“พวกคุณมาจากไหนกัน? ขุดหน่อไม้กันแบบนี้เหรอ?” ซ่งเอ้อโก่วที่เพิ่งขึ้นเขามาอยากจะขุดหน่อไม้สักสองหน่อเอากลับไปแกล้มสุรา แต่เห็นโจวอู่กับเก๋อเยี่ยนขุดแบบนั้น โยนมั่วซั่ว จึงพูดโวยอย่างไม่พอใจ

“จะโวยวายอะไรนักหนา! ฉันขุดของฉัน แกก็ขุดของแกสิ มายุ่งเรื่องคนอื่นทำไม?” โจวอู่หันไปมอง ถลึงตาโต ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ประกอบกับสีหน้าเหี้ยมโหดจึงดูน่ากลัวมากจริงๆ

แต่ซ่งเอ้อโก่วไม่กลัว เขาชี้หัวจอบไปข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า “ยุ่งเรื่องอะไรของแกอย่างนั้นเหรอ? ภูเขานี่เป็นของหมู่บ้านเอกดรรชนี ป่านี่เป็นของเจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ให้แกมาขุดได้นั่นเพราะเจ้าอาวาสใจกว้าง แต่แกขุดแบบนี้ ไม่ได้มาขุดหน่อไม้แล้ว นี่เขาเรียกว่ามาหยามเกียรติคนอื่น!”

“หยามเกียรติแล้วทำไม? ไม่ได้หยามเกียรติบ้านแกสักหน่อย! หลบไปข้างๆ นู่น ไอ้คนจน!” โจวอู่ยังไม่ทันพูด เก๋อเยี่ยนชิงด่าก่อน

ซ่งเอ้อโก่วได้ยินแบบนั้นก็โกรธ “ด่าใครจน?”

“ด่าแกน่ะสิ!” เก๋อเยี่ยนด่าต่อทันที

เก๋อเยี่ยนได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะหึๆ ชาวบ้านที่มามุงดูต่างหัวเราะตาม

เก๋อเยี่ยนตั้งสติได้ ต่อว่าด้วยความโกรธ “โจวอู่ คุณเห็นไหม? ไอ้สารเลวพวกนี้มันด่าฉัน!”

โจวอู่ไม่พูดไม่จา โยนพลั่วทหารช่างทิ้งแล้ววิ่งเข้ามา ยกเท้าถีบ! ซ่งเอ้อโก่วไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะโหดแบบนี้ ถูกพูดเอาเปรียบทีเดียวถึงกับลงไม้ลงมือ! ถูกถีบจนล้ม!

เมื่อก่อนซ่งเอ้อโก่วเป็นนักเลงและอันธพาลในหมู่บ้าน รูปร่างไม่สูง แต่ถ้าจะต่อยกันจริงๆ ก็โหดเช่นกัน! เขาลุกขึ้นมาคว้าจอบปาเข้าไป!

แม้โจวอู่จะสูงใหญ่ แต่เจอกับหัวจอบก็กลัวเหมือนกัน! เลยหลบในทันใด ตอนนี้เองเก๋อเยี่ยนเข้ามากอดซ่งเอ้อโก่วจากข้างหลัง โจวอู่เห็นสบโอกาสจึงแย่งจอบมา ควงหมัดชกซ่งเอ้อโก่ว

ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ไม่มุงดูแล้ว แต่พากันห้ามสองคน

ทางด้านนี้ก่อเรื่องกันเป็นกลุ่ม กระรอกที่เพิ่งเดินเล่นเสร็จกลับมาเห็นภาพนี้จึงวิ่งกลับวัด

ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งกำลังนั่งศึกษาคัมภีร์อยู่ใต้ต้นโพธิ์

“อาจารย์ แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว!” กระรอกวิ่งเข้ามาตะโกนเสียงดัง

“เจ้าตัวน้อย นายรึเปล่าที่แย่ ใจเย็นก่อน ค่อยๆ เล่า” ฟางเจิ้งยิ้ม

“อาจารย์ ตีกันแล้ว ชาวบ้านตรงตีนเขาตีกับพวกคนตัวใหญ่ ข้างๆ ป่าไผ่หนาว” กระรอกเอ่ยอย่างร้อนใจ

ฟางเจิ้งได้ฟังดังนั้นก็รีบเก็บมือถือ วิ่งออกไป ทะเลาะกันหน้าประตูวัดตน? นี่ใช้ไม่ได้! ขืนเกิดเรื่องใหญ่จะเป็นปัญหาเอาได้!

ฟางเจิ้งวิ่งออกไปราวกับควัน เห็นสองกลุ่มคนคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ ด้านหนึ่งเป็นครอบครัวสามคน เด็กร้องไห้เสียงดัง บุพการีกำลังด่าทอเสียงดัง อีกด้านเป็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งด่าทอกลับเช่นกัน และยังมีคนใช้เหตุผลอยู่ระหว่างกลาง

ฟางเจิ้งเห็นว่าไม่ได้ตีกันเลยไม่ได้ลงมือในทันที แต่ยืนฟังอยู่ข้างหลังกลุ่มคน ฟังไปฟังมาก็เข้าใจสาเหตุ ก่อนมองหลุมที่ถูกขุดบนพื้นรวมถึงหน่อไม้ที่โยนไว้เรี่ยราด หน่อไม้บางหน่อยังเป็นหน่ออ่อนอยู่เลย บางหน่อก็แก่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ถูกขุดออกมาหมด แถมบางหน่อเสียหายอีก

เห็นดังนั้นฟางเจิ้งก็โกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาใจดีให้ทุกคนมาขุดหน่อไม้ แต่กลับมีคนไม่รู้จักวางตัว มาสร้างปัญหาเช่นนี้!

“พวกแกมันคนจน จะตะโกนอะไรนักหนา? ก็แค่หน่อไม้ห่วยๆ ไม่กี่หน่อเอง? ขุดแล้วจะทำไม?” เก๋อเยี่ยนร้องโวย

“หน่อไม้พวกนี้มีเจ้าของ เป็นหน่อไม้ของหลวงพี่ฟางเจิ้ง พวกแกขุดต้นสองต้นได้ แต่มาทำลายหน่อไม้แบบนี้มันใช้ไม่ได้!” ซ่งเอ้อโก่วว่า

“ถุย! หลวงพี่ตูดหมาน่ะสิ ฉันอยากขุดก็จะขุด อยากรู้นักว่าใครจะห้ามได้! จะบอกพวกแกให้นะ วันนี้ฉันจะไม่แค่ขุด อีกไม่กี่วันจะพาคนมาขุดด้วย ตอนนั้นจะขุดให้หมดทั้งป่าไผ่เลย! คิดว่าจะให้พวกแกกิน? อย่าหวังเลย!” โจวอู่กล่าว

“แก…” ซ่งเอ้อโก้วจะเริ่มด่า

ทันใดนั้นเองมีเสียงสวดดังมาจากข้างหลัง “อมิตาพุทธ!”

ซ่งเอ้อโก่วรู้ว่าฟางเจิ้งมาแล้วเลยเก็บคำด่าตรงริมฝีปากไปโดยพลัน ทุกคนพากันหลีกทางให้ แสดงความเคารพฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งก็แสดงความเคารพกลับทีละคน

โจวอู่กับเก๋อเยี่ยนได้ยินเสียงสวด จิตใจดิ่งลง รู้ว่าเจ้าของมาแล้ว เห็นกลุ่มคนพลันแยกย้าย มีเณรหน้าตาหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มเดินออกมารูปหนึ่ง โจวอู่เบะปากโดยไม่รู้ตัว คิดในใจว่า ‘คิดว่าจะเป็นใคร ที่แท้ก็แค่เณร!’

เก๋อเยี่ยนพูดเสียงเบา “เหล่าโจว จัดการเณรนี่ได้ก็น่าจะโอเคแล้ว”

“วางใจเถอะ แค่เด็กน้อย ขู่หน่อยก็เชื่องแล้ว” โจวอู่ตอบกลับเบาๆ

“เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง สองคนนี้…” ซ่งเอ้อโก่วจะเล่าสถานการณ์ทันที

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “อมิตาพุทธ อาตมาได้ฟังเหตุและผลของเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว”

“เณร ถ้าได้ยินชัดแล้วก็ตัดสินสิ ฉันขุดหน่อไม้ด้วยตัวเอง แต่ไอ้บ้านี่มายุ่งเรื่องคนอื่น เณรว่าควรต่อยมันไหมล่ะ?” โจวอู่ที่เป็นคนผิดกลับฟ้องผู้อื่นก่อน

ซ่งเอ้อโก่วโกรธขึ้นมาในทันใด ด่าทอ “แกมันไร้ยางอาย!”

ฟางเจิ้งกลับยิ้ม “ประสกเหมือนจะพูดมีเหตุผลอยู่บ้างนะ”

โจวอู่ได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะ เดิมทีคิดว่าจะทำตัวไร้ยางอาย เก็บหน่อไม้แล้วรีบไป ไม่นึกเลยว่าเณรรูปนี้จะขี้กลัวขนาดนี้ แค่ถลึงตามองก็ยอมแพ้แล้ว

ซ่งเอ้อโก่วได้ยินดังว่าจึงร้อนใจ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านอย่ากลัวเขา คนหมู่บ้านเอกดรรชนีเราเป็นเกราะกำบังให้ท่าน วันนี้อย่าหวังเลยว่าไอ้พวกนักเลงเหม็นเน่าพวกนี้จะได้เอาหน่อไม้ลงเขา!”

“ใช่ๆ พวกเราจะช่วยท่านเอง!” ซุนเฉียนเฉิงเอ่ยเช่นกัน

พอเห็นชาวบ้านจะช่วยเหลือมากขนาดนี้ โจวอู่กลัวอยู่เล็กน้อย แต่ภายนอกก็ยังพูดด้วยความโมโห “วันนี้ใครกล้าลงมือ ฉันจะกลับไปพาคนมาสั่งสอนพวกแก! จะขุดป่าไผ่ห่วยๆ นี่ซะให้หมด!”

พวกชาวบ้านโกรธยิ่งกว่า!

ไกลออกไป เด็กแดงตักน้ำกลับมาแล้ว ก่อนนั่งดูอยู่บนสันกำแพงพลางหัวเราะ

“น้องสี่ นายไม่ไปช่วยเหรอ?” ลิงถาม

เด็กแดงเบะปาก “ช่วยกับผีเถอะ อาจารย์เก่งมากไม่ใช่รึไง? ให้เขาจัดการเองเถอะ หึๆ…” แต่คิดในใจว่า ‘ถ้าไอ้โง่นั่นตีไอ้สารเลวหัวโล้นให้ตายก็ดี จะได้ลดปัญหาลง’

ฟางเจิ้งก็ไม่หวังให้เด็กแดงลงมือเช่นกัน บ้านตนเกิดปัญหา เขาเป็นเจ้าอาวาสย่อมออกมาแก้ หรือว่าจะให้ลูกศิษย์วิ่งเต้นจัดการ? ที่สำคัญคือฟางเจิ้งไม่วางใจเด็กแดงเลย! เด็กนี่ดูเหมือนเด็ก ถ้าละเลยไม่สนใจ หมาป่าเดียวดายร้อยตัวก็ไม่เท่าพลังทำลายล้างของเขาคนเดียว!

โจวอู่คำราม เดิมทีคิดว่าชาวบ้านพวกนี้จะว่าง่ายลง แต่พวกชาวบ้านกลับหยิบจอบ อีเต้อปักลงบนพื้นดิน ความหมายชัดเจนมาก เชื่อไหมว่าจะฝังแก?

เก๋อเยี่ยนก็กลัวนิดๆ เหมือนกัน เหมือนดั่งที่ว่าไว้ว่าเท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า พวกเขาเป็นคนสวมรองเท้าก็ยังต้องกลัวคนจนพวกนี้

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงรีบพูด “อมิตาพุทธ ทุกท่านใจเย็นก่อน แค่หน่อไม้เล็กน้อยเอง ทำไมต้องทำแบบนี้?” ปากว่าแบบนี้ แต่ในใจเคลื่อนความคิด เปิดอิทธิวิถี! ทว่าครั้งนี้ไม่มีระบบแอบช่วยแล้ว เลยได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต หวังว่าจะมีประโยชน์บ้าง!

…………………….