าอกจนระเบิดออก ร่างกระเด็นไปไกล ไหม้เกรียมไปทั้งหน้าอก

มังกรเพลิงที่เหลือไล่ต้อนไม่หยุด ชั่วขณะที่เขาร่วงลงพื้นก็มีมังกรเพลิงนับร้อยตัวพุ่งเข้าใส่เขาก่อนจะระเบิดออกเป็นประกายไฟอันน่าสะพรึง

ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้น มังกรเพลิงที่เหลือยืดตัวคำราม

คลื่นเปลวไฟหายไป ฝุ่นควันจากการระเบิดเองก็สลายตัว

พวกหลี่คุนตัวปลอมกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง

บนพื้นมีหลุมใหญ่ไหม้เกรียมน่าสยดสยอง หลงเฟยหยางตัวปลอมหายไปแล้ว ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเขาสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง อานุภาพของค่ายกลนี้เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ซะอีก

คนที่อยู่ ณ ที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกหลี่คุนตัวปลอมเท่านั้น ยังมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอีก 10 กว่าคน เพียงแต่มันเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับต่ำ วิทยายุทธอยู่แค่ระดับ 2 ระดับ 3 เท่านั้น การต่อสู้เมื่อกี้พวกมันจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย พวกมันจึงรวมตัวกันสร้างค่ายกลเข้าสู้กับฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นประสานอิน เปลวไฟพุ่งทะยานฟ้า มังกรเพลิงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา

จากฟ้าจำนวนมหาศาลถึงหมื่นตัว พวกหลี่คุนตัวปลอมกลัวจนตัวสั่น

ฉู่ชวิ๋นงอนิ้วแล้วดีดออกไปอีกครั้ง มีแสงสีม่วงร่วงลงไปตรงกลางวงของขั้นจักรพรรดิ 10 กว่าคนนั้น

ทันใดนั้นทั้ง 10 กว่าคนก็ถูกมังกรเพลิงนับพันตัวปกคลุมเอาไว้ หายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์แม้แต่ขี้เถ้าก็ไม่เหลือ !

สายตาของฉู่ชวิ๋นมองไปที่วั่นเสวียน

ตับไตไส้พุงของวั่นเสวียนสั่นไปทั้งยวง เขากลัวจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ความอำมหิตของฉู่ชวิ๋นทำให้เขาอกสั่นขวัญผวา

“อย่า อย่าฆ่าฉัน ฉันยอมรับใช้นาย….”

ฟู่

มังกรเพลิงหลายสิบตัวพุ่งใส่เขาจนร่างระเบิดกลายเป็นเถ้าถ่าน

ฉู่ชวิ๋นมองไปที่ฉุยเทียนโย่ว

ฉุยเทียนโย่วตัวเป็นก้อน สั่นเหมือนเจ้าเข้า

ต่อหน้าความตาย ทุกคนเท่าเทียมกันหมด จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเองก็เช่นกัน

มังกรเพลิงกลืนกินเขาเข้าไปโดยไม่ปล่อยให้เขาได้ต่อต้าน

สุดท้ายก็เป็น จั้งจินกัง เขาโดนฉู่ชวิ๋นทุบตีจนพิการก่อนจะถูกมังกรเพลิงระเบิดให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ตอนนี้เหลือหลี่คุนตัวปลอมแค่คนเดียว

เขาตื่นกลัวมาก สายตาเริ่มเลื่อนลอย

“หลี่คุนตัวจริงอยู่ไหน” ฉู่ชวิ๋นถาม

“ฉัน.. ฉันไม่รู้ อย่าฆ่าฉัน ขอร้องล่ะอย่าฆ่าฉัน…” เขากลัวจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้

“บอกมาว่าหลี่คุนตัวจริงอยู่ไหนแล้วฉันจะไว้ชีวิต” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยขึ้นมา

“ฉัน… ฉันไม่รู้จริง ๆ ฉันไม่ได้โกหกนะ เจ้าสำนักไม่ค่อยปรากฏตัวจริง ๆ”

ตู้ม !

คลื่นไฟโหมไปทั่วฟ้า เสียงของหลี่คุนตัวปลอมหายไปร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกัดฟันหงึก ๆ ฉู่ชวิ๋นฆ่าคนได้เด็ดขาดมาก เมื่อตกอยู่ในมือเขาแล้วไม่อาจต่อรองอะไรได้เลย หากต่อต้านก็ต้องตาย ต่อให้ยอมทำตามก็ใช่ว่าจะรอด

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีที่เป็นมิตรกับฉู่ชวิ๋น ไม่ใช่ศัตรู การไปท้าทายคนแบบนี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ

ไม่เหลือกลิ่นคาวเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว มังกรเพลิงทำให้สลายมันไปจนหมด หากไม่มีพื้นมีร่องรอยไหม้ดำต่าง ๆ จะดูไม่ออกเลยว่าที่นี่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น

ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นปล่อยให้มังกรเพลิงและค่ายกลหายไป

ถึงตรงนี้สงครามก็จบลงแล้ว พวกหลี่คุนตัวปลอมตายหมดไม่เหลือแม้ซาก

ที่จริงในขณะที่พวกเขาสู้กันอยู่ หน้าหุบเขาก็มีการต่อสู้เกิดขึ้นเช่นกัน

ตอนที่พวกหลี่คุนตัวปลอมเข้าไป เขาให้คน 5 คนเฝ้าข้างนอกไว้

ในตอนที่พวกฉู่ชวิ๋นสู้กันในหุบเขา เยวี่ยหงโป๋ที่ได้ยินเสียงก็บุกโจมตี 5 คนนั้นเหมือนกัน

จู่ ๆ เยวี่ยหงโป๋ เยวี่ยฉางเล่อที่บาดเจ็บสาหัส เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดก็กลับมามีพลังแกร่งกล้าและลงมือหมายจะปลิดชีพทั้ง 5 คน

แม้แต่เยวี่ยเหวินหนานที่สลบเหมือดใกล้ตายก็ยังฟื้นขึ้นมา ลมปราณไม่ริบหรี่ แขน 2 ข้างที่อ่อนแรงก็กลับมาเป็นปกติ วิชาฝ่ามือดุดันอย่างน่าเหลือเชื่อ

แม้ 5 คนที่หลี่คุนตัวปลอมเหลือไว้จะระวังตัวอยู่ตลอด แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคน 3 คนที่สภาพปางตายจู่ ๆ จะลงมือกับพวกเขา จึงตั้งตัวไม่ทัน จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิทั้ง 3 คนถูก 3 พี่น้องตระกูลเยวี่ยฆ่าไปคนละคน

คน 2 คนที่เหลือแข็งกร้าวอย่างมาก พอระเบิดพลังออกมาคนนึงเป็น จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนึง จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6

แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่น้องตระกูลเยวี่น จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ถูกฆ่าไปแล้ว แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 กลับเจ้าเล่ห์เอาการไม่รู้กินยาอะไรเข้าไปขึ้นไปได้ถึงระดับ 7 ได้

พี่น้อง 3 คนตระกูลเยวี่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้จนอีกฝ่ายหนีไปได้และหายลับตาเข้าไปในป่า

เหล่าจอมยุทธ์ที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ เห็นภาพนี้ก็จ้องจนตาแทบจะถลนออกมา

เกิดอะไรขึ้น

มีบางคนที่เฉลียวใจพอจะเดาออก จึงพากันถอยออกไปเงียบ ๆ พวกเขาเข้าร่วมด้วยตอนที่ไล่ฆ่าฉู่ชวิ๋น ที่นี่อยู่นานไม่ได้แล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เห็นฉู่ชวิ๋นและเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกมา ไอ้โง่ที่ไหนก็ดูออกว่าเกิดอะไรขึ้น

ณ ขณะนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยที่หันหลังและหนีไป

เวรเอ๊ย จอมมารฉู่และเยวี่ยงฟ๋านเตี๋ย ไอ้พวกคนเจ้าเล่ห์พวกแกจะวางแผนหลอกประตูวิญญาณสลายแล้วเอาพวกเราไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม

พวกเขาร้องไห้ในใจ แต่ฝีเท้าไม่กล้าช้าลงแม้แต่น้อย วิ่งเร็วยิ่งกว่าหมาบ้าซะอีก

เมื่อเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “ความเกรียงไกรที่ฉันสั่งสมมาทั้งชีวิต ไม่มีค่าต่อหน้าคนพวกนี้เลย”

ฉู่ชวิ๋นเหล่มองพวกเขาอย่างความดูถูกดูแคลน ตอนที่เขาเสนอให้วางแผนล่อประตูวิญญาณสลาย เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าเขาซะอีก วางแผนซะยกใหญ่ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นแผนแย่ ๆ ก็เถอะ

พี่น้อง 3 คนตระกูลเยวี่ยเดินมาอย่างสำนึกผิด เยวี่ยหงโป๋เป็นคนรายงานว่าหนีไปได้คนนึง

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยระเบิดอารมณ์ออกมาทันที คนอายุ 200 ปี 3 คนโดนด่าเละเทะต่อหน้าคนอื่นอย่างน่าอับอาย

ฉู่ชวิ๋นขี้เกียจจะสนใจพวกเขา ตาแก่นี่ตั้งใจทำให้ตัวเองดูแย่จริง ๆ

เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นไม่มีทีท่าว่าจะเกลี้ยกล่อม เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ทำตัวไม่ถูก เขาลูบจมูกเบา ๆ ตำหนิพี่น้อง 3 คนตระกูลเยวี่ยอีก 2-3 คำก็ให้พวกเขาพาคนไสหัวกลับปราสาทจตุรเทพไป

จากนั้นฉู่ชวิ๋นและเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยก็พากันไปจากที่นั่น

มีจอมยุทธ์ทำใจกล้าเดินเข้าไปในหุบเขา เมื่อเห็นซากปรักหักพังที่พื้นและร่องรอยไหม้เกรียมก็มีสีหน้าฉงน คนของประตูวิญญาณสลายหายไปไหน

แต่เมื่อพวกเขาเห็นเถ้าถ่านที่เป็นรอยรูปร่างมนุษย์ข้างผาหินในหุบเขา ก็เย็นวาบไปทั้งสันหลัง ตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะหันหลังและวิ่งหนีไป

มีพวกใจกล้าถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนจะตัวสั่นและหนีไปเช่นกัน

ฉู่ชวิ๋นกลับไปถึงปราสาทจตุรเทพ จักรพรรดิยา จิ่วโยวก็รีบมาหา จิ่วโยวเบ้ปาก หลายวันมานี้เธอเซ็งจะตายอยู่แล้ว ต้องหลบอยู่แต่ในปราสาทจตุรเทพ ออกไปไหนไม่ได้

แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เว็บบอร์ดจอมยุทธ์ฮือฮากันมาก

“พวกนายรู้ไหม จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ 20 กว่าคนของประตูวิญญาณสลายโดนจอมมารฉู่ฆ่าเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ซาก”

“แล้วคนของปราสาทจตุรเทพล่ะ ก็โดนจอมมารฉู่ฆ่าเหมือนกันเหรอ”

ข่าวยังส่งออกมาได้ไม่หมด หลาย ๆ คนรู้แค่ว่าปราสาทจตุรเทพร่วมมือกับประตูวิญญาณสลายในการไล่ล่าฉู่ชวิ๋น ตอนนี้คนของประตูวิญญาณสลายตายหมดแล้ว แล้วปราสาทจตุรเทพเป็นยังไงบ้าง

“พวกนายยังไม่รู้ล่ะสิ ปราสาทจตุรเทพแกล้งทำเป็นผูกมิตรกับประตูวิญญาณสลาย ที่พวกเขาแตกหักกับกับจอมมารฉู่น่ะเป็นแผนเพื่อหลอกล่อประตูวิญญาณสลายให้ติดกับ”

“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”

คนในเน็ตอึ้งกันหมด

“ครั้งนี้ประตูวิญญาณสลายโดนลวงหนักเลย ไปติดกับที่จอมมารฉู่กับปราสาทจตุรเทพวางเอาไว้ คนที่มาโดนฆ่าหมด ไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว”

“จอมมารฉู่กับปราสาทจตุรเทพนี่เจ้าเล่ห์จริง ๆ แต่ฉันอยากจะบอกว่า… เจ้าเล่ห์ได้เยี่ยมยอดมาก”

“เวรเอ๊ย ไอ้พวกชั่วประตูวิญญาณสลาย ตอนอยู่เมืองมังกรมันเกือบฆ่าฉัน จอมมารฉู่ฆ่าได้ดี ๆ ”

คนเราไม่อาจดีได้หมดฉันใด ดอกไม้ก็ไม่อาจสดได้ทุกวันฉันนั้น มีคนที่เชียร์ฉู่ชวิ๋นก็ย่อมมีคนด่าเขาเช่นกัน

“จอมมารฉู่ แกอย่าโอหังมากนัก จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตแบบแกต้องโดนสวรรค์ลงทัณฑ์แน่”

“การฆ่าฟันในวันนี้เป็นบาปกรรมของแกในวันหน้า อย่าคิดว่าไร้เทียมทานในใต้หล้านะ คนที่จัดการแกได้มีอยู่ถมไป”

“จอมมารฉู่ รอให้อาจารย์ปู่ของฉันออกจากการบำเพ็ญเพียรก่อนเถอะ ท่านต้องออกมาเด็ดหัวแกแน่”

…….

…….

แน่นอนว่าฉู่ชวิ๋นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเน็ต ตอนนี้เขากำลังบอกลาเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยอยู่

“น้องชาย อยู่ต่ออีกหน่อยสิ ฉันยังไม่ได้ต้อนรับนายดี ๆ เลยนะ”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยห้ามฉู่ชวิ๋นไว้ไม่อยากให้เขาไป

“อาสอง อาเพิ่งผ่านอะไรมาเยอะ ร่างกายกำลังล้า สู้อยู่พักฟื้นอีกสักหน่อยแล้วค่อยไปดีกว่า” เยวี่ยหงโป๋เองก็เกลี้ยกล่อมฉู่ชวิ๋นเช่นกัน

“พี่ใหญ่ ไว้ผมจะมารบกวนวันหลัง ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ”

ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธการรั้งของพวกเขาอย่างอ่อนน้อม

เขาได้รับข่าวจากอูหมิงเมื่อกี้ ปราสาทเทียนหลงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้วและกำลังเตรียมโยกย้าย

ปราสาทเทียนหลงจะหนีแล้ว เขาที่เล็งคลังสมบัติของปราสาทเทียนหลงไว้นานจะให้พวกมันหนีไปเฉย ๆ ได้ยังไง

ฉู่ชวิ๋นไม่สนการรั้งของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย พาจิ่วยิวและจักรพรรดิยาออกมาทันที

ปราสาทเทียนหลงตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ใกล้ ๆ เมืองหงส์ ห่างไกลจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาก ต่อให้นั่งเครื่องบินยังต้องใช้เวลา 10 กว่าชั่วโมง

ฉู่ชวิ๋นแทบอยากจะติดปีกแล้วบินไป ปราสาทเทียนหลง พวกแกรอฉันก่อนเถอะ

การเดินทางนี้เรียกได้ว่าทรมานใจมาก ๆ ที่สำคัญฉู่ชวิ๋นต้องหัวเสียไปกับการที่เครื่องบินดีเลย์ไปอีกชั่วโมงกว่า

หลังจากที่เครื่องบินลงจอดที่เมืองหงส์ ฉู่ชวิ๋นก็ส่งโลเคชั่นหาอูหมิงไม่หยุด

ทั้ง 3 คนเดินทางเร่งรีบปานสายฟ้าแลบ

แต่พวกเขาก็ยังช้าไปก้าวนึงตอนที่มาถึงปราสาทเทียนหลง ทั้งปราสาทเทียนหลงเงียบเชียบ เหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง ดูเหมือนพวกเขาจะไปด้วยความรีบเร่ง

ฉู่ชวิ๋นพยายามติดต่อหาอูหมิงอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าอูหมิงจะชิงส่งข่าวมาก่อน ว่าคนของปราสาทเทียนหลงได้แยกย้ายกันล่าถอยไปแล้ว เขาพาคนกลุ่มหนึ่งไปทางทิศตะวันออก คาดว่าจะถึงเมืองตงหลิงก่อนฟ้ามืด คนที่นำพวกเขาไปเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ชื่อว่าเฉินเฉวียน มีของดีติดตัวไม่น้อย แต่มีแค่เขาที่รู้ว่าครั้งนี้จะถอยไปที่ไหน

“ตามไป !!!”

ฉู่ชวิ๋นพาจักรพรรดิยาและจิ่วโยวไล่ตามไปทางทิศตะวันออก

หลงเฟยหยางฉลาดมาก เขาแยกคนและของจากปราสาทเทียนหลงออกจากกัน ฉู่ชวิ๋น รู้ว่านี่คือการป้องกันของที่ดีที่สุดยังไงฉู่ชวิ๋นก็มีคนเดียวไม่อาจลงมือพร้อมกัน 2 ที่ได้

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะได้ของในคลังสมบัติปราสาทเทียนหลงทั้งหมด คงได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น !