ตอนที่ 134 ไร้ยางอาย
กลางดึกเมื่อคืนวาน แม่นางจ้าวทานรังนกไปสามชิ้นกับแกงผักที่เหลือจากมื้อเย็นและยังดื่มน้ำหวานตามลงไปอีกชามใหญ่ ทำให้ตอนนี้แม่นางจ้าวท้องเสียราวกับสายฝน!
เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด แม่นางจ้าวรีบวิ่งไปยังกระท่อมข้างคอกหมูราวกับพายุ
“พี่… พี่สะใภ้ใหญ่?” แม่นางเหลียนงงงวย
หยุนลี่จงรู้สึกแปลกใจตั้งแต่เช้าตรู่ ภรรยาของเขาเข้าไปตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ออกมาอีก?
“ข้าคิดว่าท่านป้าใหญ่สบายดี นางวิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก” หยุนเชวี่ยพูดอย่างใจเย็นพลางแทะแป้งทอดอย่างเอร็ดอร่อย
“เฮ้อ! ค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย” แม่นางเหลียนเช็ดเหงื่อและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หยุนเชวี่ยยิ้มแย้ม
ช่างเป็นคนที่จิตใจดีงามเหลือเกิน หยุนเชวี่ยรู้สึกว่านอกจากแม่ของตนแล้ว ไม่มีใครสนใจว่าแม่นางจ้าวจะเป็นหรือตายแม้แต่น้อย
หยุนชิ่วเอ๋อรู้สึกกังวลใจมากในช่วงสองวันที่ผ่านมา เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกทางการจับตัวไป
ส่วนหยุนลี่จงรู้สึกผิดที่เขาโอหังมากเกินไป ท่าทางของเขาราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก
หยุนโม่ หยุนเยว่และหยุนหรงนอกจากจะแสร้งทำเป็นเสียใจแล้ว ทั้งสามยังไม่เคยต้มยาให้แก่แม่นางจ้าวแม้แต่ถ้วยเดียว
ณ ห้องโถงใหญ่
เมื่อเห็นแม่นางจ้าววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หยุนลี่จงก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ
แม่เฒ่าจูฟาดตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ
แม่นางเฉินที่กำลังค้นหาบางสิ่งในตะกร้าผักก็โวยวายขึ้นมา “อ๊า! ดูสิ ดูสิ พี่สะใภ้ได้สติแล้ว! เราสามารถกลับมาหาเงินได้เสียที!”
หัวใจของหยุนชิ่วเอ๋อเต้นโครมคราม นางถลึงตาใส่หยุนลี่จงด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฮึ่ม! นางได้สติแล้วอย่างนั้นหรือ!”
“ในเมื่อนางได้สติแล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อย…” หยุนลี่จงแสร้งทําเป็นไม่รู้ตัว เขาหยิบเสื้อคลุมและเดินออกไป
ผู้เฒ่าหยุนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาก่อนจะเผยท่าทางลุกลี้ลุกรน ผู้เฒ่าหยุนวางรังนกที่ทานไปครึ่งหนึ่งลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
บาดแผลของแม่นางจ้าวนั้นแปลกประหลาดมาก หลี่หลางจงบอกกับผู้เฒ่าหยุนว่าเนื้อของแม่นางจ้าวถูกเปิดออกเล็กน้อย บาดแผลทั้งหมดไม่ได้สาหัสนัก อาจเป็นเพราะอาการตกใจกลัวทำให้แม่นางจ้าวนอนหลับไม่ได้สติ จนกระทั่งผู้เฒ่าหยุนมอบเงินหนึ่งร้อยเหรียญให้หยุนลี่จง จู่ ๆ อาการป่วยก็ทุเลาลง…
เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วมิใช่หรือ?
ผู้เฒ่าหยุนรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ลมหายใจจุกอยู่ที่อกทําให้หายใจไม่ออก มือที่สั่นเทาและเหี่ยวเฉาจับขอบโต๊ะแน่น
“ท่านพ่อ!” เมื่อไม่กี่วันมานี้หยุนชิ่วเอ๋อรู้สึกหวาดกลัวและอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหวจึงรีบอธิบายว่า “ท่านพี่ทั้งสองมิได้มีเจตนาเลวร้าย พวกเขาแค่ต้องการ…”
“ชิ่วเอ๋อ!” ผู้เฒ่าหยุนปัดชามข้าวต้มลงจากโต๊ะไปอย่างเกรี้ยวกราด
ชามกระเบื้องกลิ้งลงจากโต๊ะและแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ข้าวต้มที่ยังเหลืออยู่กระจายไปทั่ว หยุนชิ่วเอ๋อตกใจกลัวทำให้ขบฟันแน่นและไม่พูดสิ่งใดออกมาอีก
หยุนลี่เซียวเหลือบมองและถามขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ท่านพี่ทั้งสองคิดกระทำสิ่งใด?”
ชายชรานิ่งเงียบ ท่าทางของเขาเคร่งเครียด ริมฝีปากของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงและหายใจถี่รัว
“แค่ท่านพี่อ้าปากข้าก็เห็นลิ้นไก่เขาแล้ว” หยุนลี่เซียวแกว่งขาไปมา “ท่านพ่อ… ท่านแอบเอาเงินของบ้านข้ามาให้เขาอีกแล้วหรือ? ข้าไม่อยากให้ทรัพย์สินของบ้านเราต้องสูญเสียไปเพราะเขาอีก…”
“ในเมื่อข้ายังไม่ตาย ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์สินของข้า!” สีหน้าของผู้เฒ่าหยุนยิ่งแย่ลงไปอีก เขาพยายามยันร่างของเขาไว้กับโต๊ะอาหาร
“แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยังต้องมีชามไว้ใส่น้ำมิใช่หรือ? ทุกคนต่างรู้กันดีว่าใจของท่านลําเอียงไปอยู่กับท่านพี่หมดแล้ว ท่านพ่อจะไม่ทานต่อแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าหยุนผู้นี้โกรธจนไม่อยากจะทานมื้อเช้าต่อ เขารีบกลับเข้าห้องและล้มตัวลงนอนบนเตียง แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังผ่อนคลายอารมณ์ลงไม่ได้
“อยากกินก็กินไป ไอ้ผีทวงหนี้ เหตุใดอาหารถึงไม่ติดคอตายไปเสีย หากเจ้าไปตายไปครอบครัวของเราคงจะดีขึ้นมาก!” แม่เฒ่าจูสบถออกมาพลางเก็บอาหารบนโต๊ะออกไป
“ท่านแม่ ข้ายังไม่อิ่มเลย!” แม่นางเฉินยัดรังนกที่เหลือเข้าปากและคีบอาหารอย่างรวดเร็ว
“กินอิ่มแล้วก็รีบไปเกิดใหม่เสีย! กินเยอะยิ่งกว่าหมูซ้ำยังไม่มีค่าอีก ตระกูลหยุนต้องลำบากเพียงใดเพื่อหาเลี้ยงเจ้า!” แม่เฒ่าจูคว้าตะกร้าผักและถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างดุร้ายพร้อมกับชี้หน้าด่าแม่นางเฉินต่อ “เจ้าสะใภ้สามหากยังกล้าขโมยกินอีก ข้าจะฉีกปากเจ้าออกเอง!”
แก้มทั้งสองข้างของแม่นางเฉินบวมป่องขณะบ่นด้วยความคับข้องใจ “ข้ามิได้ขโมยสิ่งใดเลยและยังสาบานกับสวรรค์แล้ว เหตุใดท่านแม่ถึงยังไม่เชื่อข้าอีก?”
“แม่หมูปีนต้นไม้ได้ยังน่าเชื่อถือกว่าคำพูดเจ้า! มาเร็ว!” แม่เฒ่าจูยกขาขึ้นถีบก้นนาง
แม่นางเฉินโอดครวญและรีบย้ายร่างอันอ้วนฉุจ้องเขม็งไปยังอาหารที่กินได้ไม่กี่คําก็ถูกยกออกไป
หยุนลี่เซียวชําเลืองมองนางอย่างรังเกียจ “มองทางหน่อย! ดูขนาดตัวของเจ้าสิ กินให้น้อยลงสักนิดเถอะ!”
“อย่ามาว่าข้า หากข้าไม่อิ่มท้องแล้วจะคอยดูแลพวกเจ้าได้อย่างไรกัน!” แม่นางเฉินพึมพําพลางกลอกตาไปมา
ตั้งแต่ที่ครอบครัวทั้งสองแยกกันอยู่ นางจึงจำต้องเตรียมอาหารสามมื้อต่อวัน อีกทั้งยังต้องตักน้ำ คอยเก็บฟืน ดูแลหมูและไก่ ไหนจะซักผ้าให้พวกเขาอีก ไม่ว่างานใดล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของตนทั้งสิ้น ส่วนตัวนางได้ทานแค่แกลบกับผักอยู่ทุกวัน ช่างเลวร้ายยิ่งกว่าบ่าวไพร่ของบ้านใหญ่เสียอีก!
แม่นางเฉินรู้สึกหดหู่ใจ แต่เพราะนิสัยฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ทำให้ครู่เดียวก็หลงลืมความโกรธสิ้น
“ยังไม่ยอมลุกขึ้นมาอีก? จะงอมืองอเท้ารอให้ข้าประคบประหงมเจ้าหรืออย่างไร!” แม่เฒ่ายืนเท้าเอวอยู่บนลานบ้านและตะโกนใส่แม่นางเฉิน
แม่นางเฉินพาร่างอวบอ้วนเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
“หลังจากเก็บกวาดเสร็จก็เติมน้ำให้เต็มโอ่งด้วย เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร? น้ำแห้งจนเห็นก้นโอ่งแล้ว ส่วนเสื้อผ้าในตะกร้านั่นมิได้ซักมาหลายวันแล้วอย่างนั้นสิ? ใช้เวลาทั้งวันกว่าจะขยับตัวได้ ดูเจ้าสิ ว่าเจ้าต่างจากแม่หมูที่นอนอยู่ตรงนั้นอย่างไร!” แม่เฒ่าจูดุด่าอย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าแม่นางเฉิน น้ำลายลอยฟุ้งไปในอากาศ ราวกับนายจ้างผู้ชั่วร้ายตำหนิคนงานไม่มีผิด
แม่นางเฉินตักน้ำล้างจานและเก็บกวาดห้องครัวอย่างเงียบเชียบ รอจนแม่เฒ่าก่นด่าจนพอใจและกลับบ้านไป จึงบ่นออกมาว่า “กล้าบอกว่าข้าเป็นแม่หมูได้อย่างไร? แม่หมูจะจุดไฟทําอาหารและซักผ้าได้หรือ?”
แม่นางเหลียนยืนมองอยู่ที่หน้าประตูห้องตะวันตก ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ “สะใภ้สามก็ใจใหญ่เหมือนกัน หากท่านแม่ด่าข้าเช่นนี้ ข้าคงจะแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นแม่นางเฉินที่หิ้วถังไม้ใบใหญ่ด้วยมือเดียวเข้ามายิ้มเยาะใส่นาง “พี่สะใภ้สอง ท่านว่างหรือไม่?”
สองมือของแม่นางเหลียนยังอยู่ในอ่างน้ำ
“ท่านมาช่วยข้าเติมน้ำใส่โอ่งสักหน่อยสิ ข้าคนเดียวต้องเดินไปมาตั้งหกเจ็ดรอบถึงจะเติมน้ำให้เต็มโอ่งนี้ได้” แม่นางเฉินกล่าวอย่างไร้ยางอาย
แม่นางเหลียนนิ่งเงียบ…
“ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเสียหน่อย ท่านอยู่เฉยทั้งวัน ต้องรู้จักทำงานทำการเสียบ้าง ร่างกายจะได้แข็งแรง” แม่นางเฉินพูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงติ่งหู
“ท่านแม่ลวกบะหมี่ให้ข้าอยู่ อาสะใภ้สาม ท่านมองไม่เห็นหรือ?” หยุนเชวี่ยวางตะเกียบลงและพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“โอ้ ข้าเห็นแล้ว” แม่นางเฉินวางถังไม้ในมือลง “เช่นนั้น ท่านก็ทำส่วนของข้าให้ด้วยแล้วกัน ฮิฮิ”