“ประตูไร้ลักษณ์ คนนอกเปิดเป็นประตูธรรมดา นายเปิด สามารถสุ่มเปิดมิติไร้ลักษณ์ได้ เมื่อก้าวออกไปจะไปโผล่ได้ทุกที่ในโลก แน่นอน หากถ้ารังเกียจ ฉันจะเก็บมันไปเอง”

“ไม่รังเกียจ!” ฟางเจิ้งได้ฟังดังนั้นในใจสั่นไหว รีบตอบ! การก้าวออกไปโผล่ทุกที่ทั่วโลกได้นี่เท่ากับประตูมิติเคลื่อนย้ายพริบตาได้? นี่คืออุปกรณ์ระดับสุดยอดในการเดินทางไร้คู่ต่อกร! ต่อให้สุ่มที่ที่จะไปก็เถอะ แต่นั่นก็ดีกว่ายากจนอยู่บนภูเขาเอกดรรชนี?

“ไม่รังเกียจก็ดี ถ้าอย่างนั้นฉันจะเก็บประตูพังๆ นั่นให้ ไว้ที่นี่นายก็จัดการไม่ได้ อีกอย่าง ขอเตือนนายหน่อยนะ ประตูไร้ลักษณ์ไม่ได้ใช้ฟรีๆ แต่จะมีภารกิจตามมาด้วย” ระบบกล่าว

“ยังมีภารกิจ?” มีประตูไร้ลักษณ์แล้ว เขาย่อมไม่สนใจประตูเก่า ทว่าภารกิจนี่มันอะไร?

“ทุกครั้งที่เปิดประตูไร้ลักษณ์ ประตูไร้ลักษณ์จะเลือกภารกิจให้นายอย่างหนึ่ง ที่ที่นายไปจะมีภารกิจที่ต้องให้ทำสำเร็จ ขอเพียงทำภารกิจที่สอดคล้องกันสำเร็จ ประตูไร้ลักษณ์ถึงจะรับนายกลับ ไม่อย่างนั้นต้องกลับมาเอง” ระบบกล่าว

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มแบบว่ายังไงก็ได้ เขาไม่กลัวภารกิจระบบสักเท่าไรจริงๆ! นี่เท่ากับส่งบุญกุศลมาให้ ไม่รับไว้ก็เท่ากับเสียเปล่า!

ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ของจิ่งเหยียนและหลี่เสวี่ยอิง ชีวิตของฉินเสี่ยวเริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเป็นการปรับเปลี่ยนของชีวิตที่ดีขึ้น สภาพจิตใจจึงดีขึ้น เธอหาเหตุผลแห่งความหวังที่จะมีชีวิตต่อไปพบอีกครั้ง เธอเริ่มพยายามยืนด้วยตัวเอง ไม่นานก็ยืนขึ้นได้จริงๆ!

แต่การช่วยเหลือของหลี่เสวี่ยอิงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ทว่าฉินเสี่ยวยังคงพยายามศึกษาอย่างบ้าคลั่ง เรียนรู้การเปิดร้านค้าออนไลน์อย่างไรจริงๆ จะเปิดร้านค้าออนไลน์ที่ดีอย่างไร เธอไม่ต้องใช้ภาพถ่ายจากเพื่อนบ้านแล้ว แต่เรียนการถ่ายภาพด้วยตัวเอง เรียนPS เรียนการออกแบบตกแต่งร้านค้าออนไลน์เป็นต้น ช่วงเวลานี้ทำอะไรก็มีชีวิตชีวาไปหมด ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่งฟางเจิ้งรับสายจากต่งจวิน สองคนคุยกันอยู่นาน ต่งจวินหัวเราะแหะๆ “ขอบคุณนะครับคุณพ่อปลอม ในที่สุดแม่ก็ไม่ร้องไห้ทุกวันแล้ว”

ฟางเจิ้งงง ก่อนยิ้มแห้งๆ เขาคิดมาตลอดว่าตนกำลังหลอกเด็กน้อย เกิดเรื่องอยู่นานกลับเป็นเด็กน้อยที่หลอกเขา…

แต่ฟางเจิ้งก็ยังถามด้วยความแปลกใจ “โยมรู้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“ขอโทษครับ ผะ…ผมรู้มาตลอดเลย”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ?”

“พ่อผมอยู่ในใจผมเสมอ ถึงแม่จะไม่บอก แต่ผมก็รู้…ข้างกายไม่มีพ่อได้ แต่แม่ไม่มีพ่อไม่ได้ ผมอยากให้แม่ยืนขึ้น…ผมไม่รู้ว่าที่ทำถูกไหม ผมแค่อยากลองดู…”

ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ในใจ เดิมทีคิดว่านี่คือผลจากความพยายามของเขา แต่ไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะเป็นแผนการของเด็กน้อยแก่แดดคนนี้ มิน่า เขาอายุสี่ห้าขวบแล้วน่าจะเข้าใจอะไรหลายอย่าง แต่กลับพลาดในจุดที่เล็กๆ แบบนี้ เขาจะฟังเสียงพ่อตนไม่ออก? ปฏิเสธหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็ยังคงยึดมั่นแบบนี้…

ฟางเจิ้งขี้เกียจจะซักถามทุกอย่างในนั้น ครอบครัวหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดได้นั่นก็พอแล้ว

ทว่าต่งจวินยังคงโทรหาฟางเจิ้งบ่อยครั้ง ว่าไปเรียนบ้าง เล่นเกมกับเพื่อนบ้าง เรียนร้องเพลงบ้าง…

ฟางเจิ้งรับฟังทุกวันและก็รู้สึกสนุกมาก

แต่วันเวลาแห่งความเงียบสงบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อข่าวการซ่อมทางภูเขาเสร็จกระจายออกไป รวมถึงข่าวอย่างเช่นบนเขามีต้นไผ่ที่ดีและสวยกว่าเดิม แถมยังมีหน่อไม้รสชาติอร่อยกระจายออกไปแล้ว เริ่มมีคนขึ้นเขามาจำนวนมาก เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้มาจุดธูปไหว้พระ แต่แบกจอบหิ้วตะกร้ามาขุดหน่อไม้!

ถึงหน่อไม้เป็นของฟางเจิ้ง ภูเขาก็ของฟางเจิ้ง แต่เขาไม่ได้คิดจะห้าม เพราะคนเหล่านี้เป็นชาวบ้านใกล้เคียง ทุกคนไม่โลภ ขุดต้นสองต้นให้พอกินแล้วก็ลงเขาไป

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความอร่อยของหน่อไม้ไผ่หนาวแพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า จึงเริ่มมีคนมากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ!

ตรงตีนเขา รถเรนจ์โรเวอร์คันหนึ่งจอดใต้ภูเขา ครอบครัวหนึ่งเดินลงมา ผู้ชายคนหนึ่งถือกระสอบไว้ข้างหลัง เอาสันมือวางตรงหน้าผากมองไปทางยอดเขา “โห ภูเขานี่สูงมาก”

“ใช่ ที่นี่แหละ อาสะใภ้รองบอกว่ามาขุดหน่อไม้บนเขานี่แหละ คุณดูสิ ชาวบ้านพวกนั้นแบกตะกร้ากับจอบกัน น่าจะขึ้นเขาไปขุดหน่อไม้” ภรรยาผู้ชายรูปร่างสูงมาก ร่างกายกำยำเล็กน้อย ทว่าเครื่องหน้ายังถือว่าเรียบร้อย เพียงแค่ดวงตายกขึ้นนิดๆ ค่อนข้างให้ความรู้สึกชอบเอาเปรียบเล็กน้อย

ผู้ชายตัวไม่เตี้ย สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้า ร่างกายกำยำยิ่งกว่า ครอบครัวนี้สวมเสื้อผ้ามีรสนิยมสูงมาก เห็นได้ว่าเป็นคนไม่ขาดเงิน

“มาไม่ผิดที่ก็ดีแล้ว เฮ้ย ชาวบ้านพวกนี้ก็โง่จริง หน่อไม้อร่อยๆ แบบนี้เอากลับมาแค่นิดเดียวเอง ครั้งนี้จะให้พวกเขาได้เห็นว่าอะไรคือกำลังรบ!” ผู้ชายเขย่าถุงกระสอบหนังงูในมือพลางพูดยิ้มๆ

“ผมอยากได้หน่อไม้เยอะๆ!” ลูกของสองคนนี้เป็นเด็กอ้วน แก้มแดงเลือดฝาดเล็กน้อย เห็นก็รู้ว่าเขาตื่นเต้นไปทั้งตัว

ระหว่างที่ครอบครัวนี้พูดคุยกันก็เริ่มออกเดินทาง ระหว่างทางเห็นชาวบ้านไม่น้อย แต่ทุกคนขุดต้นสองต้นก็กลับไปทำอาหารกิน ไม่มีใครขุดไปเยอะเกินไป

“คนพวกนี้โง่จริงๆ” ผู้หญิงมองชาวบ้านเหล่านั้นพลางเย้ยเยาะ

“ใช่ บ้านเราไม่อยู่ที่นี่หรอก ไม่อย่างนั้นคงขุดไปขายคันรถหนึ่ง รับรองว่ารวยเละ! นี่เป็นหน่อไม้ที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมา ขอแค่สร้างกระแสได้ ก็ใช่ว่าราคาจะพุ่งสูงไปไม่ได้” ผู้ชายกล่าว

“เอาเถอะ เหล่าโจว คุณอย่าโม้นักเลย อีกเดี๋ยวขุดมาเยอะ คุณอย่าแบกลงมาไม่ไหวก็แล้วกัน” ผู้หญิงพูดยิ้มๆ

“คุณคิดว่าผมเล่นกล้ามมาเสียเปล่ารึไง?” โจวอู่เบะปาก

ผู้หญิงเป็นภรรยาของโจวอู่ ชื่อว่าเก๋อเยี่ยน ลูกของสองคนนี้ชื่อว่าโจวเหวินอู่ โจวอู่อยากให้ลูกชายเขาเก่งทั้งวิทยายุทธ์และภาษา ไม่ใช่คนไร้การศึกษาอย่างเขา

กลุ่มคนเดินขึ้นเขาเอกดรรชนี โจวอู่มองแวบแรกเห็นป่าไผ่อยู่ไกลๆ ป่าไผ่เขียวมรกตเปล่งแสงเขียวขจีภายใต้แสงของฟ้า ดุจดั่งแดนเซียน

“ป่าไผ่สวยมาก ไม่ได้การอีกเดี๋ยวต้องถ่ายรูปหน่อย กลับไปต้องไปหาคนมาตัดกลับไปจัดสวนหน่อย” โจวอู่ว่า

“ฉันเห็นด้วยนะ แต่ได้ยินว่าป่าไผ่เป็นของวัด ถ้าคุณจะตัดคงต้องถามก่อน” เก๋อเยี่ยนกล่าว

โจวอู่ตอบกลับอย่างไม่แยแส “จะถามทำไม เขาเป็นนักบวชจะเอาไผ่มากขนาดนี้ไปทำอะไร? อีกอย่างผมจะตัดไผ่ เขาจะขวางไหวหรือไง?”

เก๋อเยี่ยนคิดแล้วก็ถูกเลยไม่ได้โต้อะไร

ครอบครัวนี้วิ่งไปใต้ต้นไผ่ ใช้พลั่วทหารช่างขุดหน่อไม้ออกมาทีละหน่อ เดิมทีไม่มีอะไร แต่ไม่นานการกระทำของพวกเขาสร้างความไม่พอใจกับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เห็นโจวอู่ขุดหน่อไม้มาหน่อหนึ่ง พอมองดูแล้วก็พูดอย่างรังเกียจ “เล็กเกินไป!”

ก่อนโยนหน่อไม้ทิ้งแล้วขุดอีก

“นี่ก็ใหญ่ไป คงจะแก่แล้ว ไม่อร่อย ไม่เอาแล้ว!” ขุดอีก!

ขุดอีก…

………………………